เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 113
ยามนี้แม่ทัพหลี่หัวใจหดเกร็ง
คนทั้งหมดวิ่งมาที่นี่ พูดอย่างเปิดเผยก็คือมาร้องเรียนองค์ชายสี่ ยามนี้เห็นผลลัพธ์ของการร้องเรียนองค์ชายสี่ที่มีต่อตระกูลเสนาบดี เป็นเช่นนี้…
ฮองเฮาเป็นถึงมารดาของแผ่นดิน มาช่วยขอร้องยังไร้ประโยชน์
อย่างนั้นตนเป็นแค่แม่ทัพรักษาชายแดนตัวเล็กๆ มาร้องเรียนองค์ชายสี่ ยังเหลือทางรอดชีวิตอีกหรือ
ฝ่าบาทคงไม่ลงโทษให้เขาไปกับซือถูเฟิง…เป็นเพื่อนร่วมทางหรอกกระมัง?
ไม่
อย่าเชียว
แม่ทัพหลี่โขกศีรษะ “ฝ่าบาท พระองค์…”
ฮ่องเต้จ้องแม่ทัพหลี่ ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยคำพูด ก็ชิงตรัสว่า “คำพูดเมื่อครู่ของเสินเซ่อเทียน เจ้าก็ได้ฟังแล้ว”
“ได้ยินแล้ว” แม่ทัพหลี่ตัวสั่นเทิ้ม เอ่ยคำตอบออกมา
ฮ่องเต้ตรัสต่อว่า “เจ้าเป็นถึงแม่ทัพรักษาชายแดน ต้องเห็นคำสั่งของนายทัพมาเป็นอันดับแรก หน้าที่ของทหารคือเชื่อฟังคำสั่ง ดังนั้นเจ้าสมควรเห็นคำสั่งขององค์ชายสี่เป็นสำคัญ…”
อะไรนะ?
เวลานี้แม่ทัพหลี่ชักอยากร้องไห้ออกมาเสียแล้ว
ใครๆ ก็รู้ว่าคำสั่งขององค์ชายสี่เป็นความผิด ถึงกระทั่งขัดต่อคุณธรรมฟ้าดิน ฝ่าบาทถึงกับใช้หลักการแม่ทัพจับศึก มิต้องรอบัญชาฮ่องเต้[1] ดึงดันแก้ต่างให้องค์ชายสี่
ที่น่ากลัวที่สุดคือ ฝ่าบาททรงเปลี่ยนพระพักตร์ได้ไวนัก คำพูดของเสินเซ่อเทียนส่งผลต่อพระองค์มากเกินไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ฝ่าบาทยังถูกองค์ชายสี่ทำให้โมโหจนแทบตาย ตอนนี้จู่ๆ จะเปลี่ยนก็เปลี่ยนไป
แม่ทัพหลี่ไม่กล้าแก้ต่างให้ตนเอง ได้แต่โขกหัว เอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมสำนึกผิดแล้ว ฝ่าบาท ขอให้พระองค์ลงโทษด้วย”
นัยน์ตาเขามีน้ำตาเอ่อล้น ในใจแอบคิดถึงบุรุษผู้ล่วงลับที่บ้าน หวังว่าฝ่าบาทจะไม่ประหารเขา หากไม่ได้จริงๆ ก็เนรเทศไปกับแม่ทัพซือถูเถอะ
ไม่ว่าเอ่ยอย่างไรก็ยังดีกว่าประหารมิใช่หรือ
จากนั้นฮ่องเต้เพียงมองเขา ตรัสด้วยสุรเสียงเย็นเยียบ “ข้าไม่คิดจะเนรเทศเจ้า เจ้ารีบเดินทางกลับชายแดน ส่วนจะจัดการอย่างไรก็เป็นเรื่องขององค์ชายสี่ ข้าไม่อาจก้าวก่าย”
“ฝ่าบาท” แม่ทัพหลี่ในยามนี้อยากร้องไห้ออกมา
ให้เขากลับไปรับการลงโทษขององค์ชายสี่ที่ชายแดน ฝ่าบาท ไม่นี่มิใช่การเอาชีวิตเขาแล้วหรอกหรือ
องค์ชายสี่จะลงโทษเขาอย่างไร
ไม่ว่าเรื่องเขาฆ่าซือถูเฉียงไม่ได้สำเร็จ หรือเพราะหนีมาฟ้องฝ่าบาทที่นี่ อนาคตของเขาก็ดำมืดหม่นแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้
