เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 147 เป็นศัตรูกับเสินเซ่อเทียน ยังโง่เขลากว่าเป็นศัตรูกับสวรรค์
เดิมคิดว่าไม่ว่าพูดอย่างไร ตนก็เป็นถึงองค์ชาย ทั้งยังเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป เสินเซ่อเทียนก็สมควรไว้หน้าเขาบ้าง
จากนั้นเมื่อเป่ยเจี้ยนเกอฟังแล้ว เพียงแค่มองเป่ยเฉินเสียงทีหนึ่ง ค้านว่า “องค์ชายใหญ่รับยาไปแล้วก็กลับไปเถอะ จวินซ่างบอกแล้วว่า วันนี้ไม่อยากตื่นเช้า ไม่รับแขก”
เป่ยเฉินเสียงมุมปากกระตุก
เขาเคยคิดถึงเหตุผลต่างๆ ที่เสินเซ่อเทียนปฏิเสธเขา แต่คิดไม่ถึงเลย อีกฝ่ายจะใช้เหตุผลธรรมดาถึงเพียงนี้ ไม่อยากตื่นเช้า
เป่ยเฉินเสียงสีหน้าคล้ำ เอ่ยว่า “อย่างนั้นข้าจะรอถึงช่วงสาย หรือไม่ก็กลางวัน รอจนกระทั่งจวินซ่างตื่นนอน”
ไม่ว่าอย่างไร วันนี้เขาจะต้องคุยกับเสินเซ่อเทียนให้ได้
เขารู้ดีว่าในสายตาเสินเซ่อเทียนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของเสด็จพ่อและความมั่นคงของเป่ยเฉิน เขาจะแยกแยะกับเสินเซ่อเทียนให้ดีว่า การดำรงอยู่ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสำหรับราชสำนักเป่ยเฉินแล้วถือเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรง
เพื่อไม่ให้เสินเซ่อเทียนปล่อยเจ้าปีศาจตัวนี้ไปเพราะความรู้สึกส่วนตัว
เป่ยเจี้ยนเกอมองเป่ยเฉินเสียง เอ่ยค้านต่อไป “จวินซ่างบอกว่า ช่วงสายวันนี้จะไปตกปลา ตอนบ่ายไปชมดอกไม้ ตอนดึกชมจันทร์ วันนี้ไม่มีเวลาพบใครทั้งนั้น หากเตี้ยนเซี่ยต้องการพบจวินซ่าง เกรงว่าจะต้องเชิญฝ่าบาทเสด็จมาเท่านั้น”
คำพูดนี้เอ่ยออกมาอย่างชัดเจน นอกจากเห็นแก่ฝ่าบาท เสินเซ่อเทียนไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น
เป่ยเฉินเสียงหน้าเดี๋ยวก็หมองคล้ำเดี๋ยวก็ซีดเซียว มองเป่ยเจี้ยนเกอเอ่ยว่า “ไม่อาจผ่อนผันได้เลยสักนิดหรือ”
“ไม่อาจ” เป่ยเจี้ยนเกอยังปฏิเสธต่อไป
คราวนี้เกิดความกระอักกระอ่วนขึ้นมา ด้านหลังเป่ยเฉินเสียงยังมีเหล่าองครักษ์เฝ้าดูฉากนี้ เป่ยเฉินเสียงรู้สึกเพียงว่าชั่วชีวิตนี้เขาไม่เคยรู้สึกวางตัวลำบากเท่านี้มาก่อน
เป่ยเฉินเสียงแค่นเสียงเย็นชา สะบัดชายเสื้อ ใบหน้าตึงหมุนกายจากไป จากนั้นเอ่ยถ้อยคำรุนแรงเพราะความเสียหน้าของตน “หวังว่าจวินซ่างจะไม่เสียใจที่ไร้มารยาทกับข้าในวันนี้”
เป่ยเจี้ยนเกอฟังแล้ว มองแผ่นหลังขององค์ชายใหญ่ กลับหัวเราะออกมา “ก็หวังว่าองค์ชายใหญ่จะไม่เสียใจกับคำพูดเมื่อครู่ของท่าน”
แผ่นหลังเป่ยเฉินเสียงแข็งทื่อไป ทั้งเข้าใจว่าเป่ยเจี้ยนเกอไม่พอใจในคำพูดของเขา
