เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 122
“พ่ะย่ะค่ะ” เซียวชินรับคำ
ราชาต้ามั่วปรึกษาหารือเรื่องราวอยู่นานสองนาน ไม่ง่ายเลยที่สีหน้าจะเป็นปกติ ในยามนี้กลับบิดเบี้ยวไปอีกครั้ง
ดูท่าคงอยากเข้าห้องน้ำอีกแล้ว
ราชาต้ามั่วก็ไม่อยากให้ทุกคนลำบากรอตนเองอีก ดังนั้นจึงสังการว่า “เรื่องนี้ก็เท่ากับว่าจบแล้ว ทุกท่านเชิญกลับไปก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนเองก็คลายใจ
ความจริงพวกเขาเองก็ไม่อยากนั่งรอนายไปเข้าห้องน้ำนานสองนาน ใครต่างก็ไม่ชอบรอผู้อื่น ต่อให้รอเจ้านาย พวกเขาก็ไม่ยินยอม
ราชาต้ามั่วเอ่ยจบก็วิ่งออกไป มุ่งตรงสู่ห้องสุขาแล้ว
แม่ทัพทั้งหลายในที่นี้แสดงความยินดีกับจิวมั่วเหยีย จากนั้นค่อยทยอยจากไป
เซียวชินมอบตราพยัคฆ์ในมือให้กับจิวมั่วเหยีย จากนั้นก็หมุนกายจากไป จิวมั่วเหยียพลันเอ่ยปากว่า “ช้าก่อน จั่วอี้อ๋อง”
เซียวชินหันกลับไปมองอีกฝ่าย
จิวมั่วเหยียเอ่ยปาก “เชื่อว่าจั่วอี้อ๋องเข้าใจ ข้าหาได้ต้องการต่อกรกับท่าน ข้าต้องการอำนาจทางทหารเท่านั้น หาได้คิดเป็นปรปักษ์กับจั่วอี้อ๋อง ขอเพียงท่านยินยอม ไม่ว่าใครเป็นราชา ท่านจะเป็นจั่วอี้อ๋องของต้ามั่วตลอดไป นี่คือความคิดของตัวข้า เช่นเดียวกันก็เป็นความคิดของจิวมั่วเหอ”
คำพูดนี้ของเขา นับว่ามีความนัยล้ำลึกแล้ว
แน่นอนว่าเซียวชินย่อมฟังความนัยของคำพูดเขาออก จั่วอี้อ๋องประสานมือคารวะ “เชื่อว่าแม่ทัพจิวมั่วเหยียคงเข้าใจ ตัวข้าหาได้ใส่ใจในอำนาจ มาต้ามั่วก็เพราะถูกชาวภาคกลางจำนวนมากไล่ฆ่า มาเพื่อขอการปกป้องเท่านั้น เมื่อถึงเวลาเหมาะสม บางทีข้าก็จะจากไป ไม่ขัดขวางหนทางของตระกูลจิวมั่วแน่”
จุดยืนของเซียวชินชัดเจนเป็นอย่างมาก
ราชาต้ามั่วปกป้องเขาเป็นเวลาสี่ปี สี่ปีมานี้เขาจงรักภักดีต่อราชาต้ามั่ว ก็เท่ากับเป็นการตอบแทนที่ยุติธรรม ยามนี้อำนาจทางทหารถูกริบไป ราชาต้ามั่วถึงกับไม่ฟังคำเตือนของเขา ส่งตราพยัคฆ์ให้กับสุนัขจิ้งจอกทะเยอทะยานอย่างตระกูลจิวมั่ว ต่อให้เขาเซียวชินมีความสามารถยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่มีกำลังพลิกสถานการณ์
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกับจิวมั่วเหยีย
ยามนี้จิวมั่วเหยียพลันเข้าใจจุดยืนของเซียวชิน ประสานมือ “จั่วอี้อ๋องเอ่ยเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว จั่วอี้อ๋อง เชิญ”
“เชิญ”
เมื่อเซียวชินเอ่ยจบ ก็หมุนกายจากไป
