เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 118
รอยยิ้มบนใบหน้าเซี่ยโหวเฉินพลันแข็งทื่อไป
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็ชะงักนิ่งไปแล้ว
พวกเขาทั้งสองคนคล้ายกับลืมนิสัยของเป่ยเฉินอี้ว่าเป็นอย่างไร
ผู้ที่เป็นปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้า ก็มีนิสัยเข้าคู่กับความสามารถของเขา ในสายตาของ เป่ยเฉินอี้ คนในใต้หล้าไม่มีใครไม่โง่งม
บ่าวคุกเข่าตัวสั่นอยู่กลางห้อง ไม่กล้าเอ่ยคำพูดออกมาสักคำเดียว
เขาตัวสั่นงกมองฮ่องเต้ จากนั้นรีบก้มหน้าลง กังวลเหลือเกินว่าตัวเองจะพลอยรับผลกระทบไปด้วย
หลังจากฮ่องเต้นิ่งไปครู่หนึ่ง สีพระพักตร์เขียวคล้ำ มองบ่าวผู้นั้นตวาดก้อง “ไสหัวออกไป คำพูดของอี้อ๋อง ข้าไม่ต้องการให้ใครได้ยินอีก”
บ่าวรีบตอบด้วยอาการตัวสั่น “ฝ่าบาททรงวางพระทัย กระหม่อมไม่มีทางเอ่ยออกไปแม้แต่คำเดียว กระหม่อมทูลลา”
สิ้นเสียง เขาก็รีบตะเกียกตะกายจากไปด้วยความลนลาน ล้มลุกคลุกคลานวิ่งจากไป
เซี่ยโหวเฉินมองพระพักตร์เขียวคล้ำของฮ่องเต้ เอ่ยว่า “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ นิสัยของอี้อ๋อง ท่านก็ทรงทราบ เขากำเริบเสิบสาน ก็เพราะป้ายทองอภัยโทษในมือเขาเท่านั้น”
ฮ่องเต้พระองค์ก่อนพระราชทานป้ายทองละโทษตายไว้ให้ พระองค์เคยตรัสไว้ว่านอกจากโทษก่อการกบฎและขัดขืนราชโองการแล้ว ไม่ว่าเรื่องใดก็มิอาจทำอะไรเขาได้
ดังนั้น การที่เขาไม่เคารพต่อฮ่องเต้เช่นนี้ ฝ่าบาทก็จนปัญญาจะลงโทษ
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ความเดือดดาลของฮ่องเต้ค่อยๆ จางลง
ก็ช่างเถอะ เรื่องเป็นเช่นนี้ โมโหไปก็ไร้ความหมาย
ฮ่องเต้กวาดสายพระเนตรมองเซี่ยโหวเฉิน สั่งเสียงเย็นชา “เจ้าไปถ่ายทอดราชโองการข้า ให้ เป่ยเฉินอี้ออกเดินทางทันที ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจทหารชายแดน ห้ามมิให้ผิดพลาด”
ครั้นตรัสมาถึงตรงนี้ ฮ่องเต้พลันฉุกคิดอะไรบางอย่างได้
รีบหยิบพู่กันร่างราชโองการ ทั้งยังใช้ตราราชลัญจกรประทับลงไป โยนราชโองการให้เซี่ยโหวเฉิน “นำราชโองการของข้าไปด้วย”
รับสั่งของพระองค์เป่ยเฉินอี้อาจไม่ฟัง
แต่ราชโองการ เป่ยเฉินอี้ต้องเชื่อฟังโดยมิอาจบ่ายเบี่ยง มิเช่นนั้นขัดราชโอการไม่อยู่ในขอบเขตคุ้มครองของป้ายทองอภัยโทษ
เซี่ยโหวเฉินรีบรับราชโองการไว้ในมือ สีหน้าไม่มีความลำบากใจเลยสักน้อย คารวะฮ่องเต้ “ฝ่าบาททรงวางใจ กระหม่อมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้”
เซี่ยโหวเฉินเอ่ยจบ ก็ถือราชโองการจากไป
หลังจากเขาจากไป
หัวหน้าขันทีมองพระพักตร์ด้านข้างของฮ่องเต้ เอ่ยถามด้วยความระวังว่า “ฝ่าบาท ท่านว่าวิธีการนี้ของท่านอ๋องน้อยจะใช้ได้ผลหรือไม่”
