เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 152 เป่ยเฉินเสียเยี่ยนบอกว่าข้าทำเขาบาดเจ็บหรือ
เสี้ยววินาทีนั้น เยี่ยเม่ยไม่รู้ว่าตัวเองสมควรตอบว่าอะไรดี
นางเงียบไปสักพัก เยี่ยเม่ยเอ่ยถามขึ้นว่า “อย่างนั้น ใครเป็นคนพาเจ้ากลับมา”
จิ่วหุนก้มหน้าไม่ส่งเสียง
เยี่ยเม่ยครุ่นคิดไม่นาน ถามขึ้นว่า “เจ้ากลับมาเองแล้วใช่ไหม”
“อืม” จิ่วหุนตอบกลับอย่างไม่เต็มใจ
จากนั้นเงยหน้ามองเยี่ยเม่ย เอ่ยด้วยเสียงเป็นทุกข์ว่า “เจ้าไม่ไปหาข้าก็ช่างเถอะ ข้ากลับเองก็ได้”
เยี่ยเม่ยพูดไม่ออก เจ้าเด็กนี่วันๆ เอาแต่คิดเรื่องอะไรกันแน่
ตอนนี้นางรู้สึกว่าในความจนปัญญานั้นแฝงด้วยความสงสาร ในความสงสารนั้นแฝงไปด้วยความจนปัญญา ทำให้นางไม่รู้ว่าประโยคถัดไปควรพูดว่าอย่างไรดี
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดเยี่ยเม่ยก็คิดได้ “เมื่อวานคนในค่ายทหารทั้งหมดออกตามหาเจ้าไปทั่ว แต่หาไม่พบ”
ความนัยของประโยคนี้ก็คือ ไม่ใช่ข้าไม่ตามหาเจ้า แต่หาเจ้าไม่พบ
จิ่วหุนพยักหน้า ไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา พ่นคำพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
จิ่วหุนเอ่ยจบ ก็ขยับไปยืนข้างหนึ่ง บ่งบอกว่าไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว
เยี่ยเม่ยเตรียมจะพูดบางอย่างอีก พลันมีบ่าวผู้หนึ่งเข้ามา อีกฝ่ายไม่เข้าใจสถานการณ์ มองจิ่วหุนด้วยสายตาแปลกใจ ถามว่า “คุณชายเสี่ยวจิ่วกลับมาแล้วหรือ”
“อืม” เยี่ยเม่ยรับคำ รีบถามว่า “มีเรื่องอะไร”
บ่าวผู้นี้หน้าคุ้นมาก เยี่ยเม่ยเคยเจอเขาหลายครั้ง เป็นคนเฝ้าประตูเรือนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
บ่าวรั้งสายตากลับมา รีบตอบว่า “จริงด้วย มีเรื่องแล้วจริงๆ อาการบาดเจ็บขององค์ชายสี่กำเริบอีกครั้ง อวี้เหว่ยสั่งให้ข้าน้อยมาบอกท่านว่า หากแม่นางเยี่ยเม่ยมีเวลาว่าง หวังว่าท่านจะไปเยี่ยมองค์ชายสักครั้งหนึ่ง”
เขาพูดออกมาเช่นนี้ จิ่วหุนที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้าง เงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ ถามเสียงกลัดกลุ้มว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนบาดเจ็บแล้วหรือ”
ยามที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับจิ่วหุนต่อสู้กัน คนที่ห้อมล้อมอยู่ล้วนเป็นเหล่าทหาร บ่าวผู้นี้ไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ ดังนั้นจึงไม่เข้าใจเรื่องราวสักน้อย เพียงตอบว่า “ขอรับ”
เยี่ยเม่ยมองการตอบสนองของจิ่วหุน พลันรู้สึกแปลกใจ
แต่เยี่ยเม่ยหยุดพูดไปชั่วขณะ เพียงหันหน้ามองบ่าวคนนั้นทีหนึ่ง “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อน บอกเขาว่าอีกเดี๋ยวข้าจะไปหา”
“ขอรับ” บ่าวผู้นั้นถอยออกไปอย่างว่องไว
