เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 114
“พ่ะย่ะค่ะ”องครักษ์ไม่รู้สถานการณ์ แต่ก็ไม่เอ่ยอะไรมากความ รับปากในทันที หมุนกายเข้าวังไป
บ่าวประจำกายเซี่ยโหวเฉิน มองแผ่นหลังของแม่ทัพหลี่ผู้คลุ้มคลั่งจากไป เอ่ยปากถามว่า “ท่านอ๋องน้อย ท่านว่าเขาเป็นอะไรแล้ว”
เซี่ยโหวเฉินยิ้มจางๆ ส่ายหน้า “ยังจะเป็นอะไรได้อีก นอกจากฝ่าบาทมีรับสั่งให้เขากลับไปให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจัดการความผิดเขา มีใครบ้างที่หลังจากเอามีดแทงหลังเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยังจะกล้ากลับไปหาคนผู้นั้นอีก”
เมื่อเซี่ยโหวเฉินเอ่ยออกไป ยามนี้บ่าวผู้นั้นก็เข้าใจแล้ว
จริงด้วย องค์ชายสี่มีนิสัยอย่างไร ใครไม่รู้บ้าง
นั่นคือปีศาจขนานแท้ แม่ทัพหลี่อยู่ห่างจากความตายไม่ไกลแล้ว ยามนี้แม่ทัพหลี่รับการจู่โจมไม่ไหว เกิดความกังวลในอนาคตของตัวเองจนกลายเป็นคนบ้า ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
บ่าวประจำกายถอนใจ “แม่ทัพหลี่ก็ทำเพื่อแผ่นดินแลราษฎร เสียสติไปแล้วยังระลึกถึงอนาคตของราชวงศ์เป่ยเฉิน”
เซี่ยโหวเฉินยิ้มเยาะ “คิดถึงอนาคตของราชวงศ์เป่ยเฉินหรือ เขาก็แค่เป็นห่วงอนาคตของตนเท่านั้น ใต้หล้านี้นอกจากคนอย่างเจ้านายเจ้าแล้ว คนอื่นล้วนเป็นพวกโง่งม ส่วนแม่ทัพหลี่ยิ่งเป็นสุดยอดตัวโง่งมในบรรดาตัวโง่งม เป่ยเฉินเสียเยี่ยนในวันนี้อำนาจล้นฟ้า ใครก็ยากขัดขวาง เขากลับเป็นปรปักษ์เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ยังจะได้รับผลดีอะไรอีก คนไม่รู้สถานการณ์ ย่อมตายก่อนใครทุกคน นี่เป็นหลักการที่ชัดเจนมากจนไม่มีอะไรชัดไปกว่านี้อีกแล้ว”
บ่าวประจำกายบเอ่ยว่า “มิน่าท่านไม่เคยเปิดศึกกับองค์ชายสี่ซึ่งหน้า ยังคงเป็นท่านอ๋องที่มองการณ์ไกล”
เขาก็ว่าเหตุใดทุกครั้งที่องค์ชายใหญ่เตรียมจะลงมือกับองค์ชายสี่ตรงๆ ท่านอ๋องของตนถึงรีบขวางในทันที เมื่อเห็นว่าองค์ชายสี่อาจจะลงมือกับพวกเขา ท่านอ๋องไม่คิดทำศึกกับองค์ชายสี่เลย ทั้งไม่คิดวางแผนให้ร้ายองค์ชายสี่ ท่านอ๋องไม่พูดอะไรมากก็จากมาเสียก่อน
ที่แท้ก็คำนึงถึงเรื่องพวกนี้
เซี่ยโหวเฉินเอ่ยปากว่า “คนฉลาดสมควรรู้ว่าเวลาใดถึงควรจู่โจม เวลาใดถึงควรหลบเลี่ยง ฝ่าบาทเลือกเช่นนี้ ไม่ต้องถามข้าก็รู้ว่า ประการแรกองค์ชายสี่มีความสามารถมากเกินไป ฝ่าบาทไม่อยากเป็นศัตรูกับเขาซึ่งๆ หน้า ประการที่สอง เสินเซ่อเทียนไม่ได้ปกป้ององค์ชายสี่มาแค่วันสองวันแล้ว เพื่อแม่ทัพหลี่กับซือถูเฟิง เสินเซ่อเทียนไม่กล้าทอดทิ้งเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ฝ่าบาทก็แค่เลือกไปเพราะไม่มีทางเลือกเท่านั้น”
