เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 196 เจ้ามันสารเลว ชาติชั่ว เดียรัจฉาน
ห้องนอนของเยี่ยเม่ย
มีบุรุษผู้หนึ่งนั่งรออยู่อย่างเงียบๆ
เขาเข้ามาตั้งแต่ฟ้าเริ่มมืดจนถึงตอนนี้ก็รอมาครึ่งชั่วยามแล้ว ไม่เห็นคนกลับมา หว่างคิ้วขมวดแน่น ค่อยๆ หมดความอดทน
ฉันพลัน ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาจากด้านนอก
เขาพลันลุกขึ้นมองไปที่ประตู “เจ้ากลับมาแล้ว…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ เห็นคนที่เข้าประตูมา มุมปากเขาพลันกระตุก
ผู้มาเห็นเขาก็กระตุกมุมปากเช่นกัน…
“ทำไมถึงเป็นท่านเล่า อาจารย์” จิวมั่วเหอตะลึงเล็กน้อย วันนี้เขาสวมชุดออกศึก เป็นชุดเฉพาะของต้ามั่ว ดูเข้มแข็งน่าเกรงขาม ดวงเนตรสีฟ้าด้านหลังแพขนตายาวฉายความเย็นเยือก เมื่อมองดูทั่วร่าง กลับเป็นความองอาจอย่างหาไม่ได้อีก
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มองสำรวจลูกศิษย์ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างตั้งใจครู่หนึ่ง เขาลูบเครา ถามอย่างสงสัยว่า “ทำไมเป็นเจ้า ดึกดื่นค่อนคืนมาทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ในห้องศิษย์น้องเจ้าทำไม”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ถามเช่นนี้ คล้ายฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาพลันอาละวาดขึ้นมา คว้าเก้าอี้ยาวฟาดใส่จิวมั่วเหอ
“เจ้ามันสารเลว ชั่วช้า เดียรัจฉาน กลางค่ำกลางคืนไม่หลับไม่นอน คิดมิดีมิร้ายกับศิษย์น้องของตัวเอง เจ้าทำให้ข้าโมโหจะตายแล้ว…”
“เดี๋ยวๆๆ ท่านอาจารย์ ท่านบ้าไปแล้วเหรอ”
“นี่ หยุดได้แล้ว ตาแก่ เห็นแก่ที่ท่านเป็นอาจารย์ ข้าถึงไม่โต้ตอบ ท่านอย่าได้บีบคั้นข้าเชียวนะ”
“นี่นี่นี่ ท่านพอได้หรือยัง หากข้าคิดจะล่วงเกินนางจริงๆ ทำไมข้าไม่แอบย่องเข้ามา ทำไมข้าต้องนั่งเปิดเผยแบบนี้ด้วยเล่า ”
จิวมั่วเหอโมโหอาจารย์ของตัวเองแทบตายแล้ว
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ตีคนไปได้หลายที ค่อยฉุกคิดได้ หากคิดล่วงเกินจริงๆ ต้องแอบมา ไม่มีทางมานั่งเด่นอยู่กลางห้องแบบนี้
เมื่อคิดได้ เขาก็หยุดการจู่โจม
จิวมั่วเหอนวดบ่าของตัวเองที่ถูกเก้าอี้ยาวฟาดไปหลายที หากไม่ใช่เขาบังหน้าตัวเองไว้ตลอด ใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งต้ามั่ว คงเสียโฉมไปเพราะเก้าอี้ยาวแล้ว
เมื่อเห็นผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่สงบลงได้ จิวมั่วเหอเริ่มโมโห ชี้หน้าด่าผู้เป็นอาจารย์ “ตาแก่บ้า ข้าจะบอกท่านไว้ หากครั้งหน้าท่านยังตีข้าอีก อย่าโทษข้าไม่เห็นแก่ความเป็นศิษย์อาจารย์ โต้ตอบท่าน กำลังภายในของข้าอยู่ในธาตุสายฟ้า ทั้งอยู่ในขั้นสุดยอดของสายฟ้าแล้ว ท่านต้องคิดให้ดีนะ”