แม่ทัพหลี่พลันโขกศีรษะอีก “ฝ่าบาท ฝ่าบาท ไม่สู้พระองค์เนรเทศกระหม่อม หากไม่ได้จริง ฝ่าบาทประหารกระหม่อมเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่อยากลับไปเผชิญหน้ากับองค์ชายสี่ ฝ่าบาท ทรงโปรดเมตตาด้วย”
เขายินยอมตาย ก็ไม่คิดกลับไปเผชิญหน้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปีศาจผู้นั้น
เพราะเขารู้อยู่แก่ใจดี อีกฝ่ายย่อมมีร้อยวิธีในการทำให้เขาอยู่ไม่สู้ตาย
ฮ่องเต้เห็นเขาหวาดกลัวถึงขั้นนี้ ท่าทางเหมือนท้องฟ้าอับแสงมืดมิด ในใจพลันเกิดความเห็นใจอย่างหาได้ยาก แต่ในที่สุดก็ส่ายหน้า “นี่คือเรื่องของเจ้ากับองค์ชายสี่ ข้าไม่อยากสอดมือเข้าไปยุ่ง เวลาสายมากแล้ว พวกเจ้าออกไปเถอะ”
“ฝะ…ฝ่าบาท”
สีพระพักตร์ฮ่องเต้เย็นชา
คนทั้งกลุ่มได้แต่ร่นถอยออกไปอย่างไม่เต็มใจ
ซือถูเฉียงรู้สึกโง่งมไปแล้ว มองพี่ชายของตนน้ำตาไหลไม่หยุด รู้สึกว่าตนเองพลอยทำให้พี่ชายที่เดิมมีอนาคตกว้างไกลเดือดร้อนไปด้วย
เมื่อทุกคนเดินออกจากตำหนัก องครักษ์ที่ทำหน้าที่คุมตัวซือถูเฟิงก็กรูเข้ามา
ซือถูเฟิงมองน้องสาวทีหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าออกคำสั่งไปแล้ว ให้พี่น้องในค่ายทหารกระจายข่าวของจิ่วหุนออกไป เชื่อว่าไม่กี่วันนี้จะมีผลแน่”
ซือถูเฉียงฟังดังนี้ ดวงตายิ่งเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
ซือถูเฟิงเอ่ยกับน้องสาวว่า “เจ้าวางใจเถอะ ตระกูลซือถูของพวกเรา ไม่มีทางเสียเปรียบเปล่าๆ แน่นอน ไม่ช้าพวกเขาจะได้รับผลกรรม”
“อืม” ซือถูเฉียงพยักหน้าที่เปื้อนน้ำตา “พี่ชาย เป็นเฉียงเอ๋อทำร้ายท่านแล้ว”
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” ซือถูเฟิงส่ายหน้า ถอนใจ ก้าวจากไปภายใต้การคุมตัวของเหล่าองครักษ์
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับซือถูเฉียงจริง ล้วนเป็นเพราะเขาเลือกเดินทางผิด ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ผิดพลาด
เวลานี้เขาสงสัยจริงๆ ไฉนเขาต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับองค์ชายใหญ่ด้วย ไฉนเขาถึงหลงคิดว่าไม่ว่าอย่างไรองค์ชายใหญ่ก็สามารถช่วยเขาได้
เขาถึงกับลืมไปว่า ต่อหน้าองค์ชายสี่ องค์ชายใหญ่เองยังยากจะปกป้องตัวเอง จะช่วยเขาได้อย่างไร
ความจริงแล้ว ซือถูเฟิงก็เป็นตัวโง่งมเช่นกัน
แต่เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้พวกเยี่ยเม่ยใช้ชีวิตได้ดี เขาได้รับความทุกข์ยากลำบาก พวกเยี่ยเม่ยก็ต้องได้รับความลำบากไปกับเขาด้วย
แม่ทัพหลี่ในยามสีหน้าลนลานแตกตื่นเดินออกจากตำหนัก
แม่ทัพหลี่คล้ายกับต้องอาคมมนต์ดำ วิญญาณออกจากร่าง คล้ายกับท่อนไม้ท่อนหนึ่งก็ไม่ปาน เดินผ่านฮองเฮาและเสนาบดีไปด้วยสีหน้าเศร้าสลดเป็นอย่างมาก
