เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 125
เมื่อสิ้นเสียง เซี่ยโหวเฉินทุบหมัดลงที่โต๊ะ เกิดเสียงดังขึ้นตามมาด้วยโต๊ะแตกออก
เซี่ยโหวเฉินสีหน้าเย็นชา สาวเท้ากว้างๆ ออกไป
เขาพ่ายแพ้ต่อเป่ยเฉินอี้ครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีทางแพ้อีกฝ่ายตลอดไป ไม่มีทางเด็ดขาด
……
ชายแดนราชสำนักเป่ยเฉิน เยี่ยเม่ยกินดื่มจนอิ่มหนำ
ในตลอดการกินอาหาร นางก็รู้สึกชื่นชมผู้ที่เป็นองค์ชายนัก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่มีอากัปกิริยาค่อนข้างสง่างาม ยามกินข้าวยังมีท่วงท่าราวกับชนชั้นสูง
นางรู้สึกมาตลอดว่าความสง่างามของตนเองมีมากพอแล้ว วันนี้เมื่อเทียบกับเขา นางยังรู้สึกว่าตัวเองเหมือนรำขวานหน้าหลู่ปัง
เยี่ยเม่ยลุกขึ้น ปรายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยปากว่า “ข้ากินหมดแล้ว ขอตัวก่อน”
“แม่นางเยี่ยเม่ย…” อวี้เหว่ยคิดช่วยเตี้ยนเซี่ยเอ่ยสักประโยคสองประโยค ดูว่าจะรั้งแม่นางเยี่ยเม่ยให้อยู่นานอีกหน่อยได้หรือไม่
สายตาไม่เป็นมิตรของเยี่ยเม่ย ตกอยู่บนกายอวี้เหว่ย
อวี้เหว่ย ตะลึง “คือ”
ทำไมกัน นี่มัน…เรื่องอะไร ตัวเขาทำอะไรแล้ว ไฉนถึงใช้สายตาน่ากลัวเช่นนั้นมองเขาเล่า
ยังไม่ทันที่อวี้เหว่ยเอ่ยปากถาม
เส้นเสียงเย็นเยียบของเยี่ยเม่ยก็ดังขึ้นอีก “ตอนนี้ไม่คุกเข่าที่หน้าต่าง เปลี่ยนไปอยู่ที่มุมกำแพงแล้วใช่ไหม”
“ตุบ” อวี้เหว่ยเท้าลื่น ก้นกระแทกพื้นทันที จวนเจียนจะร้องไห้ออกมา…
เขาไม่รอให้เยี่ยเม่ยซักไซ้แล้วลงโทษ ก็รีบเอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้าผิดไปแล้ว ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ ข้าผิดมาก ข้าไม่กล้าอีกแล้ว
ไฉนเขาถึงถูกพบอีกแล้วเล่า
เขารู้สึกว่าตัวเองหลบซ่อนมาได้ดีตลอดเลยนี่นา
นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
เยี่ยเม่ยปรายตามอง อธิบาย “เห็นแก่ที่เจ้ามีใจยอมรับผิด ครั้งนี้ช่างเถอะ คราวหน้าเจ้าระวังหน่อย”
“ขอรับ ขอรับ ขอรับ” อวี้เหว่ยพยักหน้ารัวอย่างว่องไว
เขาตัดสินใจแล้ว ทันทีที่ฟ้าสางในวันพรุ่งนี้ เขาจะไปซื้อจิ้งหรีดสองตัว ยามเตี้ยนเซี่ยอยู่กับแม่นางเยี่ยเม่ย เวลาที่เขาเบื่อเป็นอย่างมาก จะคุกเข่าหน้าประตูให้พวกมันกัดกัน จะไม่ปีนหน้าต่างหลบมุมกำแพงอีกแล้ว
นี่มันอันตรายเหลือเกิน
อย่างไรจากความเข้าใจเตี้ยนเซี่ยของเขา หากแม่นางเยี่ยเม่ยโมโหขึ้นมา เตี้ยนเซี่ยต้องเห็นแก่สตรีลืมบ่าวรับใช้อย่างแน่นอน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เข้าใจ วันนี้เยี่ยเม่ยอยู่มานานแล้ว
หากยังฝืนรั้งนางไว้ กลับจะเกิดผลตาลปัตร ทำให้นางไม่ยินดี ดังนั้นเขาถึงได้รู้สถานการณ์ดีเป็นพิเศษ น้ำเสียงน่าฟังค่อย ๆ กล่าว ว่า “เชิญแม่นางเยี่ยเม่ย แต่หวังว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะจดจำคำสัญญากับเยี่ยนเอาไว้ ต้องใคร่ครวญเรื่องนี้”
