เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 104
จงรั่วปิงสีหน้าแข็งทื่อ ค่อยๆ ผงกหัวอย่างมึนงง
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงได้ถอนสายตากลับด้วยความพอใจ จู่ๆ เขาก็ยื่นมาออกมากุมหน้าอกตัวเอง สีหน้าเจ็บปวดเอ่ยว่า “กระบวนท่านี้ของเสี่ยวจิ่ว ลงมือหนักจริงๆ”
คนทั้งหมด “…” พวกเราจะดูท่านแสดงละครอย่างเงียบๆ
อวี้เหว่ยในฐานะตัวประกอบยอดเยี่ยม ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็พุ่งเข้าไปพยุงองค์ชายสี่ “เตี้ยนเซี่ย ในเมื่อท่านได้รับบาดเจ็บ ก็ต้องระวังไว้หน่อย ยามนี้พวกเราไปหาแม่นางเยี่ยเม่ยหรือไม่”
“ไม่จำเป็น” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไพเราะ เขาดูเหมือนลมหายใจรวยริน ค่อยๆ อธิบายว่า “นางเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว เยี่ยนไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของนาง เยี่ยนกลับไปพักรักษาตัวเองก่อน”
คนทั้งหมดจนคำพูด ผู้ชมหลักไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ต้องเข้าถึงบทบาทขนาดนี้ก็ได้กระมัง
เซียวเยว่ชิงกระซิบกระซาบข้างหูหลูเซียงฮั่ว “เจ้าว่า ครั้งนี้เตี้ยนเซี่ยแสดงละครได้สมบทบาทหรือไม่”
นักแสดงที่เคารพในวิชาชีพเช่นนี้ เกรงว่าจะหาได้ยากยิ่ง
หลูเซียงฮั่วมองบนกำแพงที่อยู่ห่างออกไป เตี้ยนเซี่ยของเขาสงบมาก ดูคล้ายจะบาดเจ็บสาหัสจริงๆ การแสดงยอดเยี่ยมไหลลื่นคล่องแคล่วดูไม่ออกว่าเป็นการแสดงเลยสักนิด
หลูเซียงฮั่วพยักหน้า “น่าจะใช่”
อวี้เหว่ยเหงื่อเม็ดโป้งซึมออกมาจากหน้าผาก พยุงองค์ชายสี่ “เตี้ยนเซี่ย อย่างนั้นข้าน้อยพยุงท่านกลับไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่”
เตี้ยนเซี่ยช่างชวนให้คนซาบซึ้งนักเชียว
เขายังรู้สึกซาบซึ้งในการกระทำของเตี้ยนเซี่ย เพราะเชื่อฟังคำของแม่นางเยี่ยเม่ย ไม่เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บ หลังจากบาดเจ็บแล้วยังไม่คิดรบกวนการพักผ่อนของแม่นางเยี่ยเม่ย แต่เลือกที่พักรักษาตัวเงียบๆ คนเดียว ช่างน่าซาบซึ้งนัก
เหอะ
ตัดผมจิ่วหุนออกไปปอยนึงแล้ว ท่านยังแสดงละครกดขี่คนแบบนี้ เตี้ยนเซี่ยจิตใจอันดีงามของท่านไม่เจ็บปวดบ้างหรืออย่างไร
แน่นอนว่าจิตใจอันดีงามของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มีทางเจ็บปวด อย่างไรเสียคนที่ไร้ความเป็นมนุษย์ในสายตาคนทั่วหล้าอย่างเขา แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เข้าใจว่าจิตใจอันดีงามคืออะไร
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหันหน้ามองคนใต้กำแพงเมืองทั้งหมด เตือนเสียงเย็นชาว่า “คำสั่งของเยี่ยนเมื่อครู่ พวกเจ้าจดจำได้ชัดเจนแล้วหรือยัง”
“จำ…จำได้แล้ว” พวกเขาพยักหน้าอย่างรวดเร็วตอบรับว่าเข้าใจความหมายแล้ว