ยอดฝีมือทุกคนต่างก็มีพลังธาตุในกำลังภายในของตนเอง นี่เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของคนผู้นั้น ทั้งเกี่ยวพันกับการฝึกวรยุทธ์ ทันทีที่สำเร็จถึงขั้นสุดยอด ก็ยิ่งยากจะพ่ายแพ้ ถึงแม้ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่จะเป็นอาจารย์ แต่หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็ใช่ว่าจะได้เปรียบมาก
เก้าอี้ยาวในมือผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ยังคงอยู่ เขาปรายตามองจิวมั่วเหอ “สำเร็จถึงขั้นสุดยอดแล้วจริงเหรอ”
“เหลวไหล” จิวมั่วเหอตวัดสายตาใส่อาจารย์ทีหนึ่ง
หากมิใช่ถึงขั้นสุดยอดแล้ว จะประมือกับเทพกระบี่และราชาดาบแล้วเอาชนะได้เหรอ อีกอย่างคนทั่วหล้าต่างก็รู้ว่าเขาเอาชนะได้แค่ครึ่งกระบวนท่าเท่านั้น ความจริงแล้วเขายั้งมือเอาไว้ ไม่ใช้พลังทั้งหมด
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เป็นคนแก่ที่ยืดได้หดได้ เมื่อได้ฟัง ก็ไม่พูดอะไรอีก วางเก้าอี้ยาวลงอย่างว่องไว “ไม่มีอะไร เมื่อครู่อาจารย์แค่อยากยืดเส้นยืดสาย”
“หึ ท่านมันตาแก่บ้า ต้องมีสักวันที่ข้าตีท่านให้ตาย” จิวมั่วเหอกัดฟันแน่น
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่รู้ดีว่า ถึงแม้ศิษย์คนนี้มักจะเอ่ยปากไม่เคารพเขา ทว่าในใจย่อมเลื่อมใสเขาแน่ ไม่มีทางโต้ตอบง่ายๆ เขาจึงไม่เก็บคำพูดของจิวมั่วเหอใส่ใจ แค่นเสียงหึเบาๆ ลูบเครา นั่งลง “อย่างนั้นเจ้าลองบอกมาสิว่า เจ้ามาหาศิษย์น้องหญิงเจ้าทำไม เดี๋ยวก่อน คงไม่ใช่คิดจะมาเปิดโปงข้าหรอกนะ”
ก้นที่เพิ่งจะนั่งก็กระเด้งขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งยังยกเก้าอี้ยาวขึ้น “หากเจ้าทำให้นางรู้ว่าเจ้าคือศิษย์ข้า ข้าจะจัดการเจ้าซะ”
จิวมั่วเหอ “…พอได้แล้วยัง ข้ามาหานาง ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้แน่”
เคราะห์ดีที่จิวมั่วเหอไม่ใช่บุรุษใจแคบ ไม่เช่นนั้นอาศัยที่อาจารย์ลำเอียงเช่นนี้ เขาสมควรไปคิดบัญชีกับศิษย์น้องหญิงร่วมสำนักแล้ว ดูสิว่านางกรอกยาอะไรให้อาจารย์กินกันแน่
เมื่อเขาเอ่ยออกมา ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พลันรู้ว่าตัวเองวู่วามเกินเหตุ
หัวเราะแห้งๆ คำหนึ่ง วางเก้าอี้ยาวลง ลูบเคราใช้ความคิด พลันทำหน้าทำตาน่าเกลียดใส่จิวมั่วเหอ “ศิษย์ข้า เจ้าพูดมาตามตรง เจ้ากับเยี่ยเม่ยคงไม่ได้แอบมีอะไรลับหลัง เป่ยเฉินเสียเยี่ยน….”