ใคร่ครวญเรื่องนี้ นั่นก็คือเรื่องที่ต้องให้คำตอบเขาแล้ว
เยี่ยเม่ยสูดลมหายใจลึก ถึงแม้จะรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้ถูกเอาเปรียบ แต่เรื่องที่รับปากแล้ว นางไม่เสียใจ
เยี่ยเม่ยพยักหน้า ตอบเสียงเย็นว่า “ท่านวางใจเถอะ”
หลังจากสิ้นเสียง หญิงสาวก็หมุนกายจากไป
รอจนเยี่ยเม่ยจากไปไกลแล้ว อวี้เหว่ยค่อยลุกขึ้นจากพื้น มองแผ่นหลังเยี่ยเม่ย จากนั้นหันกลับมามองหน้าเตี้ยนเซี่ยทีหนึ่ง “เตี้ยนเซี่ย ท่านดูนิสัยของแม่นางเยี่ยเม่ย…ไม่ค่อยจะดีนัก”
อวี้เหว่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ สายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็มองบ่าวประจำตัว นัยน์ตาทอประกายแสงมารแดงวาบ อวี้เหว่ยรู้ว่าเตี้ยนเซี่ยโมโหแล้ว
ส่วนน้ำเสียงไพเราะของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก็ดังขึ้นอย่างช้าๆ “เจ้าอยากพูดอะไร”
“เตี้ยนเซี่ย ท่านอย่าได้เข้าใจผิด ข้าน้อยหาได้นินทาแม่นางเยี่ยเม่ย ข้าน้อยแค่อยากบอกว่า…” อวี้เหว่ยกลืนน้ำลายด้วยความยากเย็น “ท่านดูเถิด ข้าน้อยแค่แอบฟังเล็กน้อย แม่นางเยี่ยเม่ยก็ไม่ยินดีถึงขั้นนี้ ท่าทางราวกับจะฆ่าคน หากแม่นางเยี่ยเม่ยรู้ว่า ท่านหาได้บาดเจ็บเลยสักน้อย…”
พูดถึงตรงนี้ อวี้เหว่ยกลืนน้ำลายเฮือกอีกครั้ง
มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างเห็นใจด้วยความระมัดระวัง เอ่ยปากว่า “ท่านว่า นางจะถลกหนังท่านหรือไม่ ข้าน้อยรู้สึกว่า แม่นางเยี่ยเม่ยจะถลกหนังสองชั้นของท่านออกมา”
เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ สายตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแข็งขืนไปชั่วครู่
สักพัก น้ำเสียงน่าฟัง ก็เอ่ยขึ้นสบายๆ ว่า “เยี่ยนเชื่อว่า ไม่มีใครขวัญกล้าเทียมฟ้าแอบพูด นางไม่มีทางรู้”
อวี้เหว่ยก็พยักหน้า “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
นั่นก็เพราะว่าเขาไม่อยากเห็นเตี้ยนเซี่ยที่ถูกถลกหนัง…
จนกลายเป็คนผอมแห้ง
…
เยี่ยเม่ยเดินออกจากห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
สถานที่แรกที่นางตั้งใจไปไม่ใช่ห้องของตน ทั้งไม่ใช่เรือนของจิ่วหุน แต่เป็นกำแพงเมือง
สถานที่ที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับจิ่วหุนประลองฝีมือกันแต่เช้าตรู่
เมื่ออยู่บนกำแพงเมือง เยี่ยเม่ยยืนอยู่ด้านบนสำรวจไปรอบๆ
ทหารรักษาการณ์และแม่ทัพทั้งหลายต่างก็ตื่นตระหนก เกรงว่าเยี่ยเม่ยบนกำแพง หลังจากเห็นร่องรอยการต่อสู้ของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและจิ่วหุนจะมองพิรุธอะไรออก จากนั้นจะพูดอะไรกับพวกเขา หรือถามอะไรพวกเขา