แต่คำพูดที่เอ่ยออกไป ก็ไม่มีเหตุผลให้ถอนคำกลับ เขาเดินหน้าจากไป
……
เป่ยเจี้ยนเกอแค่นเสียงหัวเราะ หมุนกายกลับตำหนัก
ตำหนักนี้สร้างอย่างหรูหรา ทว่าภายในกลับตกแต่งอย่างเรียบง่ายธรรมดา ดูคล้ายที่พำนักของผู้สูงส่ง
ประตูหลักของตำหนักกำลังเปิดออก
เป่ยเจี้ยนเกอยืนอยู่ที่ประตู ค้อมเอวลง “จวินซ่าง องค์ชายใหญ่จากไปแล้ว เขายืนยันขอพบท่านให้ได้ ข้าน้อยตอบปัดไปแล้ว”
เมื่อเอ่ยจบ เป่ยเจี้ยนเกอชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเสริมต่อว่า “เพราะท่านไม่ยอมให้องค์ชายใหญ่พบ เขาโมโหมาก ทั้งยังเอ่ยว่าหวังว่าท่านจะไม่เสียใจกับการกระทำไร้มารยาทในวันนี้”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมา เป่ยเจี้ยนเกออยากหัวเราะนัก อาศัยคนอย่างองค์ชายใหญ่ ถึงกับกล้าเอ่ยวาจารุนแรงเช่นนี้หน้าประตูตำหนักหลิงซาน
คำพูดนี้ดึงความสนใจของเสินเซ่อเทียน
ภายในน้ำเสียงที่เปล่งออกมามีความกดดันแฝงความสูงศักดิ์ คล้ายกับมีความน่าเกรงขามติดตัวมาแต่กำเนิด น้ำเสียงฟังไม่ออกว่ายินดีหรือโมโห “เป่ยเฉินเสียงลืมไปแล้วหรือว่า แผ่นฟ้าสูงเพียงไหน”
เป่ยเจี้ยนเกอก้มหน้า ถามว่า “จวินซ่าง จะลงมือไหม”
เขารู้สึกว่าความจริงองค์ชายใหญ่สมควรได้รับบทเรียน
เสินเซ่อเทียนยิ้มบางๆ น้ำเสียงน่าเกรงขามดังขึ้นอีก “ไม่รู้จักฟ้าสูงอย่างเขา ต้องมีสักวันที่รู้ว่า การเป็นศัตรูกับ เสินเซ่อเทียนยังโง่เขลากว่าการเป็นศัตรูกับสวรรค์อีก เพราะว่าผู้เหนือล้ำกว่าทุกคน มีแต่เสินเซ่อเทียนเท่านั้น ไม่ต้องสนใจเขา ตอนนี้ข้าอยากตกปลาเท่านั้น เจ้าไปเตรียมข้าวของมา”
“ขอรับ”
คำตอบของเสินเซ่อเทียนไม่ต่างจากการคาดเดาของเป่ยเจี้ยนเกอนัก
ในโลกนี้คนที่อยู่ในสายตาของจวินซ่างมีจำนวนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย คนที่จวินซ่างยินยอมใส่ใจยิ่งน้อยมากกว่า อีกอย่างกำลังขององค์ชายใหญ่ ยังไม่ถึงขั้นที่อยู่ในสายตาหรือเป็นบุคคลที่จวินซ่างต้องใส่ใจ…
เป่ยเจี้ยนเกอหมุนกายไปเตรียมข้าวของ
จู่ๆ เป่ยเจี้ยนเกอก็ฉุกคิดขึ้นได้ ถามอีกคำว่า “จริงสิ จวินซ่าง เป่ยเฉินอี้รับบัญชาไปชายแดนแล้ว”
เสินเซ่อเทียนถามเสียงเรียบว่า “เป่ยเฉินอี้หรือ”
……
บนนถนนสายหลัก
รถม้าคันหนึ่งวิ่งอยู่บนถนน
เหล่าชาวบ้านที่สัญจรไปมาพากันหลบหลีกด้วยสัญชาตญาณ
เพราะองครักษ์ที่นำรถม้าถือธงผืนใหญ่เอาไว้ในมือ บนธงนั้นเขียนอักษร “อี้” ตัวใหญ่ไว้
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนรู้ว่า คนบนรถม้าก็คืออี้อ๋องของพวกเขานั่นเอง
