เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 135
“ตุบ” เซียวเยว่ชิงคุกเข่า
“ตุบ” หลูเซียงฮั่วคุกเข่าแล้ว
ไม่ใช่เพราะอะไร เพียงเพราะในคำพูดของเตี้ยนเซี่ยเอ่ยถึงมารดาของพวกเขา แม่ทัพทั้งสองมั่นใจอย่างแรงกล้าว่า หากตนเองยังไม่รู้จักสถานการณ์อยู่อีก คนที่จะเกิดเรื่องเป็นรายต่อไป เกรงว่าจะเป็นมารดาชราที่บ้านตนแล้ว เตี้ยนเซี่ยไม่มีทางเอ่ยวาจาเหลวไหล ย่อมไม่เอ่ยถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องแน่
ความหมายของคำพูดนี้ชัดเจนมาก หากพวกเขาทำผิด เช่นนั้นคนที่จะเกิดเรื่องก็คือมารดาชราที่บ้านตน
เซียวเยว่ชิงตีหน้าเศร้าในทันที “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว มารดาชราที่บ้านข้าน้อยสุขภาพแข็งแรงดี ขอให้เตี้ยนเซี่ยโปรดละเว้นด้วย”
“ถูกแล้ว มารดาของข้าน้อยสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี นั่นก็คือโชควาสนาของข้าน้อย ขอให้เตี้ยนเซี่ยยั้งมือด้วย” หลูเซียงฮั่วรีบเอ่ยปากอย่างรวดเร็ว เขาไม่อยากให้คนผมดำส่งคนผมขาวก่อนเวลาอันสมควร
อวี้เหว่ยมองสีหน้าโศกเศร้าของพวกเขา ก็ช่วยพูดขึ้นคำหนึ่งว่า “เตี้ยนเซี่ย เสี่ยวจิ่วหายไปแล้ว สำหรับท่านถือว่าเป็นวันเวลาที่ดี เห็นแก่ที่ท่านอารมณ์ดี เรื่องที่ท่านแม่ทัพทั้งสองไม่รู้ความ ท่านก็อย่าได้เอาเรื่องเลยนะขอรับ”
“จริงด้วย” เซียวเยว่ชิงพยักหน้าด้วยความเคารพ “เตี้ยนเซี่ย ขอให้ท่านโปรดอภัยให้ความหลงผิดอย่างไม่ตั้งใจของข้าน้อยด้วย”
หลูเซียงฮั่วก็เอ่ยบ้าง “ถูกแล้ว พวกเราเพียงแค่ไม่ทันระวังหลงเดินทางผิด พวกเราสำนึกแล้ว ขอให้เตี้ยนเซี่ยละเว้นด้วย”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียง สุดท้ายก็ใคร่ครวญได้ว่า หากกำจัดแม่ทัพสองคนนี้ไป เยี่ยเม่ยต้องเกิดความสงสัยอย่างแน่นอน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ลงมือชั่วคราว ดวงตาชั่วร้ายกวาดมองผ่านหน้าพวกเขา ค่อย ๆ เอ่ยปากว่า “เรื่องประเภทนี้ ไม่จำเป็นให้เยี่ยนตักเตือนอีกเป็นครั้งที่สอง ส่วนที่ว่าจะตามหาเสี่ยวจิ่วหรือไม่…”
เซียวเยว่ชิงรีบรับปาก “เตี้ยนเซี่ย คุณชายเสี่ยวจิ่วหายไปอย่างไร้ร่อยรอง ทั้งยังมีวรยุทธ์สูงส่ง พวกเราจะตามหาเขาพบได้อย่างไรกัน”
“ถูกแล้ว เบาะแสสักเล็กน้อยยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ” หลูเซียงฮั่วรีบเอ่ยรับทันที
ความจริงก็คือ พวกเขาไม่มีเบาะแสเลยสักเล็กน้อย
แน่นอนว่า เวลานี้ต่อให้หาพบ ก็ทำได้แต่บอกว่าตัวเองไม่พบอะไรทั้งนั้น
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงเบา ๆ จัดแต่งชายเสื้อด้วยท่าทางสง่างาม ระหว่างหมุนกายจากไป ยังเตือนขึ้นอีกประโยค “วันนี้เยี่ยนมาหาพวกเจ้าหรือไม่”