หากเป็นเช่นนั้น สุดท้ายพวกเขาเอ่ยความจริงหรือเอ่ยความเท็จ นี่ยังเป็นปัญหา
ความจริงพวกเขาคิดมากเกินไป
เยี่ยเม่ยในยามนี้คล้ายเป็นคนที่ไม่เข้าใจกำลังภายในเลยสักน้อย ไม่อาจใช้ร่อยรองการต่อสู้อ่านการต่อสู้ระหว่างเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและจิ่วหุน หรือแม้กระทั่งจับพิรุธออก
สายตาเยี่ยเม่ยกวาดมองบนกำแพง
ร่องรอยดำด้านบนคล้ายถูกไฟแผดเผา แต่ว่ากำแพงไร้ร่องรอยความเสียหาย เสี้ยวนาทีถัดมา สายตาของนางกวาดส่องไปทั้งสี่ด้านแปดทิศ ไม่ช้าก็มองเห็นบนพื้นดินนอกกำแพงเมืองทุกหนแห่งเป็นหลุมบ่อ
เห็นได้ชัดว่าเกิดจากกำลังภายในระเบิดออกมา
หญิงสาวเดินลงจากกำแพง ภายใต้การแสดงความเคารพของเหล่าทหาร นางเดินออกจากกำแพงเมืองไป
เดินออกไปมองดูหลุมใดหลุมหนึ่ง เยี่ยเม่ยนั่งยองลง ใช้มือลูบแผ่นดินมอดไหม้เหล่านั้น สายตาพิจารณา พลังทำลายล้างแบบนี้…
บรรลุถึงอานุภาพทำลายล้างเช่นเดียวกับระเบิดในยุคปัจจุบันแล้ว
เยี่ยเม่ยเงยหน้ามอง ทั่วสารทิศล้วนถูกเพลิงไหม้ ทั้งยังมีต้นไม้ล้ม ดวงตาเยี่ยเม่ยหรี่ลง ลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว
นี่คือผลลัพธ์ของการประมือระหว่างผู้มีกำลังภายในสูงส่งอย่างนั้นเหรอ
นางตั้งใจมาดู ก็เพื่อที่จะรู้พลังสังหารของกำลังภายในยุคโบราณว่าสุดท้ายแล้วจะอยู่ในระดับใด มีพลังทำลายล้างแบบไหน
เห็นได้ชัดว่าการระเบิดพลังนี้ อยู่นอกเหนือความคาดเดาของนาง ทั้งยังรุนแรงกว่ามากนัก ดูท่าความรวดเร็วในการเรียนกำลังภายในของนาง จำเป็นต้องเร่งมือเข้าแล้ว
เยี่ยเม่ยลุกขึ้น ถอนมือกลับ หมุนกายสาวเท้ายาวๆ เดินกลับเมือง
ในเวลานี้พลันมีประกายกระบี่สายหนึ่งปรากฎ
“แม่นางเยี่ยเม่ย ระวัง” ทหารผู้หนึ่งเห็นด้านหลังของเยี่ยเม่ย ตะโกนเตือน
ฝ่ายเยี่ยเม่ยไม่ต้องการการเตือนของเขาสักนิด ก่อนที่อีกฝ่ายจะเปิดปาก ก็รู้สึกถึงไอสังหารด้านหลังตนแล้ว
สายตานางฉายประกายเย็นเยียบ หันกลับไปอย่างว่องไว มือยื่นข้างหนึ่งออกไป
สองนิ้วคีบออก กระบี่ยาวก็ถูกนิ้วมือของนางคีบเอาไว้นิ่ง
แต่เห็นได้ชัดว่า อีกฝ่ายมีความสามารถไม่ต่ำทราม หลังจากเยี่ยเม่ยคีบกระบี่ของอีกฝ่ายไว้ กระบี่ในมือของอีกฝ่ายยังมุ่งเล็งใบหน้าของเยี่ยเม่ย ทิ้งระยะห่างเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้น
แต่ว่าหยุดอยู่ที่ปลายจมูกของเยี่ยเม่ยพอดี กระบี่ไม่อาจเข้าใกล้มากอีกสักน้อย
อีกฝ่ายพยายามออกแรง กระบี่ก็ไม่อาจพุ่งขึ้นหน้า หยุดอยู่ในตำแหน่งสำคัญนี้ ไม่ใกล้ไม่ไกล ห่างจากปลายจมูกเยี่ยเม่ยหนึ่งมิลลิเมตร ไม่อาจสร้างความบาดเจ็บใด ๆ ให้เยี่ยเม่ยได้
ถัดมา เรียวนิ้วที่หนีบกระบี่ของเยี่ยเม่ยพลันออกแรงบิด
กระบี่ยาวสั่นไหวเล็กน้อย ส่วนที่เยี่ยเม่ยคีบเอาไว้หักออกส่งเสียงดัง