เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 219 สมองของพวกเจ้าขาดการคิดวิเคราะห์ไปแล้วหรือ
“ท่านประมุข!” ซินเยว่เยี่ยนยังคิดเอ่ยวาจาแทนเยี่ยเม่ย
ทว่ากูเยว่อู๋เหินแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่าไม่อยากฟังอีก เขาโบกมือเป็นสัญญาณให้นางออกไป เส้นเสียงสงบนิ่งเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะพักผ่อนแล้ว”
ซินเยว่เยี่ยนยืนอยู่ครู่หนึ่งก็รู้ว่าคงไม่อาจเปลี่ยนความคิดของเขาได้อีกแล้ว
นางคิดถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่รุกอย่างรุนแรงและจิ่วหุนผู้ภักดี ทั้งยังมีเป่ยเฉินอี้ที่คิดแต่งงานกับเยี่ยเม่ยโดยไม่รู้จุดประสงค์ชัดเจน ซินเยว่เยี่ยนเป็นสตรีนางหนึ่งยังรู้สึกว่าการไล่ตามจีบเยี่ยเม่ยช่างกดดันนัก
ช่างเถอะ ไม่ง่ายเลยกว่านางจะหลอกพาน้องสะใภ้มาบ้านได้ อู๋เหินกลับยังเฉยเมยเหมือนเคย รักษานิสัยรสนิยมสูงเอาไว้
คิดถึงจุดนี้ นางก็ขยี้เท้าอย่างหงุดหงิด เดินจากไป
เจ้าเด็กบ้านี่ เจ้าทำเป็นเย่อหยิ่งไปเถอะ ภายหน้าอย่าได้เสียใจก็แล้วกัน! ถึงยามนั้นอย่าได้ร้องเรียกให้ข้าช่วยเชียว!
……
ชายแดน
หลังจากเยี่ยเม่ยจากเมืองชายแดนไป ต้ามั่วเข้ามาโจมตีถึงสองครั้ง ทว่าทั้งสองครั้งล้วนถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนขับไล่กลับไปอย่างไม่เจ็บไม่คัน อีกทั้งสองฝ่ายยังไม่เกิดความสูญเสียยิ่งใหญ่อะไร
เมื่อชาวต้ามั่วรู้ว่าผู้คุ้มกันเมืองชายแดนในยามนี้คือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก็ไม่กล้าเคลื่อนกำลังพลโดยพลการ ดังนั้นจึงได้แต่บุกตีทีละเล็กทีละน้อย
เพราะการโจมตีเล็กน้อยเช่นนี้ ดังนั้นนอกจากครั้งแรกที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยืนอยู่บนกำแพงเมืองแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย มอบหมายให้พวกเซียวเยว่ชิงลงมาจัดการแทน
เวลานี้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกำลังนั่งอยู่บนหลังคา สองเท้าไขว่หากันด้วยท่าทางโอหัง ทว่าไม่สูญเสียกิริยาสูงส่งของตน มองแสงอาทิตย์แยงตาคนบนฟ้า พลันถามขึ้นว่า “ช่วงนี้เป่ยเฉินอี้ไม่มีการเคลื่อนไหวเลยหรือ”
“เขาอยู่ในห้องตลอดเวลา ไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย!” อวี้เหว่ยตอบ
“อ้อ?” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหลับตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาฉุกคิดอะไรได้ ลืมตาขึ้นมาทันที “เจ้าบอกว่า เขาอยู่ในห้องตลอดเวลา ไม่ได้ออกมาเลยสักครั้งอย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ!” อวี้เหว่ยพยักหน้า เอ่ยปากว่า “เสี่ยวกวนส่งคนไปจับตาเขาตลอดเวลา หลังจากได้ยินว่าแม่นางเยี่ยเม่ยออกจากชายแดนแล้ว ทุกวันนั้นเขาก็อยู่ในห้อง จิบชา เดินหมากไม่ออกไปไหนสักก้าว เพราะว่าไม่มีความคืบหน้าอะไรจึงไม่ได้รายงานความเคลื่อนไหวของเขาให้กับท่าน!”