หลังจากเขาออกจากประตู จิวมั่วเหยียหันกลับไปมองผู้ติดตามด้านหลัง เอ่ยสั่ง “ไปหาจิวมั่วเหอที่วัด บอกสถานการณ์ยามนี้ให้เขาฟัง บอกให้เขาคิดแผนการเอาหัวเยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาให้ข้า”
“ขอรับ”
……
ฟ้ามืดมิดลงแล้ว
เยี่ยเม่ยมองออกไปนอกหน้าต่าง ผลักเป่ยเฉินเสียเยี่ยนออก เสียงเย็นเยียบกล่าว “สองชั่วยามแล้ว ข้าควรไปก่อน”
หากยังไม่ออกไปอีก ก็ไปหาเสี่ยวจิ่วไม่ทันแล้ว
คงไม่อาจไปหาเสี่ยวจิ่วกลางค่ำกลางคืน เช่นนั้นก็ดูจะไม่จริงใจ
เมื่อนางเอ่ยจบ อวี้เหว่ยยกกับข้าวอาหารเข้ามาพอดี เดินอาดๆ เข้ามาในห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาย่อมได้ยินคำพูดของเยี่ยเม่ย จึงเอ่ยปากว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ดึกขนาดนี้แล้ว ท่านกินข้าวก่อนค่อยกลับไปเถอะ”
เมื่ออวี้เหว่ยเอ่ยจบ ท้องของเยี่ยเม่ยก็ส่งเสียงร้องออกมา
น้ำเสียงน่าฟังของ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ดังขึ้นด้วยความอ่อนโยน “จริงด้วย แม่นางเยี่ยเม่ยอยู่กับเยี่ยนมานานขนาดนี้แล้ว ต้องกินข้าวก่อนค่อยจากไป มิเช่นนั้นไม่เท่ากับเยี่ยนดูแลไม่ทั่วถึงอย่างนั้นหรือ แม่นางเยี่ยเม่ยคงไม่ยอมให้เยี่ยนแบกรับความผิดที่ดูแลแขกไม่ดีใช่หรือไม่”
เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก ส่งสายตามองเขา คนผู้นี้ใส่ใจว่าตัวเองมีชื่อเสียหายด้วยหรือ แต่เมื่อมองอาหารเต็มโต๊ะ กลับไปก็ต้องกินข้าว รั้งกินข้าวที่นี่ก็ไม่แตกต่าง ดังนั้นนางจึงเดินเข้าไปอย่างอาจหาญ
เมื่อหย่อนก้นนั่งลง ก็เอ่ยปากเสียงเย็นว่า “กินก่อนค่อยไปก็ดี”
เยี่ยเม่ยกลับไม่รู้ว่า ชั่วเวลาที่ตนกินข้าวนั้น ด้านนอกแผ่นฟ้าแทบพลิกตลบแล้ว
จิ่วหุนไปตามหาเยี่ยเม่ยที่ห้องไม่พบ ก็ออกตามหาไปทั่ว
ทหารคนอื่นๆก็ไม่รู้ร่องรอยของเยี่ยเม่ย ย่อมตอบว่าไม่รู้ ส่วนพวกรู้เรื่องเหลืออยู่ไม่กี่คน คิดถึงฝีมือเ**้ยมโหดของเตี้ยนเซี่ยตนเองก็รู้ว่าไม่กล้าพูดจาเหลวไหล จิ่วหุนก็ไม่ใช่พวกช่างเจรจา จึงได้แต่ไล่ถามทีละคน ๆ
ดังนั้นเมืองชายแดนทั้งเมืองแทบจะถูกเขาพลิกแผ่นดินตามหาคนไปทั่ว
ข่าวนี้อวี้เหว่ยกระซิบบอกข้างหูเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว องค์ชายสี่ฟังจบก็แสดงออกว่าเข้าใจ ปรายตามอง อวี้เหว่ยอย่างสบายอารมณ์ เป็นสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายออกไปก่อน
ส่วนเรื่องที่ศัตรูหัวใจของเขาในเวลานี้กำลังกระวนกระวายร้อนรน องค์ชายสี่หาได้ใส่ใจเลยสักน้อย
เยี่ยเม่ยหยิบตะเกียบ ไม่เกรงใจเริ่มกินอาหารทันที