หลังจากบ่าวจากไป เยี่ยเม่ยมองจิ่วหุนทีหนึ่งถอนหายใจ เอ่ยว่า “เขาได้รับบาดเจ็บแล้ว เจ้ารู้หรือไม่”
ทั้งๆ ที่สองคนนี้ประมือกัน อีกฝ่ายถึงได้บาดเจ็บนิ
เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมา จิ่วหุนมองนางด้วยสายตาแปลกใจ น้ำเสียงเบาราวสัตว์ตัวน้อยดังขึ้นอย่างเคย “ทำไมข้าต้องรู้ด้วย”
ทำไมเขาต้องรู้ว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนบาดเจ็บด้วยเล่า
เขาออกจากเมืองชายแดนไปตั้งนาน เพิ่งกลับมาเมื่อครู่ไม่ใช่หรือไง
อีกอย่าง จากความสัมพันธ์ของเขากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาคร้านจะห่วงใยอีกฝ่าย
เยี่ยเม่ยเริ่มแปลกใจ ปรายตามอง จิ่วหุน “ไม่ใช่ว่าเจ้าสองคนประมือกัน ในตอนที่เขาจะเอาชนะได้ ฉุกคิดถึงคำพูดของข้า จึงยั้งมือไว้ทัน ไม่เอาชีวิตเจ้า ดังนั้นเจ้าถึงทำร้ายเขาบาดเจ็บ”
จิ่วหุน “เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถูกข้าทำร้ายบาดเจ็บหรือ”
“ถูกแล้ว” เยี่ยเม่ยพยักหน้า
จิ่วหุนเงียบไปหลายวินาที มองสีหน้าเยี่ยเม่ยก็ดูไม่คล้ายกำลังล้อเล่น
เขาฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จ้องเยี่ยเม่ย ถามเสียงกลุ้มว่า “เพราะว่าเจ้าได้ยินเช่นนี้ วันนั้นถึงไปดูแลเขาอย่างนั้นเหรอ”
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนโง่ เรียบเรียงเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ถูกแล้ว”
……
เรือนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
บ่าวผู้หนึ่งเดินเข้ามารายงาน “เตี้ยนเซี่ย รายงานไปแล้ว แม่นางเยี่ยเม่ยบอกว่าอีกเดี๋ยวนางจะมา”
บ่าวพูดไป พลางรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ไหนว่าเตี้ยนเซี่ยบาดเจ็บสาหัสมิใช่หรือ เหตุใดสภาพของเตี้ยนเซี่ยในเวลานี้ไม่คล้ายได้รับบาดเจ็บเลย ต้องการคนดูแลที่ไหนกัน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า ค่อยๆ เอ่ยว่า “รู้แล้ว ออกไปได้”
“ขอรับ” ถึงบ่าวจะแปลกใจ แต่ก็ล่าถอยออกไป
หลังจากเขาหมุนกายเตรียมจากไป พลันฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หันกลับไปหาเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยต่อว่า “จริงสิ เตี้ยนเซี่ย คุณชายเสี่ยวจิ่วกลับมาแล้ว”
“อะไรนะ ” อวี้เหว่ยอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ
มือที่เตรียมจะรินชาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันชะงัก กวาดตามองบ่าวผู้นั้น ถามว่า “กลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ”
บ่าวตอบว่า “ขอรับ กำลังสนทนาอยู่กับแม่นางเยี่ยเม่ย”
อวี้เหว่ยถามเสียงสั่น “เจ้าคงไม่ได้บอกแม่นางเยี่ยเม่ยต่อหน้าจิ่วหุนว่าอาการของเตี้ยนเซี่ยกำเริบแล้ว หวังให้แม่นางเยี่ยเม่ยมาช่วยดูแลหรอกนะ”