คิดไม่ถึงว่าทันทีที่สิ้นเสียงเขา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันลุก สาวเท้ากว้างมุ่งหน้าไปยังเรือนของเป่ยเฉินอี้
น้ำเสียงเบาสบายของเขาเจือไปด้วยแววโทสะยากปิดบังได้ “ไม่มีปัญหาใดๆ อย่างนั้นหรืออวี้เหว่ย เจ้ากับเสี่ยวกวนสองคนสูญเสียความสามารถในการคิดวิเคราะห์ขั้นพื้นฐานไปแล้วหรือไง อีกอย่างสมองของพวกเจ้าหยุดการทำงานแล้วใช่หรือไม่ ไร้คุณค่าในการดำรงอยู่ต่อไปอีกแล้ว”
“เอ๋?” อวี้เหว่ยคิดขึ้นได้ ชั่วพริบตาก็เข้าใจอะไรบางอย่าง หน้าซีดเผือดลงไปแล้ว “เตี้ยนเซี่ย เตี้ยนเซี่ย…ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว!”
จริงด้วย ด้วยนิสัยที่กลัวใต้หล้าไม่วุ่นวายอย่างเป่ยเฉินอี้ ไฉนจะหมกตัวอยู่ในห้องได้ตั้งหลายวัน ไม่สร้างเรื่องราวอะไรเลย ถึงขั้นไม่ออกไปไหนด้วยซ้ำ
นี่ก็พิสูจน์ได้แล้ว
หากมิใช่เป่ยเฉินอี้แอบทำอะไรบางอย่าง โดยที่เขากับเสี่ยวกวนไม่รู้ตัวเลยสักน้อย ไม่อย่างนั้นก็หมายความว่าคนที่อยู่ในห้องหาใช่เป่ยเฉินอี้ไม่ แต่เป็นตัวแทนเป่ยเฉินอี้อยู่ในห้องนั้นเพื่อกันไม่ให้เกิดพิรุธ จึงไม่ออกจากห้อง
ครั้นคิดได้เช่นนี้ อวี้เหว่ยก็รู้สึกเสียววาบไปทั้งสรรพางกาย
ในขณะใคร่ครวญอยู่นั้น เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็มาถึงหน้าประตูห้องเป่ยเฉินอี้แล้ว เสี่ยวกวนที่หลบอยู่ด้านข้างตกตะลึงไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงมาที่นี่
ในห้วงความสงสัย
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็โบกมือเปิดประตูออก แสงมารสีแดงก่อตัวขึ้น ฟาดฝ่ามือเข้าใส่ “เป่ยเฉินอี้” ที่นั่งอยู่กลางห้อง
เมื่อฝ่ามือนี้ฟาดออกไป
อีกฝ่ายกลับหลบไม่ได้จบชีวิตในฝ่ามือเขาทันที ฝ่ายอวี้เหว่ยก็รีบวิ่งเข้าไป ลูบคลำใบหน้าของอีกฝ่าย ไม่ช้าก็พบหน้ากากหนังมนุษย์อันหนึ่ง เขาดึงออกมาก็พบใบหน้าแสนธรรมดาจนไม่อาจธรรมดาไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
เป่ยเฉินอี้ไม่อยู่ในเมืองชายแดนแล้วจริงๆ
เสี่ยวกวนเข้ามาอย่างลนลาน เห็น “เป่ยเฉินอี้” บนพื้นก็ตะลึงงัน ไม่พูดมากก็คุกเข่าลงอย่างแรง “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อย…”
มารดามันเถอะ! เขาอยากร้องไห้เหลือเกิน ช่วงนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่ ศัตรูฉลาดเกินไปหรือว่าเขาไม่ได้เรื่องเอง
ครั้งก่อนป้องกันจิ่วหุนก็ล้มเหลว ครั้งนี้จับตาดูเป่ยเฉินอี้ก็ยังผิดพลาดอีก
หัวกับคอเขาวันนี้จะแยกจากกันแล้วใช่หรือไม่
ในขณะที่ตกอยู่ในความโศกเศร้า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ฟาดฝ่ามือหนึ่งใส่เสี่ยวกวน เขาไม่กล้าหลบ รับเอาฝ่ามือนั้นเขาไปเต็มๆ มุมปากกระอักเลือดออกมา
ทว่าในใจเขารู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก เพราะเขารู้ว่าองค์ชายสี่ยั้งมือไว้ ไม่เช่นนั้นฝ่ามือนี้ต้องคร่าชีวิตน้อยๆ ไปแล้วแน่
“เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ขอให้ท่านมอบโอกาสแก้ตัวให้ข้าน้อยด้วย!” เสี่ยวกวนรีบรับผิดทันที
อวี้เหว่ยเพียงใช้ความคิดเล็กน้อยก็เข้าใจทันที เขารีบรายงาน “เตี้ยนเซี่ย ถึงเป่ยเฉินอี้จะจากไปแล้ว แต่ผู้ติดตามของเขายังอยู่ที่นี่ เป็นไปได้ว่าเขาไปเพื่อขัดขวางแม่นางเยี่ยเม่ย แต่ว่าอาศัยเขากับองครักษ์เงาไม่กี่คนก็ไม่น่าทำร้ายแม่นางเยี่ยเม่ยได้ อย่างไรเสียนางก็มีความสามารถเหนือคนทั่วไป อีกอย่างข้างกายนางยังมีแม่นางซินกับแม่นางจงอยู่ด้วย!”