หญิงสาวชอบกินอาหารรสเผ็ด ทั้งยังพบว่าอาหารบนโต๊ะนี้ส่วนมากมีรสเผ็ด ดังนั้นนางจึงเตือน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนขึ้นมาว่า “ท่านยังบาดเจ็บอยู่ กินเผ็ดให้น้อยหน่อย กินอาหารรสอ่อนจะดีกว่า”
แววตาของ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฉาบรอยยิ้ม มองเยี่ยเม่ย พยักหน้าอย่างว่าง่าย “แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจเถอะ เยี่ยนย่อมเชื่อฟังเจ้า”
เยี่ยเม่ยชอบคนเชื่อฟัง จึงพยักหน้าด้วยความพอใจ
……
ห้องของหลินซูเหย่า
เจ้าเมืองหลินถ่ายทอดคำพูดสี่คำของจิ่วหุนให้กับหลินซูเหย่าฟัง
ยามนี้หลินซูเหย่ามองเจ้าเมืองหลินอย่างไม่เชื่อ ในสายตานาง ยามนั้นที่จิ่วหุนไม่ใส่ตน ก็เพราะว่านิสัยเขา หรือไม่ก็ไม่รู้ฐานะของตน ดังนั้นถึงไม่ไว้หน้าแบบนั้น
หากเขารู้ว่าตนเองเป็นบุตรสาวเจ้าเมือง ซ้ำยังมีรูปโฉมงดงาม เขาต้องมองนางในแงใหม่อย่างแน่นอน
จะรู้ที่ไหนว่า ยามที่บิดาไปคุยเรื่องแต่งงาน ถึงกับถูกอีกฝ่ายปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา
ความเดือดดาลในใจของเจ้าเมืองหลินยิ่งกว่าหลินซูเหย่านัก เขากัดฟันเอ่ย “ข้าเป็นถึงเจ้าเมือง ไปคุยเรื่องนี้กับเขาเอง เขาถึงกับไม่ไว้หน้าผู้ใหญ่อย่างข้า เขาก็เป็นแค่สามัญชนเท่านั้น เขาคิดว่าอาศัยฐานะต่ำต้อยของตน จะคู่ควรกับคนเช่นไหนกัน ต้องเป็นองค์หญิงหรือไง”
หลินซูเหย่าดูออกว่าบิดาบันดาลโทสะแล้ว
นางรีบเอ่ยปากว่า “ท่านพ่ออย่าโมโหเลย คลายโทสะก่อน ท่านกลับไปก่อนเถอะ เรื่องนี้ลูกจะค่อยๆ คิดดู สมควรมีวิธีจัดการ”
นางเอ่ยออกไปเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่คิดยอมแพ้
เจ้าเมืองหลินมองนางด้วยสายตาแปลกใจ เอ่ยปากอย่างไม่คาดฝันว่า “ทำไมกัน เจ้ายังไม่ล้มเลิกอีก”
“ท่านพ่อ ไม่ง่ายเลยที่ลูกจะพบคนที่ชอบสักคนหนึ่ง ไม่มีทางล้มเลิกแน่” หลินซูเหย่าเอ่ยออกไปด้วยความหนักแน่นมาก จากนั้นกล่าวว่า “แต่ท่านพ่อวางใจเถอะ เรื่องที่ลูกทำย่อมมีขอบเขต ไม่มีทางก่อเรื่องให้ท่านอย่างแน่นอน”
นางเอ่ยเช่นนี้ เจ้าเมืองหลินก็วางใจ
ก็ถูก หลายปีมานี้บุตรสาวของเขารู้หนังสือขนบธรรมเนียม ทำอะไรมีขอบเขตมาโดยตลอด เขาจึงพยักหน้า “อย่างนั้นก็ดี เจ้าหาวิธีก็แล้วกัน”
“น้อมส่งท่านพ่อ” หลินซูเหย่ารีบคารวะ
เจ้าเมืองหลินพยักหน้า ก้าวเท้าเดินจากไป
หลังจากเขาออกไปแล้ว สีหน้าของหลินซูเหย่าซีดขาว นางกำผ้าเช็ดหน้าในมือ กวาดตามองสาวใช้ประจำกายที่อยู่ด้านหลัง “ไปดูสิว่า ยามนี้คุณชายเสี่ยวจิ่วอยู่ที่ใดกัน ข้าจะไปหาเขาด้วยตัวเอง”
“คุณหนู?” สาวใช้มองด้วยสายตาไม่เห็นด้วย
หลินซูเหย่าเสียงดัง “รีบไป”