เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 216 พบกูเยว่อู๋เหินครั้งแรก
“นางมีพลังธาตุบุปผาอย่างนั้นหรือ” กูเยว่อู๋เหินถามขึ้น สายตายังคงราบเรียบ ทว่าเบื้องลึกในดวงตาเผยความแปลกใจ
ครั้งก่อนที่ธาตุบุปผาปรากฏตัวออกมาก็ผ่านไปสามร้อยปีแล้ว
เฉิงฉู่พยักหน้า “ขอรับ เป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าน้อยเห็นด้วยตาตัวเอง อีกอย่างนางยังพบเห็นข้าน้อยอีกด้วย…”
เมื่อคิดแล้ว เฉิงฉู่ก็ไม่ยินยอม กระทั่งผู้อาวุโสยังหาเขาไม่พบ สตรีที่พบหน้ากันครั้งแรกไม่เพียงแต่จะพบตัวเขา ทั้งยังเรียกเขาออกมา ช่าง…น่าขายหน้านัก
เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เสียหน้าเช่นนี้
“อืม” กูเยว่อู๋เหินปรายตามองเขา เอ่ยเสียงเรียบๆ ว่า “ในเมื่อเป็นธาตุบุปผา นางไม่สมควรพบเห็นเจ้าได้ถึงจะถูก”
อย่างไรเสียในรายชื่อของสุดยอดฝีมือก็ยังไม่มีชื่อของสตรีนางนี้
นั่นก็หมายความว่า วรยุทธ์ของนางยังไม่บรรลุขั้นสุดยอด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ทำไมนางถึงพบตัวของเฉิงฉู่ได้กัน
นี่เป็นจุดที่เฉิงฉู่ไม่พอใจ “นายท่าน จากกำลังภายในของนาง ด้านพลังยุทธ์นางน่าจะอยู่ในระดับเริ่มต้น กำลังภายในยังเทียบกับข้าไม่ได้เลย แต่นางดันพบตัวข้าน้อย อีกทั้งดูจากท่าทางของนาง คล้ายกับไม่เห็นข้าน้อยอยู่ในสายตา ข้าน้อยรู้สึกเหลือเชื่อมาก”
ดูจากท่าทางของเยี่ยเม่ยแล้ว หาได้มั่นใจในตัวเองอย่างหน้ามืดตามัว แต่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาจริงๆ
คนที่มีกำลังภายในห่างชั้นกับตนเองมาก ไฉนถึงมีความมั่นใจถึงขั้นนี้ เฉิงฉู่ขบคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
สีหน้าของกูเยว่อู๋เหินยังไม่เปลี่ยนแปลง นิ่งสงบไร้อารมณ์เช่นเดิม
สั่งการเสียงเบาว่า “ถอยไปเถอะ”
“ขอรับ”
เฉิงฉู่ไม่รู้ความคิดของเจ้านายตนเอง เมื่อบอกให้เขาไป เขาก็จากไปแล้ว
……
จงรั่วปิงกลับถึงหมู่ตึกกูเยว่ ซ่งอวี้เชวียบอกฐานะของตนเองออกไป ก็รบเร้าพัวพันจะตามกลับมาพร้อมกันเพื่อสนทนาเรื่องชีวิตที่ยังคุยไม่จบกับกูเยว่อู๋เหินให้ได้
เขาสาบานว่าจากความเป็นอริที่ซินเยว่เยี่ยนมีให้เขา หากเขาไม่หลอกล่อให้กูเยว่อู๋เหินกลายเป็นพวกไม่ยอมแต่งได้สำเร็จ จะขอเขียนชื่อกลับหลังไปเสียเลย
จงรั่วปิงกลับมาถึงเรือนฝั่งตะวันออก เขาก็มุ่งตรงไปที่เรือนฝั่งตะวันตก
จากนั้น เขาก็พบเฉิงฉู่หน้าคล้ำง้ำงอยืนอยู่หน้าประตูห้องกูเยว่อู๋เหิน เขาโบกไม้โบกมือให้เฉิงฉู่ อีกฝ่ายก็รีบวิ่งเข้ามาหา “คุณชายซ่ง ไม่ใช่ว่าท่านถูกผู้อาวุโสโยนออกไปแล้วหรือไง”
“อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก เจ้าบอกข้ามาว่าจู่ๆ ซินเยว่เยี่ยนกลับมาเพราะอะไร” ซ่งอวี้เชวียสีหน้าเต็มไปด้วยความโมโห
เฉิงฉู่รีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้ซ่งอวี้เชวียฟังทันที…
ซ่งอวี้เชวียพยักหน้า ใบหน้าทรงเสน่ห์นั้นเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
“เจ้าไปจัดห้องพักให้ข้าหน่อย…”
“ขอรับ”
……
ตกดึก
เยี่ยเม่ยออกจากห้องตัวเอง เดินไปยังป่าไผ่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ในใจยังกังวล หลังจากที่ซินเยว่เยี่ยนจากไปแล้ว ก็ไม่กลับมาหานาง ทั้งไม่ได้ยินว่ากูเยว่อู๋เหินจะพบนางด้วย
นางเดินทางมาถึงหมู่ตึกกูเยว่ใช้เวลาไปสี่วันแล้ว หนทางกลับไปก็สี่วันเช่นกัน วันนี้เสียเปล่าไปหนึ่งวัน หากพรุ่งนี้ยังไม่ได้พบกูเยว่อู๋เหินอีก เรื่องราวก็จะยุ่งยากมาก
ระหว่างกลัดกลุ้มเยี่ยเม่ยยืนอยู่ข้างป่าไผ่ แหงนหน้าชมจันทร์บนฟ้า
ในเวลานี้เอง นางได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทิศที่ห่างออกไป
ยังไม่ทันหันไปมองดู กระแสลมแรงสายหนึ่งพัดวูบมายังตำแหน่งของนาง เยี่ยเม่ยใจเต้นระส่ำ ขยับหลบไปด้านซ้ายในฉับพลัน หลีกเลี่ยงการโจมตีได้คราหนึ่ง
ส่วนคนผู้นั้นคล้ายคาดเดาได้ว่านางจะหลบไปทางซ้าย ประเคนฝ่ามือหนึ่งเข้ามาจู่โจมนางอีกครั้งเยี่ยเม่ยแววตาเย็นเยียบ กระชากพัดที่เหน็บอยู่ข้างเอวออก พัดคลี่ออกราวกับดอกไม้อยู่กลางอากาศ หมุนคว้างอยู่กลางฝ่ามือนาง ยับยั้งกำลังจากฝ่ามือนั้น ทำให้ไม่เกิดอะไรขึ้น
เยี่ยเม่ยมองคนผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชา ทว่านางตกตะลึงไปชั่วครู่
ร่ายกายคนผู้นั้นตรงราวกับต้นไผ่…. ชุดต่วนสีขาวทั้งร่าง ปักลายดอกไม้สีฟ้าและสีดำ บนผมครอบด้วยรัดเกล้าหยกสีขาวสะอาด สองด้านมีปอยผมราวเส้นไหมทิ้งยาวลงมา ยิ่งทำให้เขาดูเหนือจากโลกหล้า
ส่วนอาภรณ์ที่เดิมทีดูเต็มไปด้วยลวดลาย ทว่าเพราะสีสันเข้ากันได้กลับไม่ดูลายตาเกินเหตุ แสดงออกถึงรสนิยมสูงส่งของผู้เป็นเจ้าของ
ภายใต้แสงจันทรา
เขาคล้ายกับดวงจันทร์สาดส่อง สูงส่ง สงบนิ่ง และเย็นเยือกอย่างสูงสุด
เพียงแต่ว่า…
ใบหน้าของเขามีหน้ากากดูดุร้ายอันหนึ่งบดบังอยู่ ดังนั้นจึงไม่อาจเห็นโฉมหน้า แต่ถึงเป็นเช่นนี้เยี่ยเม่ยก็ยังคาดเดาได้ว่า ต้องเป็นบุรุษรูปงามเหนือโลกอย่างแน่นอน คนที่มีกิริยาเช่นนี้ รูปลักษณ์ย่อมไม่ธรรมดา
นางเอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านคือ”
คนผู้นั้นไม่ตอบ เขาเดินมายืนนิ่งข้างกายนาง