“เอ๊ะ ไม่มา” เซียวเยว่ชิงยังนับว่าพอมีไหวพริบ รีบส่ายหัวโดยพลัน
หลูเซียงฮั่วก็รีบส่ายหัวตามอย่างว่องไว “ไม่มี คืนนี้พวกเราไม่ได้พบเตี้ยนเซี่ย ทั้งยังไม่มีใครเอ่ยถึงมารดาชราภาพของพวกเราอีกด้วย”
เมื่อพูดถึงมารดาชราที่บ้าน หลูเซียงฮั่วจวนเจียนจะร้องไห้ออกมา
เมื่อเห็นว่าพวกเขารู้จักสถานการณ์ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ไม่หยุดรั้งรอ ก้าวเท้าจากไป
ในยามนี้เซียวเยว่ชิงและหลูเซียงฮั่วกลับสบตากันไปมาด้วยความประหลาดใจ นิสัยขององค์ชายสี่ เปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เมื่อตั้งอกตั้งใจมาหาพวกเขาแล้ว กลับไม่ลงมือ
เซียวเยว่ชิงตระหนักอะไรขึ้นมาได้ “แปดส่วนน่าจะเป็นเพราะ หากกำจัดพวกเรา แม่นางเยี่ยเม่ยน่าจะเห็นพิรุธอะไรบ้าง”
หลูเซียงฮั่วน้ำตาคลอเบ้าเอ่ยปากทันที “ขอบคุณแม่นางเยี่ยเม่ยแทนมารดาชราที่บ้านข้าด้วย”
เซียวเยว่ชิงสองมือประนม “ขอบคุณ”
……
เมื่อเยี่ยเม่ยกลับถึงห้องนอน
ยังมีอารมณ์ไม่สงบอยู่บ้าง
แต่ไหนแต่ไรมาหากในใจยังมีเรื่องค้างคา ก็ยากนอนหลับ ต่อให้เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องปะติ๋วเล็กน้อย ก็ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ในการนอนของนาง
เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึกคำหนึ่ง ในคราแรกเพียงรู้สึกว่าเสี่ยวจิ่วเด็กคนนี้ค่อนข้างวุ่นวายนัก มีเรื่องอะไรพูดจากันดี ๆ ไม่ได้หรือ ไฉนต้องหนีไปด้วยเล่า
ทั้งยังไม่ล่ำลากันดี ๆ เลยสักคำ
เมื่อเยี่ยเม่ยที่อยู่บนเตียงพยายามฝืนหลับไปสักพัก ร่างกายก็ยิ่งอ่อนล้า แต่ว่าสติกลับยิ่งปลอดโปร่ง เยี่ยเม่ยตระหนักอย่างชัดเจนว่า ตัวเองนอนไม่หลับแล้ว
หญิงสาวไม่พูดมาก ลุกขึ้นมานั่ง หยิบเอาเคล็ดวิชาเสี่ยวเถียนไช่ใต้หมอนออกมา
นางเปิดหน้าแรก เริ่มฝึก
ครั้งก่อนเพิ่งถึงตอนเริ่ม ก็ถูกผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่ขัด สุดท้ายฝึกอะไรไม่สำเร็จ ครั้งนี้ต้องตั้งอกตั้งใจเริ่มต้นอย่างจริงจัง
โดยเฉพาะหลังจากที่นางเห็นเสี่ยวจิ่วและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนประลองฝีมือกันแล้ว ร่องรอยที่ถูกทิ้งไว้บนพื้น ทำให้นางตระหนักได้ถึงความสำคัญของกำลังภายในทันที ต้องร่ำเรียนให้ดีถึงจะถูก
หน้าแรกถูกเปิดออก
เมื่อปฏิบัติตามภาพด้านใน เยี่ยเม่ยเริ่มฝึกวิชา ทดลองเคลื่อนพลังในร่างกายตน ถัดมา นางก็รับรู้ถึงพลังปราณบริสุทธิ์ในร่างสายหนึ่ง เป็นปราณบริสุทธิ์ที่แฝงอยู่ในร่างมานานแล้ว
นี่ทำให้นางตะลึง
ผู้อาวุโสเสี่ยวเถียนไช่เคยบอกว่า เดิมทีนางเป็นคนของโลกนี้ เมื่อก่อนนางเคยร่ำเรียนกำลังภายใน ดังนั้นปราณบริสุทธิ์สายนี้ สมควรเป็นกำลังภายในเมื่อก่อนของนางล่ะมั้ง….