เขาในยามนี้ไม่มีอารมณ์กล่าวคำนับฮองเฮาอีกแล้ว ทั้งไม่อยากทักทายเป็นพิธีอะไรกับเสนาบดี ยามที่ชีวิตของตนใกล้จะรักษาเอาไว้ไม่ได้ เขาไม่มีอารมณ์ใส่ใจเรื่องเหล่านี้อีก
ฮองเฮาและเสนาบดีเห็นท่าทางมืดหม่นของเขา ก็เข้าใจความสิ้นหวังในยามนี้ของเขา ไม่มีใครเอาความเรื่องหยุมหยิมกับเขาอีก
ในเวลานี้เอง ท้องฟ้าพลันเกิดฝนตกห่าใหญ่
ความเปลี่ยนแปลงของอากาศรุนแรงและไร้สัญญาณเตือน
แม่ทัพหลี่เข้าใจว่า ฝนห่านี้ตกเพื่อร้องไห้ให้กับตัวเอง เขาไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนในยามนี้ได้อีก คุกเข่าลง ตะเบ็งเสียงดัง “องค์ชายสี่แทรกแซกราชสำนัก บ้านเมืองล่มสลายแล้ว”
“บ้านเมืองล่มสลาย”
เขามีสีหน้าเศร้าสลด ร้องแผดเสียงดังขึ้นอีกราวกับเป็นการร่ำร้องครั้งสุดท้ายก่อนตายของขุนนางผู้ภักดีที่สุด และความกังวลต่ออนาคตของฮ่องเต้
เหล่าทหารที่ผ่านมาเห็นสถานการณ์ ไม่พูดอะไรก็รีบลากแม่ทัพออกจากวังหลวง
คำพูดเหล่านี้หากฝ่าบาทได้ยินเข้า เช่นนี้จะได้อย่างไร
ส่วนแม่ทัพหลี่ยิ่งแผดเสียงดังขึ้นไปอีก ตวาดร้องอย่างไม่อาจสะกดอารมณ์ได้ “กษัตริย์เลอะเลือน เสินเซ่อเทียนยึดอำนาจ องค์ชายสี่ไร้กฎหมาย ราชวงศ์เป่ยเฉิน จบสิ้น จบสิ้นแล้ว”
หลังจากเหล่าทหารทั้งหลายได้ฟัง สีหน้าพลันเปลี่ยนไป
หลังจากออกจากประตูวังหลวง ก็โยนแม่ทัพหลี่ออกไปอย่างแรง เขาเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นสภาพน่าอนาถใจ
คนทั้งหลายต่างไม่พอใจ เสินเซ่อเทียนผู้ชื่นชอบชีวิตอิสระเสรี กลับจำเป็นต้องสอดมือยุ่งเรื่องทางโลกก็เพื่อช่วยราชวงศ์เป่ยเฉิน ภาพลักษณ์ของเสินเซ่อเทียนในใจของทุกคนคือเสียสละเพื่อส่วนรวม เป็นสัญลักษณ์ของความสูงส่ง
แม่ทัพหลี่เอ่ยเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่พอใจ รู้สึกว่าคนที่ตนเคารพนับถือถูกว่าร้าย คำพูดนี้ยังทำให้พวกเขาโมโหมากกว่าราชวงศ์เป่ยเฉินจบสิ้นแล้วเสียอีก
ส่วนแม่ทัพหลี่หลังจากที่ตะกายลุกขึ้นมา ก็เหมือนกับเป็นคนเสียสติ วิ่งไปพลางเอ่ยว่า “ราชวงศ์เป่ยเฉิน จบสิ้นแล้ว จบสิ้นแล้ว”
หน้าประตูวัง รถม้าคันหนึ่งจอดลง
เซี่ยโหวเฉินลงมาจากรถม้า เห็นสภาพแม่ทัพหลี่เสียสติจากไป พลันเข้าใจอะไรขึ้นมาได้ เขาถอนหายใจออก หันกลับไปมององครักษ์ “ไปทูลฝ่าบาท บอกว่าเซี่ยโหวเฉินรู้ว่าพระองค์ลำบากใจ มีความคิดที่ส่งผลดีทั้งต่อสองฝ่าย ช่วยพระองค์คลี่คลายสถานการณ์ได้”
[1] แม่ทัพจับศึก มิต้องรอบัญชาฮ่องเต้ หมายถึง ยามที่ที่อยู่ในสถานการณ์คับขัน หรือแม่ทัพที่ออกรบเพื่อแก้ไขสถานการณ์ อาจจะลงมือก่อนรายงานทีหลัง ไม่รอคำสั่งจากเบื้องบน