เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 218 เรื่องราวในอดีตของกูเยว่อู๋เหิน!
ใบหน้าของกูเยว่อู๋เหินภายใต้แสงคล้ายภาพมายาฝัน งดงามเสียจนไม่คล้ายกับเป็นคนบนโลกมนุษย์ ริมฝีปากบางเฉียบ คิ้วโก่งเรียวยาวเป็นเสมือนผลงานที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นอย่างวิจิตรงดงามโดยมิต้องสงสัย ดวงตาคู่งามทว่าเรียบเฉยยิ่งทวีความเหินห่างและสูงส่ง
คนผู้นี้ ใบหน้าเช่นนี้…
สายลมที่อิสระเสรี บุปผาอันงดงาม เกล็ดหิมะแสนเย็นชา ดวงจันทราสว่างไสว ล้วนไม่อาจเสียได้แม้แต่หนึ่งในสิบส่วนของเขา
เป็นบุรุษรูปงามอย่างแท้จริง…ถึงกระทั่งสายลม บุปผา หิมะและจันทรายังต้องหลีกหนีเขา
หลังจากความตกใจเพียงชั่ววูบผ่านไป เยี่ยเม่ยก็ได้สติอีกครั้ง เอ่ยนิ่งๆ ว่า “ข้าคาดเดาได้ว่าประมุขกูเยว่ต้องเป็นบุรุษรูปงาม แต่สุดท้ายก็ยังงดงามเหนือกว่าที่ข้าคิดเอาไว้!”
ในบรรดาบุรุษที่นางเคยพบมาจนถึงเวลานี้ คนที่มีรูปโฉมเทียบเคียงกันได้ก็มีเพียง เป่ยเฉินเสียเยี่ยน จิ่วหุนและเป่ยเฉินอี้สามคนนี้เท่านั้น
กูเยว่อู๋เหินย่อมดูออกว่านอกจากความตกใจในสายตาของอีกฝ่ายแล้ว ก็หามีสิ่งอื่นอีก
เขาหาใช่คนโง่ ซ้ำยังมีไหวพริบฉลาดหลักแหลม ถามเสียงเรียบว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางมีที่หมู่ตึกกูเยว่ด้วยจุดประสงค์ใด”
“ขอยา!” เยี่ยเม่ยตอบเข้าประเด็นทันที เอ่ยปากไปอย่างรวดเร็ว “หลังจากน้องชายข้าถูกพิษก็ถูกคนไล่สังหาร พลังชีวิตลดจนแทบไม่เหลือ จะได้ต้องใช่สมุนไพรสามชนิดนี้ถึงช่วยเขาได้ อีกทั้งเวลายังกระชั้นชิดมา หวังว่าท่านประมุขจะมอบยาให้ ถือว่าเยี่ยเม่ยติดค้างน้ำใจท่านครั้งหนึ่ง!”
กูเยว่อู๋เหินเห็นสายตาที่อัดแน่นไปด้วยความจริงใจ พลันเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาลุกขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ของอยู่ที่หอเทียนจี หากภายในสามวันแม่นางนำของไปได้ ก็ถือว่ามอบให้กับแม่นาง ส่วนเรื่องน้ำใจ กูเยว่อู๋เหินไม่ต้องการ”
เขากูเยว่อู๋เหินไม่ต้องการให้ใครมาติดค้างน้ำใจทั้งนั้น
สิ้นเสียง เขาก็จากไป
ภายใต้แสงจันทรา ร่างกายยืดตรงสง่าผ่าเผยของเขาละม้ายกับเทพจันทราที่มาเยือนโลกมนุษย์ ชวนให้คนหลงใหลทั้งรู้สึกห่างเหินอย่างสุดซึ้ง
เยี่ยเม่ยมุ่นคิ้วแน่น ไม่เข้าใจว่าไฉนประมุขหมู่ตึกกูเยว่ผู้นี้ จู่ๆ คิดจะไม่พอใจก็ไม่พอใจเอาดื้อๆ เมื่อครู่ยังพูดคุยกันดีๆอยู่เลย ไฉนเพียงพริบตาก็…
ในขณะที่กลัดกลุ้ม นางก็สาวเท้ากว้างๆ กลับห้องตนไป จงรั่วปิงที่อยู่ในห้องเยี่ยเม่ยพอดี เยี่ยเม่ยเอ่ยปากถามว่า “เจ้ารู้จักประมุขหมู่ตึกกูเยว่ผู้นี้บ้างหรือไม่”
“เคยได้ฟังมาบ้าง” จงรั่วปิงไม่รีรอ “เขาคือประมุขของหมู่ตึกกูเยว่ มีนามว่าเยว่อู๋เหิน เพราะชื่อเสียงของหมู่ตึก คนทั้งหลายต่างเรียกเขาว่าคุณชายกูเยว่ เขามีฝีมือเข้มแข็ง หากเทียบกันเรื่องวรยุทธ์แล้ว สมควรเทียบเคียงกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ ส่วนนิสัย…”
ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ จงรั่วปิงก็ถอนใจ “นิสัยเฉยชา ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนไม่อยู่ในสายตา ทั้งยังเย่อหยิ่งโอหัง ตาสูง เพียงแต่ได้ยินว่าสิบห้าปีก่อน หมู่ตึกกู่เยว่เผชิญเรื่องกวาดล้างสำนักครั้งหนึ่ง บิดามารดาของเขาตายจนหมดสิ้น อดีตสามผู้อาวุโสรุ่นก่อนของหมู่ตึกกูเยว่ พาเขาในวัยเยาว์และซินเยว่เยี่ยนหนีเอาชีวิตรอด หลังจากนั้นเจ็ดปี เขาค่อยกลับมาควบคุมอำนาจในหมู่ตึกอีกครั้ง ซ้ำยัง…สังหารศัตรูเก้าชั่วโคตรด้วยตัวเอง ไม่ทิ้งเอาไว้สักคนเดียว”
สังหารศัตรูด้วยตัวเอง ไม่ใช่ทั้งตระกูล แต่เป็นเก้าชั่วโคตร
เยี่ยเม่ยลมหายใจสะดุด สุดจะจินตนาการได้ว่าบุรุษที่เหมือนแสงจันทราทอประกายอยู๋เหนือโลกจะสังหารคนด้วยตัวเอง ทั้งยังสับแหลกเป็นแปดชิ้น
จงรั่วปิงเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “เจ้าก็รู้ว่า ข้ากับซินเยว่เยี่ยนยังพอนับว่าคุ้นเคยกันอยู่บ้าง ดังนั้นเรื่องพวกนี้นางเป็นคนเล่าให้ข้าฟัง นางบอกว่านับตั้งแต่ กูเยว่อู๋เหินหนีเอาชีวิตครั้งนั้น นิสัยก็เปลี่ยนเป็นเฉยชาอย่างถึงขั้นสุด โดยเฉพาะหลังจากแก้แค้นแล้ว ก็นิ่งเฉยเข้าไปใหญ่ แม้แต่ซินเยว่เยี่ยนยังดูไม่ออกว่าเขาใส่ใจอะไร นี่คือสิ่งที่ข้ารู้ทั้งหมด!”
“มากพอแล้วล่ะ!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า
ในเมื่อเขาเป็นคนที่เคยผ่านประสบการณ์เช่นนี้ จวบกับมีนิสัยแบบนี้ จู่ๆ โพล่งออกมาให้นางใช้ความสามารถแย่งยาของเขาไป ซ้ำยังไม่ใส่ใจเรื่องหนี้บุญคุณ กลับดูจะสมเหตุสมผล
พิสูจน์ว่าเขาเป็นคนสายตาสูงส่ง ไม่ใส่ใจความรู้สึกคนรอบข้าง คนอื่นคิดเอาของไป ก็ต้องใช้ความสามารถ
เพียงแต่ว่า จากการแสดงออกของกูเยว่อู๋เหิน เยี่ยเม่ยยังรู้สึกว่ามีตรงไหนที่แปลกนัก
หากเป็นเพราะนิสัยของเขาจริงๆ ตั้งแต่แรกเขาก็ต้องเอ่ยปากให้นางใช้ความสามารถเอาของมาก็พอแล้ว ไฉนๆ ต้องถามเรื่องทิวทัศน์ของหมู่ตึก เดี๋ยวก็ชิมสุรา เดี๋ยวก็เล่นดนตรีด้วย จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรือ
ในขณะที่นางอยู่ในความแปลกใจ จงรั่วปิงก็ถามว่า “เป็นอะไรแล้ว”
“อ้อ ไม่มีอะไร!” เยี่ยเม่ยส่ายหน้าสลัดความสงสัยท่ามกลางความเบิกบานใจออก ก็น่าจะไม่มีอะไรนะ เพียงแต่นิสัยของกูเยว่อู๋เหินแปลกประลาดอยู่บ้าง รู้สึกว่าต่อให้อาศัยวิธีการของนางไปเอาตัวยามา โอกาสนี้บางทีอาจจะเกิดขึ้นหลังจากที่เขาทดสอบนางก่อนถึง
อืม
น่าจะเป็นอย่างนี้สินะ
ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น
คนกลุ่มหนึ่งก็มุ่งตรงเข้ามาล้อมห้องเยี่ยเม่ยเอาไว้ ผู้นำก็คือเฉิงฉู่!
จงรั่วปิงมองเฉิงฉู่ “พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน!”