บ่าวข้างกายพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ “ดังนั้นท่านจึงคาดการณ์ได้ว่า ยามนี้ฝ่าบาทต้องการความเห็นของท่าน”
“ไม่ผิด”เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า เอ่ยต่ออย่างช้าๆ “ที่ข้าเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งของเป่ยเฉิน ล้วนไม่ใช่เพราะข้ามีสติปัญญาเทียบเท่าเป่ยเฉินอี้ ข้ารู้ตัวดีว่าเทียบเขาไม่ได้ แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือ ข้ารู้เสมอว่า ยามใดที่นายท่านต้องการแผนการของข้าที่สุดก็พอแล้ว”
มาได้ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันเวลา เจ้านายย่อมเห็นความสำคัญ ทั้งยังไม่ขาดโอกาสในการสร้างชื่อเสียง
“ท่านอ๋องล้ำเลิศนัก” บ่าวประจำตัวรีบประจบ
ในเวลานี้ นายทหารคนหนึ่งที่เข้าไปรายงานก็ออกมา “ท่านอ๋องน้อย ฝ่าบาทเชิญท่านเข้าไป ฝ่าบาทตรัสว่า ยามนี้เกรงว่าจะมีแต่ท่านเท่านั้นที่ช่วยพระองค์คลายความกลัดกลุ้มได้”
“อืม” เซี่ยโหวเฉินก้าวเข้าวัง
……
ในตำหนัก ฮองเฮา
ฮองเฮาสีหน้าเขียวคล้ำ กำหมัดแน่นทุบลงที่โต๊ะ กัดฟันเอ่ย “ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนวางยาเสน่ห์อะไรให้กับเสินเซ่อเทียนกันแน่ ถึงได้ทำให้เสินเซ่อเทียนปกป้องเขาขนาดนี้ เสียงเอ๋อของข้าบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังถูกพิษ ในสายตาของเสินเซ่อเทียนกลับเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่คู่ควรเอ่ยถึง”
“ฮองเฮา ท่านอย่าได้มีโทสะถึงเพียงนี้เลยเพคะ” นางกำนัลด้านข้างพยายามเกลี้ยกล่อม
ท่านเสนาบดีและซือถูเฉียงในยามนี้ก็อยู่ในตำหนัก โมโหจนหน้าซีดเซียว
ส่วนพระสสุระถูกท่านหมอหลวงพยุงออกจากโถง
วันนี้เสนาบดีถูกจู่โจมเช่นนี้ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังไม่ได้ไร้สติปัญญา หลังจากสูดลมหายใจลึกๆ ไปหลายครั้ง ก็เอ่ยปาก “ฮองเฮา ภายหน้าพวกเราไม่อาจปล่อยเสินเซ่อเทียนไป แต่ในเวลานี้ยังไม่อาจล่วงเกินเขา เป็นศัตรูกับเขา ไม่ส่งผลดีอะไรให้กับพวกเราทั้งนั้น”
เมื่อเสนาบดีเตือนสติ ฮองเฮาก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
นางสูดลมหายใจลึก เอ่ยปากว่า “ท่านพี่กล่าวไม่ผิด ไม่ว่าเป็นอย่างไร หากไม่ใช่เพราะเสินเซ่อเทียน เสียงเอ๋อเกรงว่าจะไม่มีชีวิตกลับมาเมืองหลวง ดูท่าเสินเซ่อเทียนยังคำนึงความปลอดภัยขององค์ชายทั้งหลายและ อนาคตของแผ่นดินอยู่บ้าง”
หากปล่อยให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสังหารพี่ชายของตนจริงๆ เช่นนั้นแผ่นเดินต้องโกลาหลอย่างแน่แล้ว