ฮ่องเต้ทรงนิ่งไปสักพัก ถอนพระทัย “ไม่ว่าใช้ได้หรือไม่ ก็เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในยามนี้แล้ว”
ซ้ำยังเป็นวิธีการเดียวในตอนนี้อีกด้วย
หัวหน้าขันทีในยามนี้ไม่เงียบลง ทว่าถอนหายใจออกมา “หวังจริงๆ ว่าภายหน้าจะมีเรื่องเช่นนี้น้อยลงหน่อย อย่าได้ให้ฝ่าบาททรงตรากตรำเช่นนี้เลย”
ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น ตรัส “ขอเพียงเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเป่ยเฉินอี้ตายไปสักคนหนึ่ง ข้าก็ไม่ต้องลำบากเช่นนี้แล้ว ข้าได้แต่ฝืนเชื่อว่า เป่ยเฉินอี้เป็นคนพิการคนหนึ่ง ร่างกายเป็นเช่นนั้น ก็ไม่มีค่าให้กังวล แต่เซี่ยโหวเฉินขุดความไม่สงบและความระแวงสงสัยในใจข้าออกมา ช่างเถอะ ไม่ช้าไม่เร็วอย่างไรข้าก็ต้องรับมือกับปัญหานี้อยู่แล้ว”
หัวหน้าขันทีลังเลเล็กน้อย มองฮ่องเต้ “ฝ่าบาทเคยคิดหรือไม่ บางทีอี้อ๋องหาได้มีใจคิดคด แต่หากเป็นท่านอ๋องน้อยเซี่ยโหวคิดแย่งชิงตำแหน่งปราชญ์อันดับหนึ่งของใต้หล้า ถึงได้จงใจยุยงเล่า”
เมื่อฮ่องเต้ฟังกลับย้อนถามแทนคำตอบว่า “เป่ยเฉินอี้ไม่มีใจคิดคดหรือ คำพูดนี้เจ้าเชื่อหรือไม่”
หัวหน้าขันทีชะงักไปแล้ว ก้มหน้าลง “กระหม่อมก็ไม่เชื่อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามพระประสงค์ของฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ทรงปิดพระเนตร ตรัสถามว่า “องค์ชายใหญ่กลับวังแล้วหรือยัง”
“ได้ยินว่ากลับเมืองหลวงแล้ว คาดว่าจะถึงวังหลวงตอนกลางคืน” หัวหน้าขันทีรีบตอบ
ฮ่องเต้พยักหน้า “อืม หลังจากเขากลับมา ให้ไปพบฮองเฮาก่อน เนรเทศซือถูเฟิง ฮองเฮาไม่ยินดี องค์ชายใหญ่ไปพบนางก็สามารถปลอบได้บ้าง”
“พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีรับคำ
ฮ่องเต้เสริมขึ้นอีกประโยคว่า “ยังมีอีกเรื่อง ส่งสารไปให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยน บอกเขาว่าเดิมทีซือถูเฟิงสมควรมีโทษประหาร แต่ว่าเสินเซ่อเทียนเสนอให้เนรเทศ ดังนั้นข้าจึงไว้ชีวิตเขา”
คาดว่าเมื่อผลักเรื่องไสเรื่องนี้ให้เสินเซ่อเทียนแล้ว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะไว้หน้าพระองค์บ้าง ยินยอมให้เนรเทศ
“พ่ะย่ะค่ะ”
……
เมืองชายแดนเป่ยเฉิน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนั่งอยู่กลางห้อง ทั้งสองยังคงประสานสายตากันดังเดิม
อวี้เหว่ยที่หลบอยู่มุมกำแพง รู้สึกกังวลมาจากเบื้องลึกของหัวใจ หากคนทั้งสองยังจ้องตากันเช่นนี้ต่อไป จะเปลี่ยนเป็นตาไก่ชน[1]แล้ว
ทั้งในใจเขายังกังวลแทนเตี้ยนเซี่ยเป็นอย่างมาก กังวลอะไรนั่นหรือ…
อืม กังวลว่าเตี้ยนเซี่ยขโมยไก่ไม่สำเร็จยังจะเสียข้าวสารล่อไปด้วย ไม่อาจทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยรับผิบชอบก็ช่างเถอะ สุดท้ายพลอยทำให้แม่นางเยี่ยเม่ยโมโหไปด้วย
ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยน…
เดิมทีก็เพื่อให้นางชดเชยให้ เขาถึงพูดมาถึงตอนนี้ กลับเหนือกว่าความคาดหวังเดิมไปมาก เพียงแต่สถานการณ์ในยามนี้มีประโยชน์กับเขา
หลังจากเยี่ยเม่ยนิ่งไปครู่ใหญ่ ในที่สุดสีหน้าเย็นชา ก็เอ่ยประโยคแรกออกมา “ดี ข้าจะรับผิดชอบ”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟัง แววตาวาวโรจน์ขึ้น
ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายเผยรอยยิ้มที่ยากปกปิด น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ กล่าวว่า “เช่นนั้นแม่นางเยี่ยเม่ยลองเอ่ยดูว่า คิดจะรับผิดชอบเยี่ยนอย่างไร เยี่ยนจะได้เตรียมใจเอาไว้”
เยี่ยเม่ยมองสภาพของพวกนางทั้งสองคน
หญิงสาวนั่งอยู่บนเตียง ไม่มีอะไรผิดปกติ ส่วนเขากลับเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย หากมิใช่เพราะนางเห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองไม่ถูกแตะต้อง เห็นสภาพไม่เรียบร้อยของเสื้อผ้าเขา นางยังสงสัยว่าตนเองทำอะไรกับเขาบ้าง
เยี่ยเม่ยจะรู้ได้ที่ไหนว่า เสื้อผ้าของใครบางคนไม่เรียบร้อย เป็นเพราะเขาทำขึ้นเองก่อนนางจะตื่น
เขาไม่เป็นฝ่ายยกเรื่องนี้ขึ้นมาเอง
แต่เยี่ยเม่ยก็ไม่ใช่ตาบอด นางมองเห็นแล้ว เพื่อกันไม่ให้เกิดข้อพิพาทต่อไป ไม่ให้เขาใช้เรื่องที่เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่เรียบร้อยมาคาดการณ์ว่านางเป็นคนถอดเสื้อผ้าเขา สถานการณ์จะยิ่งกระอักกระอ่วนขึ้นไปอีก ดังนั้นนางถึงได้ยอมรับไปเสีย
เยี่ยเม่ยได้ยินคำถาม สูดลมหายใจลึก เอ่ยเสียงเย็นชา “ท่านให้ข้าคิดสักวันสองวัน ข้าจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับท่าน”
ยามนี้นางสมองสับสน รู้สึกคล้ายตกหลุมพราง
เยี่ยเม่ยต้องการเวลาสงบสติสองวัน
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ กลับเก็บท่าทางบีบคั้นคน พยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “ดี เช่นนั้นเยี่ยนจะรอข่าวดีจากแม่นางเยี่ยเม่ย”
“อืม” เยี่ยเม่ยพยักหน้า ในหัวยังคงสับสนวุ่นวาย
ปรายตามองเขา “อาการบาดเจ็บของท่านไม่ร้ายแรงใช่หรือไม่”
สายตาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทอรอยยิ้ม ในเมื่อนางตกลงให้คำตอบกับเขา เขาก็ไม่อยากถกเรื่องพวกเขานอนด้วยกันอีก เพียงตอบว่า “แม่นางเยี่ยเม่ยอยู่กับเยี่ยนอีกสักชั่วยามสองชั่วยาม ก็ไม่เป็นอะไรมากแล้ว”
เยี่ยเม่ยฟังแล้ว มองเขาด้วยความเย็นชา ไม่พูดอะไร
ทั้งสองเริ่มจ้องตากันเป็นยกที่สอง…
ครั้งนี้ องค์ชายสี่ไม่เป็นเหมือนเมื่อครู่ จ้องตากันอยู่นานสองนาน เขากลับไอออกมาอย่างรุนแรง “แค่ก…”
สายตาเย็นชาของเยี่ยเม่ยพลันอบอุ่นขึ้นไม่น้อย
ถอนใจยอมรับชะตา “เช่นนั้นก็ได้ สองชั่วยาม”
[1] ตาไก่ชน ตาเหล่