“ขอรับ ” บ่าวพยักหน้า “ข้าน้อยเอ่ยเช่นนี้ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
อวี้เหว่ยเห็นชัดว่า มือที่จับกาน้ำชาของเตี้ยนเซี่ยสั่นไปเล็กน้อย
อวี้เหว่ยโบกมือเป็นสัญญาณไล่บ่าวออกไป
ถึงบ่าวผู้นั้นจะไม่เข้าใจ แต่ก็รีบจากไป เพราะเขารู้สึกว่าอารมณ์ของเตี้ยนเซี่ย คล้ายจะอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง ยามปกติที่เตี้ยนเซี่ยอ่อนโยนเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่มีเรื่องดีอันใด
รอจนบ่าวผู้นั้นออกไป
อวี้เหว่ยรีบร้องว่า “เสี่ยวกวน”
สิ้นเสียง คนชุดดำผู้หนึ่งปรากฏกายในห้อง บนหน้าผากของคนผู้นั้นมีเม็ดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วผุดออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินคำสนทนาเมื่อครู่
เขาคุกเข่าลง “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยไม่รู้ว่านี่มันเรื่องอะไร ข้าน้อยส่งสายออกไปทั่วทั้งเมืองแล้ว ทั้งยังส่งคนออกไปไล่สังหารจิ่วหุนมากมาย ทว่าจนถึงบัดนี้ ข้าน้อยยังไม่ได้ยินข่าวคราวของจิ่วหุนเลย”
เมื่อเขาเอ่ยจบ
คนทั้งหมดก็เงียบไป
อวี้เหว่ยสั่นเล็กน้อย รีบวิเคราะห์ว่า “เตี้ยนเซี่ย หรือเป็นเพราะจิ่วหุนมีวรยุทธ์สูงส่ง คนของพวกเราไม่อาจพบเห็นร่องรอยของเขาได้ง่ายๆ”
การคาดเดานี้ไม่ใช่ไร้เหตุผล อย่างไรความสามารถของจิ่วหุนก็มีจริงๆ อีกฝ่ายเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของใต้หล้า ฝีมือการพรางกาย อวี้เหว่ยเข้าใจว่าตนคงไม่อาจเทียบได้ ดังนั้นคนใต้บัญชาหาไม่พบก็เป็นเรื่องปกติ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังคำอธิบายของอวี้เหว่ย สายตาเย็นเยือกมองไปที่ร่างของเสี่ยวกวนที่คุกเข่าบนพื้นผู้นั้น ถามด้วยน้ำเสียงน่าฟังว่า “ดังนั้นตัวไร้ค่าที่ทำภารกิจไม่สำเร็จ เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีค่าให้อะไรอีก”
“เตี้ยนเซี่ยโปรดไว้ชีวิตด้วย ” เสี่ยวกวนโขกหัวลงกับพื้น
อวี้เหว่ย รีบเอ่ยไกล่เกลี่ย “เตี้ยนเซี่ย หลายปีมานี้เสี่ยวกวนทำทุกอย่างได้เป็นอย่างดี เพียงแต่คู่มือร้ายกาจเกินไป ท่านคิดก่อนว่าจะรับมืออย่างไรดีกว่า”
อวี้เหว่ยเอ่ยจบก็โบกมือ เสี่ยวกวนรีบหนีไป
ล้อเล่นหรือเปล่า หากเสี่ยวกวนถูกเตี้ยนเซี่ยฆ่าทิ้งเพราะความโมโห ครั้งหน้าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องให้เขาดำเนินการเอง ไม่ เขาไม่ยอม
อีกอย่าง เรื่องนี้ก็เข้าใจได้ จิ่วหุนออกจะร้ายกาจขนาดนั้น
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังคำพูดของอวี้เหว่ย กลับคร้านจะใส่ใจเสี่ยวกวนอีก เขาเงียบนิ่งไปสักพัก อวี้เหว่ยมองออกว่า หน้าผากของเตี้ยนเซี่ยปรากฏเหงื่อซึมออกมา
อวี้เหว่ยเอ่ย “เตี้ยนเซี่ย ท่านไม่ต้องกังวลถึงขั้นนี้ ในทางกลับกันหากต่อสู้กันขึ้นมา แม่นางเยี่ยเม่ยไม่น่าจะเป็นคู่มือของท่านได้”