สายตานิ่งสงบมองแสงจันทร์บนฟ้า น้ำเสียงเย็นเยือกราวหิมะบนภูเขาน้ำแข็ง “แม่นางคิดว่าทิวทัศน์ของหมู่ตึกกูเยว่เป็นเช่นไร”
เห็นเขาไม่มีวี่แววจะลงมือ จิตสังหารจากร่างเยี่ยเม่ยก็ถดถอยลงไปหลายส่วน
แต่ก็ยังระวังบุรุษด้านข้างอยู่บ้าง กันไม่ให้เขาสบโอกาสลงมืออีกครั้ง นางตอบกลับไปด้วยเสียงนิ่ง “ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งหรือว่าดอกไม้ต้นไม้ ก็มากพอให้เห็นว่าประมุขของหมู่ตึกกูเยว่เป็นคนมีรสนิยมสูงส่ง”
“อ้อ” บุรุษผู้นั้นเบือนหน้ามองนางทีหนึ่ง กลับเป็นท่าทางยินยอมพร้อมรับฟัง
เยี่ยเม่ยรีบเอ่ยทันที “ยกตัวอย่างรายละเอียดปลีกย่อยอย่างหนึ่งก็แล้วกัน สิ่งปลูกสร้างทั่วไปในสวนดอกไม้ มักเป็นภูเขาจำลอง ทำให้ทิวทัศน์เหมือนกับธรรมชาติ ทว่าหมู่ตึกกูเยว่กลับเลือกปลูกต้นไผ่ คนยืนในป่าไผ่สูง เงยหน้าก็เห็นจันทร์บนฟ้า นี่ถือเป็นวิวทิวทัศน์ตามธรรมชาติอย่างแท้จริง ราวกับว่าตัวตนและทิวทัศน์นั้นคือทิวทัศน์ตามธรรมชาติ ถือเป็นความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด”
ครั้นเอ่ยถ้อยคำนี้ออกมา เยี่ยเม่ยก็เสริมต่อว่า “ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง การปลูกดอกไม้ต้นไม้ในสวน หากให้เวลาข้าสิบปีในการดูแล ข้าก็ไม่อาจจัดเป็นภาพเช่นนี้ออกมาได้”
นี่เป็นคำพูดจากใจจริง
นางรักชื่นชม แต่ไม่ได้หมายความว่านางมีความสามารถด้านศิลปะมากพอจะจัดสวนได้ กลับกันนางเกิดมาก็ขาดพรสวรรค์ด้านงานศิลปะแล้ว ดังนั้นให้เวลานางอีกสิบปี นางก็ทำออกมาไม่ได้
บุรุษผู้นั้นพึงพอใจคำวิจารณ์ของเยี่ยเม่ย เขาโบกมือเบาๆ
สักครู่ก็มีคนหลายคนถือถาดเดินออกมา
เขาชี้ไปที่โต๊ะหินไม่ไกลออกไป บ่งบอกให้เยี่ยเม่ยไปนั่ง
เยี่ยเม่ยไม่คัดค้าน เดินตรงไปนั่งลงที่โต๊ะหิน บ่าวไพร่ค่อยวางสุราและจอกแก้วที่อยู่ในถาดลง
บนโต๊ะมีสุราสามกา
บ่าวผู้หนึ่งยกกาสุราขึ้น รินให้พวกเขาคนละจอก
บุรุษผู้นั้นยกจอกสุราขึ้นดื่ม เยี่ยเม่ยก็ยกขึ้นดื่มเช่นกัน
เมื่อสุราหนึ่งจอกไหลลงสู่ท้อง สายตาราบเรียบของบุรุษก็มองเยี่ยเม่ย ถามด้วยเสียงนิ่งเรียบว่า “แม่นางคิดว่าสุรานี้เป็นอย่างไร”
“หอมกำจายไปสามลี้ อย่างนี้สมควรบ่มไว้ยี่สิบปีแล้ว” เยี่ยเม่ยเข้าใจเรื่องสุรามากพอ
บุรุษผู้นั้นมองบ่าวด้านข้างอีกครั้ง
บ่าวรินสุราอีกกาให้ทั้งสองคนละจอกอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เยี่ยเม่ยหยิบจอกสุราดื่มทันที สักครู่หนึ่งสายตานางก็วาวโรจน์
ไม่รอให้บุรุษตรงหน้าเอ่ยปาก นางก็ชิงกล่าวว่า “สุรานี้ข้ารู้จัก สุรานี้ดื่มแบบนี้ไม่ถูกต้อง”
“อ้อ” สายตาราบเรียบของบุรุษผู้นั้นเผยประกายความสนใจขึ้นมาบ้าง