เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 172 ข้าอยากรู้ว่า เจ้าเป็นใครกันแน่
ในขณะที่ชิงเกอตอบ ก็ประเมินเยี่ยเม่ยไปด้วย
พูดตามตรง ความตกตะลึงในใจของเขาไม่ด้อยไปกว่าอี้อ๋องเลย สตรีนางนี้…หน้าตาเหมือนจงเจิ้งซีเกินไปแล้ว หากมิใช่มั่นใจว่าอีกฝ่ายตายไปแล้ว เขาก็สงสัยว่า นางคือจงเจิ้งซีใช่หรือไม่
“เหตุผลคือ” เยี่ยเม่ยถามด้วยเสียงเย็นชา
แววตาเย็นเยียบปราดมองชิงเกอ รอคำตอบของอีกฝ่าย
ถึงจะบอกว่าผู้ตรวจการทหารมาพบผู้นำทัพไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ว่าอย่างไรนางก็เป็นผู้นำทัพแต่ชื่อ หากเป่ยเฉินอี้อยากพบสมควรไปพบเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่ใช่มาหานาง
ชิงเกอฟังคำถามของนางแล้ว นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “หรือแม่นางไม่อยากพบอี้อ๋อง”
ใต้หล้านี้มีคนมากมายแค่ไหนที่ต่อแถวเข้าพบอี้อ๋อง หวังได้รับการชี้แนะแม้เพียงเล็กน้อย ก็ช่วยยกระดับสติปัญญาขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง นางถึงกับไม่อยากพบหรือ
เยี่ยเม่ยไม่ตอบแต่ย้อนถาม “ข้ามีเหตุผลอะไรถึงอยากพบเขา”
จากคำพูดก่อนหน้าของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ภาพลักษณ์ของเป่ยเฉินอี้ที่มีต่อเยี่ยเม่ยไม่ดีนัก วันนี้เห็นเป่ยเฉินอี้บนกำแพง นางรู้สึกว่าอันตรายมาก…
หากต้องบอกเหตุผลในการพบเขาให้ได้…
ความจริงเยี่ยเม่ยก็หาใช่ไม่มี อย่างไรเสียนางก็อยากรู้ว่า ก่อนหน้านี้นางเคยพบเป่ยเฉินอี้หรือไม่
เพียงแต่ คำพูดนี้ไม่ปลอดภัยที่จะเอ่ยออกมา อาจพานางเข้าสู่บรรยากาศที่นางไม่คุ้นเคย ดังนั้นเยี่ยเม่ยจึงไม่เอ่ยปากก่อนชั่วคราว
เยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา
ชิงเกอเงียบลงสักพัก สุดท้ายก็เลิกคิ้วกล่าวว่า “อี้อ๋องบอกว่าวันนี้แม่นางนำทัพผิดสามประการ อี้อ๋องต้องการพูดคุยกับแม่นางเยี่ยเม่ย”
คำตอบนี้ทำให้สายตาของเยี่ยเม่ยปรากฏความตกใจ จ้องชิงเกอถามว่า “นี่ถือว่าเป็นวิธียั่วยุหรือ”
“ท่านอ๋องกลับคิดว่า นี่เป็นวิธีเชิญ” หลังจากชิงเกอคารวะแล้วก็ก้มหน้าลง
คราวนี้เยี่ยเม่ยเป็นฝ่ายหัวเราะเสียงเย็น “นั่นก็ดี ข้าอยากฟังว่า ความผิดสามประการของท่านอ๋องเจ้าเป็นอย่างไรกันแน่”
สิ้นเสียง เยี่ยเม่ยสาวเท้ากว้าง สั่งชิงเกอว่า “นำทาง”
“ขอรับ”
……
สิบลี้นอกเมืองชายแดน
ทหารของต้ามั่วหมอบซุ่มอยู่บริเวณที่ลับตา
รออยู่นานพักใหญ่ก็รอเปล่า ไม่เห็นทหารของเป่ยเฉินตามมาติดกับ
นายทหารผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังจิวมั่วเหอเอ่ยปากว่า “แม่ทัพจิวมั่ว ดูท่าพวกมันคงไม่ไล่ตามมา”
จิวมั่วเหอฟังคำ สีหน้ากลับฉายแววเดือดดาล
ครู่หนึ่งผ่านไป แววโทสะนั้นค่อยๆ คลายลง เปลี่ยนเป็นความสนใจ “ข้าดูแคลนศัตรูไปใช่หรือไม่ เยี่ยเม่ยผู้นั้น ไม่ธรรมดาจริงๆ เห็นข้านำทัพหนีตาย นางกลับไม่ไล่ตาม”
ตั้งแต่เวลาที่นางกล้านำทัพออกรับศึกนอกเมือง ในใจของจิวมั่วเหอก็เกิดความสงสัย ทว่าเพราะเชื่อมั่นว่าตัวเองรับมือไหว ดังนั้นจึงไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร คิดไม่ถึงเลยว่าจะเสียเปรียบครั้งใหญ่เช่นนี้
ยามนี้เขาพลันฉุกคิดได้ เซียวชินเคยบอกกับตนว่า หากไม่ระวังสักนิดเดียวจะประสบความพ่ายแพ้ครั้งแรกในชีวิต
“ท่านแม่ทัพ เอาอย่างไรต่อไปดี” นายทหารผู้นั้นถามมาจากด้านหลัง
จิวมั่วเหอสั่งการเสียงเย็นเยียบ “ถอยทัพ”
“รับทราบ”
ส่วนสายตาของจิวมั่วเหอ มองไปทิศทางกำแพงเมืองเป่ยเฉิน จับจ้องอยู่นาน เป้าหมายของเขาในตอนนี้คือตำแหน่งราชา แต่วันนี้พ่ายแพ้ให้กับเยี่ยเม่ย ก็เริ่มทำให้เขาสงสัย
หากหลังจากตนได้ขึ้นเป็นราชาแล้ว วันใดคิดบุกดินแดนภาคกลาง ขุมกำลังของราชสำนักเป่ยเฉินมีสตรีที่ไม่เล่นตามหลักการปกติผู้นี้เพิ่มขึ้นมา ตัวเขายังมีโอกาสเอาชนะได้หรือไม่
“ท่านแม่ทัพ” เมื่อเห็นจิวมั่วเหอไม่ขยับ คนที่เข้ามาจึงเรียก
จิวมั่วเหอถอนสายตากลับ “ไปเถอะ”
“ขอรับ”
……
เยี่ยเม่ยติดตามชิงเกอ เข้าสู่เรือนของเป่ยเฉินอี้
นางเดินกอดอก มีท่าทางเหลาะแหละเกเร หลังจากเดินเข้าเรือนมาแล้ว สายตาเย็นเยียบมองเป่ยเฉินอี้ ความคิดจะทำความเคารพเขาไม่มีเลยสักน้อยนิด
เป่ยเฉินอี้เห็นนางเดินเข้ามา สายตาลุ่มลึกก็จ้องเยี่ยเม่ย
สายตาคล้ายกับมองทะลุคนได้ ทำให้เยี่ยเม่ยเริ่มสงสัย สรุปแล้วเขามองตัวนาง หรือว่ามองคนอื่นผ่านตัวนางกันแน่ ในห้วงความสงสัยนั้นเอง
เป่ยเฉินอี้พลันถอนสายตากลับ ทันทีที่นางก้าวเท้าก้าวแรกเข้าห้อง น้ำเสียงทุ้มต่ำเสนาะหูก็ดังขึ้น “แม่นางเยี่ยเม่ย ก่อนหน้าเคยพบจิวมั่วเหอมาก่อน ใช่หรือไม่”
เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ เยี่ยเม่ยพลันชะงักฝีเท้า
สีหน้าเหลาะแหละหายไปแล้ว เพิ่มความหนักแน่นขึ้นมาหลายส่วน ไม่รอให้อี้อ๋องเอ่ยปาก เยี่ยเม่ยก็เดินเข้าไปนั่งตรงหน้าเขา
นางมองเป่ยเฉินอี้ด้วยความเย็นชา “ไม่ทราบว่าเหตุใด อี้อ๋องถึงเอ่ยเช่นนี้”
“จากฝีมือของเจ้าทำให้จิวมั่วเหอล่าถอยไปได้ ก็พอให้ดูออกว่าเจ้าหาใช่คนโง่เขลา แต่การละเลยการปกป้องเมือง ออกไปรับศึกเป็นความผิดมหันต์ ตัวข้าได้แต่คาดการณ์ว่า เจ้าเคยพบจิวมั่วเหอ” คำพูดของอี้อ๋องไม่เร็วมาก ทว่าแต่ละคำพูดตรงประเด็นยิ่ง
เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ก็ไม่ตอบตรงๆ ย้อนถามเป่ยเฉินอี้กลับไปประโยคหนึ่ง “ท่านอ๋องยังทราบอะไรอีกบ้าง”
เป่ยเฉินอี้กวาดตามองเยี่ยเม่ย จับจ้องสีหน้าของนางทั้งหมด เอ่ยเสียงต่ำ “ข้ารู้มากมายนัก ข้ายังรู้อีกว่าหากพวกเจ้าเคยพบกันมาก่อน จิวมั่วเหอจะพูดอะไรกับเจ้าบ้าง ข้ายังรู้ถึงกระทั่งว่า การร่วมมือของพวกเจ้าสำเร็จแล้ว”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา แววตาของเยี่ยเม่ยสงบนิ่งลง
การคาดการณ์ไม่มีส่วนใดผิด จิวมั่วเหอบอกว่า หากครั้งนี้นางชนะ ภายหน้าจิวมั่วเหอจะยอมแพ้ต่อเป่ยเฉิน อีกทั้งยอมส่งหนังสือสงบศึก ส่วนศึกครั้งนี้ ตัวนางก็ชนะจริงๆ
เป็นดั่งที่เป่ยเฉินอี้กล่าว การร่วมมือสำเร็จแล้ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินอี้ “อย่างนั้นท่านอี้อ๋อง คิดว่าการคาดการณ์ของท่านจะถูกต้องอย่างนั้นหรือ”
“ถูกหรือไม่ถูกต้อง แม่นางเยี่ยเม่ยเข้าใจดีกว่าข้ามิใช่หรืออย่างไร” แววตาทอรอยยิ้มของเป่ยเฉินอี้มองเยี่ยเม่ย รอยยิ้มนั้นกลับไม่ได้มาจากเบื้องลึกของนัยน์ตา
ครั้นเอ่ยถึงยามนี้ เยี่ยเม่ยก็เข้าใจแล้ว แสร้งว่านางไม่เคยร่วมมือก็คงทำไม่ได้
บุรุษเบื้องหน้า รู้เรื่องทุกอย่าง
นางสูดลมหายใจลึก จ้องเป่ยเฉินอี้ “อย่างนั้นไม่รู้ว่า ความผิดพลาดสามประการของข้าที่อี้อ๋องกล่าวถึง นั่นหมายความว่าอย่างไร”
ถึงเยี่ยเม่ยเป็นคนมั่นใจในตัวเอง อ่านตำราพิชัยยุทธไม่น้อย ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็กรำศึกในกระดาษเท่านั้น ออกสนามรบจริงก็เพิ่งทำช่วงนี้ หากบอกว่าเป่ยเฉินอี้มองจุดที่เยี่ยเม่ยทำไม่ถูก กล่าวออกมาให้นางยอมรับจากใจ นางก็ยินยอมรับคำชี้แนะของอีกฝ่าย
แต่หากเหตุผลไม่สมเหตุล่ะก็ อย่างนั้นนางก็จะ “สั่งสอน” เป่ยเฉินอี้ให้เปลี่ยนนิสัยความชอบวิจารณ์ส่งเดชผู้อื่นซะ
“ปัญหานี้ เป่ยเฉินอี้ตอบแม่นางได้ แต่…” สายตาล้ำลึกเป็นพิเศษของเป่ยเฉินอี้มองเยี่ยเม่ย เอ่ยเสียงขรึม “เพื่อเป็นการตอบแทนแม่นางเยี่ยเม่ย จะตอบคำถามเป่ยเฉินอี้สักข้อได้หรือไม่”
ในประโยคนั้น เขาใช้คำว่าเป่ยเฉินอี้ หาใช่ข้า นั่นก็หมายความทั้งสองมีฐานะเท่าเทียม การแสดงออกนี้ทำให้เยี่ยเม่ยไม่ต่อต้านเขา
หญิงสาวเอ่ยปากว่า “เชิญท่านว่ามา”
น้ำเสียงของเป่ยเฉินอี้เปลี่ยนเป็นนิ่งลง สายตาลุ่มลึกยากจับได้ จ้องเขม็งที่เยี่ยเม่ย “เยี่ยเม่ย ข้าอยากรู้ว่าเจ้าเป็นใครกันแน่”