ชื่อเสียงของอี้อ๋องในแผ่นดินเป่ยเฉิน ไม่มีใครไม่รู้ ชาวบ้านทั้งรักทั้งหวาดกลัวอี้อ๋องผู้นี้
หลายปีผ่านมาแล้ว อี้อ๋องสร้างคุณงามความดีให้แผ่นดินเป่ยเฉินไม่น้อย คนทั้งหลายล้วนเลื่อมใสในตัวเขา แต่ฝีมืออี้อ๋องก็ทำให้คนทั้งหลายฟังอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าเข้าใกล้ มีเพียงความรู้สึกหวาดกลัว
บรรยากาศนอกรถม้าตึงเครียด
ภายในรถม้า เป่ยเฉินอี้ปิดตาพักผ่อน บนศีรษะเขาสวมที่ครอบผมทองคำ สลักลายสุนัขจิ้งจอก คล้ายแสดงออกถึงจิตใจทะเยอทะยานของเขา นั่นคือกลิ่นอายแห่งราชันย์ที่มีเฉพาะราชนิกุล ทั้งยังเข้มข้นมากกว่าฮ่องเต้มากนัก
คนผู้นี้ ขอเพียงมองครั้งเดียวก็ถูกเข้าใจว่าเป็นราชาแต่กำเนิด
ส่วนในเวลานี้ สายลมพัดม่านรถม้าเปิดออก
เป่ยเฉินอี้ลืมตาขึ้น มองออกไปนอกหน้าต่าง
ชั่วเวลานั้น สติของเขาพลันเลือนราง คล้ายเห็นสตรีที่สดใสน่ารักในรถม้า ชี้ออกไปนอกหน้าต่างยิ้มให้เขา เอ่ยว่า “เป่ยเฉินอี้ท่านดูสิ ข้างนอกคึกคักนัก เป่ยเฉินอี้…”
เขายื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว ลูบใบหน้าของหญิงสาว
ถัดมา สตรีผู้นั้นก็หายไปไม่เห็นอีก ความคึกคักด้านนอกหน้าต่างก็สลายไปไม่เหลือ ที่เหลืออยู่คือบรรยากาศตึงเครียดที่คนยังไม่กล้าหายใจ
เขาหัวเราะเสียงขื่น รั้งมือกลับมา “อาซี สี่ปีผ่านไปแล้ว สี่ปีแล้ว อาซี นี่คือการลงโทษใช่หรือไม่”
นี่คือการลงโทษหรือ
นางตายไปแล้ว เขายังมีชีวิตอยู่ ไม่มีวินาทีไหนที่เขาไม่คิดถึงนาง ไม่อาจลืม ทั้งยังลืมไม่ลง ยิ่งฝืนลืมไม่ได้ นี่คือ…บทลงโทษของสวรรค์ใช่หรือไม่
ม่านรถม้าถูกคนเปิดออก
เป่ยเฉินอี้ได้สติ มองไปที่ประตู
องครักษ์ผู้หนึ่งเข้ารถม้ามา มองไปยังเป่ยเฉินอี้ “ท่านอ๋อง”
สีหน้าเป่ยเฉินอี้กลับมาเป็นปกติ เป็นท่าทางลุ่มลึก น้ำเสียงน่าฟังดังขึ้นว่า “มั่นใจแล้วหรือยัง”
“มั่นใจแล้ว จู่ๆ ที่ชายแดนมีแม่นางนามว่าเยี่ยเม่ยปรากฏตัว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอาใจใส่นางมาก เรื่องก่อนหน้าที่พวกเราได้ยิน ไม่ใช่ข่าวลือ ล้วนเป็นความจริง” องครักษ์รีบรายงาน
เป่ยเฉินอี้พยักหน้า ล้วงจดหมายสามฉบับออกจากแขนเสื้อ ส่งให้องครักษ์ “เปิดจดหมายพวกนี้ออกตามลำดับ เรื่องทั้งสาม ทำทีละอย่าง สตรีนางนั้นเป็นหมากสำคัญในแผนการของข้า”
องครักษ์พยักหน้า “ขอรับ”
หลังจากองครักษ์รับคำสั่งเสร็จก็ถอยออกไป
เป่ยเฉินอี้ถอนสายตากลับมา แววลุ่มลึกเหมือนเคย “จู่ๆ ก็มีสตรีนางหนึ่งปรากฏตัวหรือ การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้ กลับทำให้เรื่องราวเปลี่ยนไปน่าสนุกขึ้น”