ส่วนพวกที่ไม่เข้าใจความหมายของเขาก็พยักหน้าอย่างคลุ้มคลั่งเป็นการกลบเกลื่อน แสดงออกว่าตนจะเชื่อฟังคำสั่งขององค์ชายสี่ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน ทำให้บิดามารดาที่บ้านเกิดไม่อาจได้พบลูกที่สดใสร่าเริงน่ารักไร้เดียงสาอย่างพวกเขาช่วยเหลือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่แกล้งบาดเจ็บสาหัส…
แต่ว่าทุกคนต่างก็เห็นใจเสี่ยวจิ่ว ทั้งๆ ที่พ่ายแพ้ต่อหน้าคนทั้งหมด ยังถูกเตี้ยนเซี่ยจอมเจ้าเล่ห์วางแผนเล่นงานอีก
คนทั้งหมดต่างก็เบิกตากว้างพูดคำลวง เตรียมตัวหลอกเยี่ยเม่ย
พวกเขาเห็นใจเสี่ยวจิ่วจริงๆ…
ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เขาจะมีความเห็นใจให้ศัตรูหัวใจได้อย่างไร
เขาถอนสายตากลับด้วยความพึงพอใจ เอ่ยปากอย่างแช่มช้าน่าฟังว่า “อำนาจและความสามารถเป็นสิ่งที่รับประกันการใช้มือเดียวค้ำฟ้า[1]ได้ดีที่สุด ความต้องการอย่างแรกของคนทั้งหลายก็คือ มีชีวิตต่อไปให้ดี ลำดับต่อไปถึงมีแรงมากพอไปปกป้องอุดมการณ์ความคิด”
อย่างตอนนี้เป็นต้น คนทั้งหมดต่างก็รู้ว่าเป็นคำโกหก แต่ว่าในยามที่ยากจะรักษาชีวิต หลักการเหตุผลคืออะไรกัน พวกเขาก็ไม่เข้าใจแล้ว รักษาชีวิตน้อยๆ ของตนก่อนค่อยว่ากัน
หลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยจบ ชุดยาวก็พลิ้วผ่านไป เขาก้าวเท้าเดินออกอย่าง ‘ยากลำบาก’ ภายใต้การ ‘ประคอง’ ของอวี้เหว่ย
พวกซือหม่าหรุ่ยที่อยู่ด้านล่าง ได้ฟังคำของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ถอนหายใจออกมา
ความคิดของสตรีย่อมละเอียดกว่าพวกบุรุษมากนัก
ซือหม่าหรุ่ยที่มีประสบการณ์มากที่สุด เอ่ยเบาๆ ว่า “พลังและอำนาจ เป็นหลักประกันในการใช้มือเดียวคำฟ้า…ดูเหมือนเขาจะมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เห็นแล้วแล้วว่าใต้หล้านี้มีสิ่งที่อำมหิตเย็นชามากมายแค่ไหน”
“แต่เขาก็เข้าใจว่า ความแข็งแกร่งของตัวเองถึงเป็นหลักประกันทุกเรื่องที่ตัวเองสินใจได้” จงรั่วปิงวิจารณ์
ซินเยว่เยี่ยนสรุปว่า “คนอย่างเขา ไม่รู้ว่าโชคดีหรือว่าโชคร้ายกันแน่”
ความโชคร้ายของเขาก็คือเขาเข้าใจโลกได้อย่างทะลุปรุโปร่งก่อนคนมากมาย มองเห็นความโหดร้ายที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังความสูงศักดิ์ เข้าใจว่าคุณธรรมทั้งหลาย หลักการทั้งหลาย ความจริงแล้วมันก็ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น
ส่วนที่โชคดีก็คือ ในขณะที่เขามองสิ่งเหล่านี้ออก ในนาทีนั้นเขาก็เป็นผู้กุมชะตาชีวิตตัวเอง จนถึงกระทั่งใช้ความสามารถอันแข็งแกร่งควบคุมความคิดและชะตาชีวิตผู้อื่น ใช้มือเดียวค้ำฟ้า ใช้ความคิดของเขาแทนหลักการเหตุผลทั้งหลาย
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนทำได้ถึงขั้นที่ว่า เขาเอ่ยอะไรก็คือสิ่งนั้น ต่อให้เขาโกหก ก็ยังทำให้คนหลายแสนคนร่วมมือช่วยกันโกหกต่อไป