พูดไปพลาง ก็ยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมา
“อาจารย์ ท่านเคยได้ยินคำพูดหนึ่งหรือเปล่า” จิวมั่วเหอรู้สึกแตกตื่นอยู่บ้าง
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ใบหน้ายิ้มแย้มชั่วร้ายเอ่ยว่า “ไหนลองว่ามา”
“คนแก่ไม่น่าเคารพ”
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ “…”
จิวมั่วเหอมองผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ทีหนึ่ง ทั้งคร้านจะใส่ใจ หวนคิดว่าวันนี้ก่อนออกจากบ้านตัวเองคงลืมดูฤกษ์ยาม ถึงได้พบเจออาจารย์อยู่ที่นี่ด้วย
ดังนั้นเขาลุก ก้าวเท้าจากไป “ในเมื่อวันนั้นท่านก็มีเรื่องมาหานาง อย่างนั้นข้าขอตัวไปก่อน”
“เดี๋ยว หยุด” ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่เองก็ลุกขึ้น “อย่างนั้นเจ้าอยู่ก่อนเถอะ ยังไงเสียข้าก็ไม่มีธุระด่วนอะไร เจ้าเอาของชิ้นนี้มอบให้กับเยี่ยเม่ย บอกนางว่าของสิ่งนี้นางสามารถใช้ได้ ภายหน้าอาจจะช่วยชีวิตนางได้ แต่นางจะเอาไปใช้ยังไงก็แล้วแต่นาง”
พูดจบแล้ว ก็ยื่นขวดกระเบื้องใบหนึ่งให้กับจิวมั่วเหอ
จิวมั่วเหอเปิดขวดกระเบื้องออกดมดู หน้าเปลี่ยนสีไปในฉับพลัน “อาจารย์ หรือว่านี่คือผงราชาหนอนพิษ ของสิ่งนี้ท่านไม่เสียดายหรือ”
นี่ช่างลำเอียงเหลือเกิน
ของสิ่งนี้ร้อยปีที่ผ่านมามีแต่คำเล่าลือ ไม่เคยมีคนพบเห็นมาก่อน เขาเพียงได้ฟังมาเท่านั้น ถึงได้ดมกลิ่นแล้วรู้จักมัน แต่ก็ไม่รู้ว่าตาแก่นี่ไปเอามาจากไหน หลังจากได้ของมาก็ไม่ถามศิษย์คนอื่น มอบให้เยี่ยเม่ยเลย ช่างชวนให้โมโหจริงๆ
เห็นจิวมั่วเหอสีหน้าตกใจ ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่ก็รู้ว่าตัวเองทำเกินไปหน่อย
เขามุ่นคิ้วอธิบาย “ข้ามีเพียงขวดนี้ขวดเดียวเท่านั้น ทั้งยังเป็นของกราบอาจารย์ที่ได้มาจากศิษย์น้องสามของเจ้าเมื่อหลายปีก่อน เอาอย่างนี้แล้วกัน ในเมื่อเจ้าก็เห็นแล้ว เจ้ากับศิษย์น้องเจ้าก็แบ่งกันคนละครึ่งเป็นอย่างไร”
“ศิษย์น้องสามที่ข้าไม่เคยเห็นหน้าอย่างนั้นเหรอ” จิวมั่วเหอกลับขมวดคิ้ว
ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่พยักหน้า เอ่ยด้วยเสียงยินดีว่า “ดังนั้นในบรรดาศิษย์อกตัญญูอย่างพวกเจ้าทั้งหลาย คนที่ได้ใจของอาจารย์ที่สุดก็คือศิษย์น้องสามเจ้า ไม่พูดแล้ว เจ้าจะทำอะไรก็แล้วแต่เจ้า ข้าไปล่ะ”
เมื่อผู้เป็นอาจารย์เอ่ยจบก็ทะยานออกไปจากหน้าต่าง
……
ในเวลานี้ เยี่ยเม่ยกลับมาพอดี
นางก้มหน้าก้มตาเดินเข้าเรือนของตน คิดถึงบทสนทนาของตัวเองกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเมื่อครู่ เยี่ยเม่ยกังวลว่าภายหน้าตัวเองจนสูญเสียตำแหน่งเป็นใหญ่ในบ้านไป ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับตอบมาอย่างไม่ใส่เลยว่า ภายหน้าเขาจะยังเชื่อฟังนางเสมอ
นางไม่พูดอะไรอีก ตรงดิ่งกลับมาที่เรือน
แต่สรุปแล้วนางเชื่อคำพูดของเขาครึ่งหนึ่งไม่เชื่อครึ่งหนึ่ง รู้สึกไม่สงบใจเป็นอย่างมาก คิดอยู่ตลอดว่าภายหน้านางต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่
เยี่ยเม่ยถอนหายใจอย่างหงอยๆ ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องการหมั้นหมาย ช่างเหลวไหลทั้งเพ
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง ก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจของคน
ไม่ช้า จิวมั่วเหอยื่นขวดกระเบื้องในมือให้เยี่ยเม่ย “ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มอบให้เจ้า”