เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 109
ตำหนักหลิงซาน ก่อสร้างขึ้นบนภูเขาหลิงซาน
ส่วนเขาหลิงซานก็มิได้ห่างไกลจากวังหลวงเท่าไหร่นัก
ในปีนั้นฝ่าบาททรงยืนยันหนักแน่นให้จวินซ่างพำนักอยู่ในวังหลวง แต่จวินซ่างปฏิเสธ ภายหลังฝ่าบาทลงแรงไปไม่น้อยสร้างตำหนักแปรพระราชฐานหลังหนึ่งบนเขาหลิงซานเพื่อจวินซ่าง ตำหนักหรูหราทรงอำนาจ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความสูงศักดิ์ของเสินเซ่อเทียนที่มีต่อฮ่องเต้
แม้กระทั่งพระสนมคนโปรดของฝ่าบาท สิบปีก่อนเคยบอกว่าอยากเห็นหน้าจวินซ่าง ยังถูกฝ่าบาทตำหนิยกใหญ่
หัวหน้าขันทีรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะรีบส่งคนไปรายงานเดี๋ยวนี้”
เมื่อหัวหน้าขันทีเอ่ยจบ เขาก็สาวเท้ากว้างๆ ออกไป
พวกเสนาบดี กั๋วจั้ง ฮองเฮาและซือถูเฟิงยังคุกเข่าอยู่ที่พื้น
ฮองเต้ปรายตามองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา พระองค์ถอนหายใจไม่รู้เพราะความเหน็ดเหนื่อยหรือไม่ ตรัสเสียงเย็นว่า “ลุกขึ้นก่อนเถอะ นั่งรออยู่ด้านนี้ก่อน รอข่าวจากเสินเซ่อเทียน”
“พ่ะย่ะค่ะ” คนทั้งหมดลุกขึ้น
ในใต้หล้านี้คนที่ทำให้พวกเขาที่มีอำนาจเช่นนี้ยินยอมนั่งรอข่าวจากเขาก็มีเพียงเสินเซ่อเทียนเพียงคนเดียวเท่านั้น
ยามที่ฮองเฮาลุกขึ้น ก็ไม่รู้ว่าเพราะเมื่อครู่ใส่อารมณ์มากเกินไปหรือลุกเร็วเกินไป เกิดความรู้สึกเวียนหัวขึ้นอย่างฉับพลันจนเกือบจะล้มลง
“ฮองเฮา” เสนาบดีมองฮองเฮาด้วยความกังวล
มาถึงตอนนี้ เขาถึงได้รู้ว่าตนและฮองเฮาเดินอยู่บนเส้นทางสายเดียวกัน พลันรู้สึกขอบคุณฮองเฮาขึ้นมาบ้าง
นางกำนัลรีบพยุงฮองเฮาเอาไว้
ฮองเฮาหน้าเซียว ส่ายหัว “ไม่เป็นไร ข้าถูกเจ้าลูกอกตัญญูนั่นทำให้โมโหเท่านั้น”
“ฮองเฮาทรงรักษาพระวรกายด้วย” เสนาบดีรับตอบทันที
คนทั้งหมด บ้างก็ลุกขึ้นมาเอง บ้างก็ถูกพยุงขึ้นมา แต่ละคนพากันนั่งอยู่ด้านข้าง
……
ชายแดนเป่ยเฉิน
เยี่ยเม่ยสีหน้าเย็นชา เดินมาถึงหน้าประตูห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ในยามนี้เป็นเวลากลางวันพอดี
อวี้เหว่ยยืนอยู่หน้าประตู มองเยี่ยเม่ยเดินเข้ามา สายตาวาวโรจน์ขึ้นมาทันที รีบพุ่งตัวอย่างรวดเร็วไปเบื้องหน้าเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านมาแล้ว”
“อืม” เยี่ยเม่ยเห็นอวี้เหว่ยดีอกอีใจปานนี้ กลับรู้สึกวางใจขึ้นหลายส่วน
ดูท่าเจ้านายของเขาจะไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง ไม่เช่นนั้นเขาคงดีใจไม่ออก
จากนั้น…