เมื่อฮองเฮาเอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็กล่าวกับเสนาบดีว่า “วันนี้พี่ชายสมควรรู้แล้วว่าน้องสาวเห็นท่านสำคัญมาก เพื่อปกป้องบุตรชายของท่าน ข้าไม่เสียดายที่จะสังหารบุตรชายของตัวเอง วันหน้าท่านพี่ยังจะสงสัยความใส่ใจที่น้องสาวผู้นี้มีต่อท่านอีกหรือไม่”
“ย่อมไม่สงสัยแล้ว” เสนบาดีรีบตอบโดยพลัน ทั้งเอ่ยต่อว่า “ต่อให้เฟิงเอ๋อยังถูกเนรเทศ แต่ความลำบากของฮองเฮา ข้าเข้าใจดี ภายหน้าพี่น้องร่วมใจ เชื่อว่าจะช่วยให้องค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ได้สำเร็จ”
ฮองเฮารีบสัญญาว่า “ขอเพียงเสียงเอ๋อขึ้นเป็นฮ่องเต้ อย่างแรกที่เขาจะทำก็คือนำตัวเฟิงเอ๋อกลับมา อวยยศขุนนางใหญ่ให้เขา”
เสนาบดีพยักหน้าอย่างยินดี “ได้แต่หวังว่าเฟิงเอ๋อจะปลอดภัย”
ซือถูเฉียงในยามนี้ สะอื้นเอ่ยปากว่า “ท่านอาหญิงฮองเฮา เฉียงเอ๋อ…”
ฮองเฮามองซือถูเฉียง เมื่อเห็นขากางเกงว่างเปล่า ก็สงสารหลานสาวที่งดงามราวกับดอกไม้ของตนที่ยามนี้เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้
นางเดินเข้าไปลูบหัวซือถูเฉียง เอ่ยปากว่า “เจ้าวางใจ โทสะครั้งนี้อาหญิงจะช่วยเจ้าระบายแน่”
“อาหญิง เฉียงเอ๋อชอบพี่เยี่ยนจริงๆ” ดวงตาคลอน้ำตามองฮองเฮา
ฮองเฮาพลันเกิดโทสะ คิดไม่ถึงว่านางจะหลงใหลไม่ลืมหูลืมตา ยามนี้หาใช่เวลาโมโห ฮองเฮานิ่งไปครู่หนึ่ง มอง ซือถูเฉียงพลันถามว่า “เจ้าอยากแต่งงานกับเขาจริงๆหรือ”
“เจ้าค่ะ เฉียงเอ๋อไม่กลัวสูญเสียอะไรทั้งนั้น” ซือถูเฉียงตอบรับทันควัน
ฮองเฮาสูดลมหายใจลึก มองเสนาบดี “ท่านพี่เห็นว่าอย่างไร”
เสนาบดีมองซือถูเฉียงสีหน้ากลัดกลุ้ม “ตามใจนางเถอะ เจ้าก็รู้ว่าสภาพนางในยามนี้ ภายหน้าคงไม่อาจโดดเด่นอะไรอีกแล้ว”
คำพูดของเสนาบดีชัดเจนแล้ว ซือถูเฉียงเป็นแค่หมากที่ถูกทิ้ง
ฮองเฮาพยักหน้า แววตาฉายรอยยิ้มเย็น กล่าวกับซือถูเฉียง “ได้ เจ้ากลับไปรอก่อน อาหญิงจะจัดการเรื่องนี้ให้”
“ขอบคุณอาหญิง” ซือถูเฉียงไม่ใส่ใจสักน้อยว่าบิดาทอดทิ้งนางหรือไม่ นางเพียงคิดจะแต่งงานกับพี่เยี่ยนเท่านั้น
เสนาบดีมองนาง ในใจยิ่งรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ มองฮองเฮา “กระหม่อมทูลลา”
“ท่านพี่ เชิญ” ฮองเฮารีบตอบ
เสนาบดีพาซือถูเฉียงสาวเท้ากว้างจากไป
ฮองเฮามองส่งสองพ่อลูกเสนาบดีจากไป กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “เดิมคิดว่าสามารถฉวยโอกาสนี้กำจัดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ ทำให้ท่านพี่ไว้ใจข้ามากขึ้นอีกหลายส่วน ยิงธนูนัดได้เดียวได้นกสองตัว คิดไม่ถึงเลย เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ เสินเซ่อเทียนยังไม่ยอมลงมือ”
“ฮองเฮา องค์ชายสี่เป็นบุตรชายของท่าน…” นางกำนัลเตือนด้วยความระวัง