คำพูดนี้เป็นความจริง
เป่ยเฉินอี้คิดรั้งเยี่ยเม่ยเอาไว้ไม่ยาก แต่หากคิดเอาชีวิตคนคงเป็นไปไม่ได้ อย่างไรเสียเยี่ยเม่ยก็หาใช่คนธรรมดา
อีกอย่างพิษในกายเป่ยเฉินอี้ยังไม่คลี่คลาย ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันยังถูกเขาทำร้ายบาดเจ็บ เป่ยเฉินอี้ในยามนี้ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่มือของเยี่ยเม่ยได้
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสูดลมหายใจเข้าลึก กวาดสายตามองเสี่ยวกวน สั่งการว่า “รีบส่งคนไปช่วยแม่นางเยี่ยเม่ยทันที หากนางบาดเจ็บสักเล็กน้อย มีโทษเป็นสองเท่า เยี่ยนจะทำให้สมองที่ไร้ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของเจ้าแยกออกจากคอเจ้าเสีย!”
“ขอรับ!” เสี่ยวกวนรีบหมุนตัว จากไปอย่างล้มลุกคลุกคลาน
อวี้เหว่ยเองก็รีบคุกเข่าเสียงดัง “ตุบ” รู้อยู่แก่ใจว่าหากมิใช่เพราะเตี้ยนเซี่ยคาดการณ์ได้ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยไม่น่าเกิดเรื่อง วันนี้เขากับเสี่ยวกวนคงต้องตายอย่างแน่นอน “เตี้ยนเซี่ย ภายหน้าข้าน้อยจะใช้สมองให้มาก คิดเรื่องจิ้งหรีดให้น้อยลง เห็นแก่ความจงรักภักดีของข้าน้อย ท่านละเว้นข้าน้อยสักครั้งด้วย!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหันไปถีบเขาทีหนึ่ง
ลูกถีบนี้ถึงจะไม่หนักแต่ก็มิได้เบา อวี้เหว่ยรู้ว่าตัวเองบาดเจ็บ ได้แต่สะกดกลั้นไม่กล้าร้องออกมา
แล้วเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็สะบัดชายเสื้อเดินจากไป
อวี้เหว่ยลูบหัวใจตัวเอง ยังดีที่รักษาชีวิตน้อยๆ ไว้ได้แล้ว…แต่ลูกถีบเดียว เขาไม่เจ็บเลย ไม่เจ็บสักน้อย!
……
เส้นทางไปหมู่ตึกกูเยว่ รถม้าคันหนึ่งแล่นไปตามทาง
ชิงเกอกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก เอ่ยปากถามว่า “ท่านอ๋อง การลอบสังหารจิ่วหุนครั้งก่อนล้มเหลว ท่านคิดอาศัยโอกาสนี้สังหารเยี่ยเม่ยหรือไม่”
“สังหารจิ่วหุนล้มเหลวหรือ” เป่ยเฉินอี้ปรายตามองเขา ถามด้วยเสียงขรึมว่า “ข้าเคยบอกว่ามีเป้าหมายจะฆ่าจิ่วหุนแล้วหรือไง”
“เอ๋?” ชิงเกอชะงักไปเล็กน้อย
ไม่คิดฆ่าจิ่วหุน อย่างนั้นครั้งก่อน…
เป่ยเฉินอี้แค่นเสียงเย็นคำหนึ่ง สีหน้าสุดจะคาดเดาได้ เอ่ยปากว่า “การไล่สังหารถึงขั้นนั้นก็แค่บีบให้ จิ่วหุนจนตรอก ใช้พลังปราณไปจนหมดสิ้น ทำให้เยี่ยเม่ยต้องไปขอยาที่หมู่ตึกกูเยว่ ข้าถึงมีโอกาสเข้าใกล้นาง พานางไปยังสถานที่แห่งนั้น!”
คราวนี้ชิงเกอเข้าใจแล้ว ที่แท้ความล้มเหลวนั้นก็อยู่ในแผนการของเจ้านายตนตั้งแต่แรก