ภายในเวลาเสี้ยววินาทีสีหน้าของอวี้เหว่ยเปลี่ยนไปราวกับนักแสดงเปลี่ยนหน้าของงิ้วเสฉวน จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเศร้าสร้อย มองเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย เตี้ยนเซี่ยได้รับบาดเจ็บแล้ว สิบกว่าปีที่ผ่านมา เตี้ยนเซี่ยไม่เคยบาดเจ็บเลยสักครั้งเดียว ข้าน้อยเป็นกังวลมาก”
“ข้ารู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บแล้ว” เยี่ยเม่ยตอบกลับไปคำหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยถามว่าทันทีว่า “ร้ายแรงหรือไม่”
อวี้เหว่ยรีบพยักหน้ารัวราวกับลูกไก่จิกข้าวสาร “ถูกแล้ว ร้ายแรงมาก ท่านหมอยังบอกว่า เตี้ยนเซี่ยห้ามลงจากเตียงเป็นเวลาหลายวัน ยามนี้เตี้ยนเซี่ยหลับใหลไม่ได้สติเลย”
เยี่ยเม่ยได้ฟังก็รีบเดินเข้าไป
จู่ๆ ฝีเท้าของนางพลันชะงักไปเล็กน้อย ถามอวี้เหว่ยอีกคำว่า “จะมีผลร้ายในภายหลังหรือเปล่า”
อวี้เหว่ยส่ายหน้า “ไม่เป็นอะไร แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจเถอะ ท่านหมอบอกว่าพักรักษาตัวสักระยะ ก็พอแล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ อวี้เหว่ยก็เริ่มขอความดีความชอบเพื่อเตี้ยนเซี่ยของตนอย่างเต็มที่ “แม่นางเยี่ยเม่ย ข้าน้อยรู้สึกว่า เตี้ยนเซี่ยจริงใจกับท่านจริงๆ ข้าน้อยติดตามเขาอยู่หลายปี ไม่เคยเห็นเขาใส่ใจสตรีนางไหนเท่านี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแค่คำพูดของท่านคำเดียว ก็ทำให้บาดเจ็บจนถึงขั้นนี้”
คำพูดครึ่งแรกของอวี้เหว่ยล้วนมาจากใจจริง
แต่คำพูดครึ่งหลังล้วนเป็นวาจาเหลวไหล เขาเอ่ยได้อย่างหน้าไม่แดงหายใจไม่สะดุดเลย พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่าหลายปีที่อยู่ข้างกายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้สูญเปล่า พูดจาโกหกโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยสักน้อย
เยี่ยเม่ยได้ฟังถึงตรงนี้ ก็ถอนใจเบาๆ เปรยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
สิ้นเสียง หญิงสาวก็เดินเข้าไปในห้องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
อวี้เหว่ยเห็นอีกฝ่ายเดินเข้าไปแล้วก็ปิดประตูลง เอามือปิดปากตัวเองด้วยความยินดี ชื่นชมตัวเองอยู่ในใจยกใหญ่ที่เมื่อครู่มีไหวพริบตอบสนองได้ทัน เชี่ยวชาญการเป็นผู้ช่วย สมควรได้รับความชอบอย่างมาก
เขารู้สึกเลื่อมใสตัวเองจริงๆ
……
เมื่อเยี่ยเม่ยเดินเข้าไปในห้อง เป่ยเฉินเสียเยี่ยนนอนอยู่บนเตียงกำลัง “สลบ” อยู่จริงๆ
เขานอนอยู่บนเตียงอย่างสงบเช่นนี้ ความชั่วร้ายและไออัปมงคลบนร่างในยามปกติลดน้อยลงไป มองแล้วกลับดูสง่างามอ่อนโยน ในเวลานี้กลับทำให้คนเห็นแล้วสบายใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