ฮองเฮาคล้ายได้ฟังคำที่รังเกียจที่สุด กันฟันเอ่ยว่า “ข้าไม่มีลูกเช่นนี้ เรื่องที่ข้าเสียใจที่สุดในชีวิตคือให้กำเนิดเขา”
เมื่อฮองเฮาเอ่ยออกไปเช่นนี้ นางกำนัลผู้นั้นคุกเข่าลงเสียงดัง “ฮองเฮาอย่าได้ทรงกริ้ว ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยสมควรตาย”
ฮองเฮาหลับตาลง สงบอารมณ์เดือดดาล นางผ่อนลมหายใจยาว เอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าให้พวกเจ้าไปสืบฐานะของนางสารเลวผู้นั้น พวกเจ้าสืบได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
“ตรวจสอบอะไรไม่ได้เลยเพคะ คนผู้นี้คล้ายโผล่ออกมาจากอากาศ แต่พวกเรากลับตรวจสอบฐานะของบุรุษหนุ่มลึกลับกับข้างกายนาง ฐานะของเขาดูจะไม่ธรรมดา…”
……
ท้องฟ้ามืดลงแล้ว
เยี่ยเม่ยหลับไปทั้งวัน พักผ่อนเก็บเรี่ยวแรงไปได้มากพอแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือนางหิวแล้ว
เมื่อท้องร้อง เยี่ยเม่ยลืมตาขึ้น
เสี้ยวนาทีที่ลืมตา หญิงสาวก็อึ้งไปเล็กน้อย…
ตระหนักถึงสถานการณ์ของตนเองในยามนี้
เตียงนอนสบายหลังหนึ่ง ใต้คอนางหนุนแขนข้างหนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายอยู่เบื้องหน้า คนผู้นั้นยังคงปิดตาสนิท ขนตายาวเป็นแพก่อให้เกิดเป็นเงาดำ
นี่คือ….
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ผิดแน่
แต่ปัญหาคือ ไฉนตัวนางถึงมานอนบนเตียงเขาได้ อีกทั้งยังหลับสบายถึงขั้นนี้ ไม่รู้สึกตัวเลยสักน้อย แม้กระทั่งเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างก็ไม่รู้
รอจนเยี่ยเม่ยได้สติกลับมาครบถ้วน อยู่ในอารามตกตะลึง
ยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เปิดตา หันข้างมองท่อนแขนของตน เบิกตากว้างมองสตรีของเขา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนตกใจ ใบหน้าเหมือนอยากไม่เชื่อ รีบเอ่ยปากว่า “เจ้า…เจ้ามาอยู่บนเตียงข้าได้อย่างไร”
ระหว่างพูดคุย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนดูคล้ายหวาดกลัว สายตากลับฉายแววขบขันที่คนยากสังเกตได้ออกมา
เมื่อเยี่ยเม่ยในยามนี้นิ่งอึ้งไปแล้ว
ถัดมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนดึงผ้าห่มห่อตัวเอง การขยับตัวคล้ายกับส่งผลต่อ ‘อาการบาดเจ็บภายในของเขา’ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันกุมหน้าอกไอโขลกออกมา
เยี่ยเม่ยเลิกคิ้ว ในขณะที่จะถามถึงอาการบาดเจ็บของเขา
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ห่มผ้าแล้ว มองนางอย่างป้องกัน “เจ้าฉวยโอกาสยามที่เยี่ยนสลบทำอะไรเยี่ยนบ้าง เจ้าต้องสารภาพออกมาให้ชัดเจน เจ้าต้องรับผิดชอบ ไม่เช่นนั้นจิตใจอ่อนแอของเยี่ยน ไม่อาจทนรับบาดแผลยิ่งใหญ่เช่นนี้ ซ้ำยังถูกทำให้แหลกเป็นเสี่ยงๆ ได้”