อย่างนั้น ทำอย่างไรถึงจะดึงพลังสายนี้เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว หลอมรวมกับลมหายใจ ทำให้นางใช้ออกได้ในเร็ววัน
ปัญหานี้
เยี่ยเม่ยตั้งอกตั้งใจพิจารณา จากนั้นลองเคลื่อนพลังกระแสใหม่ให้ไปใกล้กับพลังกระแสเดิม พยายามหลอมรวมมันอย่างว่องไว
หลังจากความพยายามครู่ใหญ่ หญิงสาวกลับพบว่า ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด
ปราณบริสุทธิ์ที่ดำรงอยู่แต่เดิมสายนั้น ไม่ขยับเลยสักนิดเดียว เพียงแค่ไหลทะลักออกมาทีละสาย ๆ ทำให้นางเกิดความหวัง ทว่าไม่มีมีการหลอมหลวมทั้งสิ้น
เยี่ยเม่ยพยายามอยู่ชั่วยามกว่า ๆ หน้าผากมีเม็ดเหงื่อซึมไหลรินเป็นทางลงมา ยามนี้นางสูญเสียความอดทนไปแล้ว
เมื่อเปิดตา
เยี่ยเม่ยรีบลงมือฝึกเป็นครั้งที่สอง แต่ในครั้งนี้ นางมิได้ลองเคลื่นพลัง ในเมื่อปราณบริสุทธิ์ดำรงอยู่แต่ก่อนแล้ว ก็ไม่ง่ายที่จะดึงออกมาหลอมรวมใช้ เช่นนั้น
นางก็ทิ้งปราณสายนั้นไปเสียเลย
ทำเสียว่าพวกมันไม่เคยมีอยู่ เริ่มต้นตั้งแต่หนึ่งใหม่ก็ช่างเถอะ
ขอเพียงตั้งใจฝึกกำลังภายในสายใหม่ ทอดทิ้งพลังปราณสายเดิมที่เคยมีอยู่
แต่ไม่ช้า ขมับของเยี่ยเม่ยก็มีเม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นอีกครั้ง นางรู้สึกถึงความล้มเหลว
นั่นก็เพราะว่าปราณบริสุทธิ์สายเดิมที่เคยมีอยู่ ไม่ยอมออกมาหลอมรวมก็ช่างเถอะ เมื่อนางคิดทิ้งพวกมันไป เริ่มต้นฝึกปราณสายใหม่ พวกมันก็โผล่ออกมาก่อความวุ่นวาย คอยแผ่พลังออกมาอยู่เรื่อย ก่อกวนการเคลื่อนปราณบริสุทธิ์ของนางในยามนี้
นี่มันช่าง….
เยี่ยเม่ยคิดด่าคนขึ้นบ้างแล้ว
แต่เพราะเป็นคนเย่อหยิ่งลำพอง กอปรกับมีนิสัยเย็นชา นางจึงฝืนเก็บคำว่า “มารดามันเถอะ” เอาไว้ในคอ
นางเปิดตาด้วยความกลัดกลุ้ม พลิกคัมภีร์ในมือตน
สายตาเคลื่อนไปตกอยู่ที่ลังใบใหม่ที่หน้าต่างอย่างว่องไว
นั่นคือข้าวของในลังที่ร่วงลงมาจากหลังคายามที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเข้ามาในห้องของนาง ภายหลังกระจายเต็มไปทั่ว ดูท่าจะให้บ่าวไพร่เก็บแล้วนำใส่ลังใบใหม่ วางไว้ริมหน้าต่าง
เยี่ยเม่ยรีบลุกขึ้น เตรียมตัวเดินเข้าไป หาดูว่าจะของอะไรที่ช่วยนางแก้ปัญหาในยามนี้ได้บ้าง
หญิงสาวก้าวเท้าไปโดยไว
แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างตกอยู่บนลังไม้
เยี่ยเม่ยเพิ่งเปิดลังออก ก็ได้ยินฝีเสียงเท้า แววตาของนางเย็นวาบ ไม่พูดอะไรก็ปิดลังลง หันหน้ามองประตู