เฉิงฉู่ตั้งอกตั้งใจทำงาน จ้องมองเยี่ยเม่ยเอ่ยปากว่า “ท่านประมุขบอกว่า แม่นางเยี่ยเม่ยคิดนำสมุนไพรของหมู่ตึกกูเยว่เราไป ดังนั้นจึงให้พวกข้ามาเฝ้าไว้ ไม่ให้แม่นางเยี่ยเม่ยหนีรอดจากการสังเกตการณ์ของพวกเรา อีกอย่างทุกๆ เวลาหนึ่งก้านธูป ข้าจะเปิดหน้าต่างตรวจสอบดูหนึ่งเที่ยวว่าท่านยังอยู่ในห้องหรือไม่ สมุนไพรทั้งสามชนิดเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก หวังว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะเข้าใจการกระทำของท่านประมุข”
เยี่ยเม่ยมองเฉิงฉู่นิ่งๆ “อยากให้ข้าเข้าใจอย่างนั้นเหรอ”
“แน่นอน!” เฉิงฉู่พยักหน้า
เยี่ยเม่ยถามว่า “เพื่อสมุนไพรล้ำค่าสามชนิดจริงๆ หรือว่าอยากดูว่าข้ามีความสามารถถึงระดับกันแน่”
เฉิงฉู่คลี่ยิ้มออกทันที “แม่นางเยี่ยเม่ยเป็นคนฉลาดนัก! ท่านประมุขอยากรู้ว่าท่านมีความสามารถถึงขั้นไหนจริงๆ อย่างไรเสีย ภายใต้การสังเกตการณ์ของพวกเรา ทันทีที่แม่นางเคลื่อนไหว พวกเราก็จะเชิญนายท่านมาขวางแม่นางไว้ ดังนั้นไม่เพียงทดสอบความสามารถของท่าน ยังทดสอบสติปัญญาของท่านด้วย ขอให้แม่นางรับมือให้ดี!”
เยี่ยเม่ยนิ่งไปเล็กน้อยก็พยักหน้า เอ่ยปากว่า “ผู้เป็นแขกย่อมคล้อยตามเจ้าบ้าน สารท้ารบนี้ข้ารับไว้แล้ว”
“แม่นางเป็นยอดสตรีนัก!” เฉิงฉู่รีบโค้งตัวคารวะ สายตากวาดมองคนชุดดำกลุ่มนั้นล้อมห้องเยี่ยเม่ยเอาไว้
……
ห้องกูเยว่อู๋เหิน
ซินเยว่เยี่ยนยืนอยู่หน้าน้องชายบุญธรรม กล่าว “นายท่าน ได้ยินว่าท่านสั่งให้คนไปจับตาดูเยี่ยเม่ยเอาไว้หรือ ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่า นอกจากมาดูตัวแล้วนางก็มาขอยาสมุนไพรด้วย หากท่านพอใจในตัวนาง ก็เอายามอบเป็นของขวัญพบหน้าให้นางเสีย บ่าวรายงานว่าเมื่อคืนท่านได้พบนางแล้ว หรือว่าท่านไม่พอใจกัน”
ซินเยว่เยี่ยนรู้สึกว่าไม่ถูกต้องตามหลักการเอาเสียเลย เยี่ยเม่ยเป็นสตรีที่โดดเด่นเช่นนั้น เป็นยอดหญิงแห่งยุคสมัยนี้ นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าอู๋เหินไม่พอใจอะไรอีก
กูเยว่อู๋เหินฟังแล้ว ก็มองนางเรียบๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “นางมาแค่ขอยาสมุนไพร ยังมีอย่างอื่นอีกหรือ”
“เอ๊ะ? เรื่องนี้…” ซินเยว่เยี่ยนมองสีหน้าของน้องชายทีหนึ่งก็คิดได้ว่าอู๋เหินคงรู้ความจริงแล้ว
สีหน้าขาวซีดลงทันที เอ่ยตะกุกตะกักว่า “เรื่องนี้…เรื่องนี้…ใช่เรื่องสำคัญหรือ หากเจ้าพอใจในตัวนาง เจ้าเป็นบุรุษก็ควรรุกเสียหน่อย ถึงจะถูก!”
จากนั้นกูเยว่อู๋เหินกลับไม่ได้ฟังความในใจของซินเยว่เยี่ยนเลยสักน้อย เอ่ยว่า “หากมาเพียงแค่ขอยา อย่างนั้นก็ยึดตามกฎของหมู่ตึกกู่เยว่ ส่วนที่ว่านางมีค่าพอให้ข้าเป็นฝ่ายรุกก่อนมั้ย ก็อยู่ที่นางมีความสามารถนำยาไปได้หรือไม่”