หลังจากหลับไป บุรุษผู้นี้ก็ดูอันตรายน้อยลง เมื่อมองดูกลับทำให้ใจคนอ่อนยวบ ทั้งยังรู้สึกสงสารอย่างน่าแปลกประหลาด
ใบหน้าซีดขาวไม่เหมือนปกติ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากอาการบาดเจ็บ
เยี่ยเม่ยเดินไปข้างเตียงเขา มือขาวผ่องยื่นออกมาวางลงที่หน้าผากเขา ยังดีที่อุณหภูมิปกติ ไม่ได้เป็นไข้
หญิงสาวรู้สึกสบายใจ ในขณะที่กำลังจะชักมือกลับ
เขาที่เวลานี้ตกอยู่ในอาการ “สลบ” พลันยื่นมือมากุมมือนางไว้
ดูคล้ายกับว่าเขาไม่รู้ตัว จับมือนางไปวางไว้บนอกแกร่ง
เดิมเยี่ยเม่ยคิดว่าเขาฟื้นแล้ว แต่เห็นว่าทั้งหมดที่เขาทำนั้น หาได้เปิดตาเลยสักน้อย เยี่ยเม่ยจึงเขาใจว่าอีกฝ่ายทำทุกอย่างลงไปโดยไม่ได้สติ
ความอบอุ่นจากฝ่ามือเขาถ่ายทอดไปที่หลังมือนาง
เขาไม่ได้มีไข้ ฝ่ามือก็ไม่ร้อน แต่เยี่ยเม่ยกลับรู้สึกว่าหลังมือของนางคล้ายกับน้ำร้อนลวก
หรือหัวใจนางก็ถูกลวกไปแล้วเช่นกัน
ในเวลานี้เยี่ยเม่ยก็ไม่เข้าใจว่า ไฉนเวลาสัมผัสตัวเขา นางถึงได้มีความรู้สึกไวเช่นนี้
นี่หาใช่ครั้งแรกที่เขาจับมือนาง แต่เขาจับมือนางนานขนาดนี้แล้วนางยังไม่ชักออก กลับเป็นครั้งแรก
จริงด้วย ในขณะที่เยี่ยเม่ยใช้ความคิด เขาก็กุมมือเอาไว้นานแล้ว
……
ในเรือนของจิ่วหุน
ชุดสีขาวของบุรุษหนุ่มพลิ้วไหวอย่างรวดเร็ว ท่วงท่าองอาจสง่างามยามอยู่ใต้ต้นไม้ดูงดงามเกินเปรียบ ทุกท่วงท่าของเขาที่ออกจากกระบี่ยาวในมือเกิดเป็นแรงลมคมกริบกระแสหนึ่ง แผ่ไอสังหารภายใต้คมกระบี่ และมีไอสังหารแผ่พุ่งจากหว่างคิ้วของเขา
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ภาพที่เห็นก็ยังทำให้คนรู้สึกว่าเป็นม้วนภาพวาดอันงดงามอย่างที่หนึ่งร้อยปีจะพานพบสักเล่มหนึ่ง
ชายแดนมีอากาศหนาวเหน็บกว่าที่อื่นมาก แต่ว่าต้นฤดูหนาว ดอกเหมยชำแรกแตกกิ่งก้านแล้ว
ความสง่างามยามเขาร่ายรำกระบี่ในที่นี้ ทำให้แม่นางทั้งหลายที่ผ่านมายืนชมอย่างหลงใหล ลืมไปว่าตนกำลังจะทำอะไร สายตาหลงใหลมองไปที่นี่จนหมดสิ้น
เวลาและอากาศคล้ายหยุดนิ่ง หรือเรียกได้ว่ามีเพียงเวลาของแม่นางทั้งหลายเท่านั้นที่หยุดลง
ทั่วทั้งเรือน นอกจากจิ่วหุนที่กำลังร่ายรำเพลงกระบี่
แม่นางผู้ผ่านทางทั้งหลายต่างยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ลืมเลือนสิ่งที่ตัวควรกระทำ ทั้งลืมหน้าที่ของตนในยามนี้ไปหมดสิ้น
ในเวลานี้เองสตรีสวมอาภรณ์ผ้าต่วนสีฟ้าก็ยืนนิ่ง มองเขาอย่างเหม่อลอย
นั่นก็คือไข่มุกเม็ดงามในมือเจ้าเมืองหลิน หลินซูเหย่า
ฝ่ายจิ่วหุนไม่มีเวลามองไปทางนั้น ในสายตาเขาเห็นแต่กระบี่ในมือตน เขาบอกไว้แล้วว่า ภายในห้าปีจะต้องเอาชนะเป่ยเฉินเสียเยี่ยนให้ได้
คำพูดท้าทายหาได้เอ่ยอย่างขอไปทีออกไปเท่านั้น