ความสามารถเช่นนี้…
ต่อให้ไม่เป็นฮ่องเต้ ก็ทำให้ฮ่องเต้หวาดกลัวได้
คราวนี้จงรั่วปิงเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกประโยค “ข้าสงสัยจริงๆ ว่า เขาเคยผ่านประสบการณ์อะไรมากันแน่”
ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนได้ฟังคำ ทนไม่ไหวหันกลับไปมองจอมยุทธ์หญิงอันดับหนึ่งทีหนึ่ง ในเวลานี้คล้ายกับพวกนางจะคิดอะไรได้
ไม่ช้า ซือหม่าหรุ่ยก็เอ่ยกับจงรั่วปิง “ปิงปิง พวกเราเข้าไปก่อนแล้ว เจ้าคิดหาทางเข้าเมืองเองก็แล้วกัน”
“เอ๋?” ใบหน้าเย็นชาของจงรั่วปิงในยามนี้กลับฉายแววตกตะลึง มองซือหม่าหรุ่ยด้วยความแปลกใจ ไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
ซือหม่าหรุ่ยกระแอมไอ อธิบายว่า “เรื่องเป็นอย่างนี้ คือว่า…ตลอดทางที่ผ่านมาพวกเรารู้สึกว่าเจ้ามีไอสังหารรุนแรงมาก คล้ายจะเข้าไปคิดบัญชีกับเยี่ยเม่ย หากเจ้าจะไปคิดบัญชีกับนางจริงๆ แล้วพวกเราพาเจ้าเข้าเมืองไป พวกเราทั้งสองจะตกอยู่ในอันตราย”
เมื่อซือหม่าหรุ่ยเอ่ยจบ ซินเยว่เยี่ยนก็พยักหน้าเห็นด้วย
ความจริงตลอดการเดินทางถึงนางกับซือหม่าหรุ่ยจะไม่ได้พูดอะไรกัน แต่ทั้งสองก็แอบส่งสายตาให้กันและกันลับหลังจงรั่วปิงหลายครั้ง ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าจะทิ้งจงรั่วปิงเอาไว้
จงรั่วปิง “…”
สีหน้าจงรั่วปิงว่างเปล่า จ้องมองคนสองทคนที่ไร้คุณธรรม กล่าวโดยไม่อยากเชื่อว่า “ความหมายของพวกเจ้าคือ เพราะพวกเจ้าไม่อยากลำบากเพราะข้า ไม่อยากก่อเรื่อง ดังนั้นจึงทิ้งสหายเก่าแก่อย่างข้าไว้หน้าประตูเมืองโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยอย่างนั้นหรือ”
ซือหม่าหรุ่ยกับซินเยว่เยี่ยนสบตากันต่อหน้าจงรั่วปิง
จากนั้นทั้งสองก็พยักหน้า
ซือหม่าหรุ่ยกล่าวสรุปว่า “ถูกแล้ว เจ้าก็รู้ว่าวรยุทธ์ของข้าไม่ได้ดีเท่าไหร่ หากสิ่งที่เจ้าทำไปส่งผลให้พวกเขาไล่ฆ่าแล้วล่ะก็ ชีวิตของข้าก็น่าเป็นห่วงแล้ว”
จงรั่วปิงมองซินเยว่เยี่ยน
ซินเยว่เยี่ยนรีบส่ายหน้าทันที “เจ้าไม่ต้องมองข้าเลย ถึง…ถึงข้าจะพอมีวรยุทธ์ดีกว่าบ้าง แต่เจ้าก็เห็นความสามารถของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและจิ่วหุนแล้ว ต่อให้พวกเขาคนใดคนหนึ่งลงมือ ข้าก็ไม่มีชีวิตกลับไปหมู่ตึกกูเยว่อีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้ายังไม่ทันพาน้องสะใภ้กลับไปเลย”
“ดังนั้นพวกเจ้าถึงได้…” จงรั่วปิงแทบไม่เชื่อคำที่ตนได้ยิน
“วางใจเถอะ พวกเราหาใช่คนแล้งน้ำใจ” ซือหม่าหรุ่ยรีบล้วงเงินทั้งหมดออกจากแขนเสื้อ
ซินเยว่เยี่ยนก็ทำเช่นเดียวกัน
จากนั้นทั้งสองคนก็โยนเงินใส่มือจงรั่วปิง มอบให้อีกฝ่าย เอ่ยว่า “เอาเงินทั้งหมดให้เจ้าแล้ว เพื่อพิสูจน์มิตรภาพของพวกเรา เรื่องอื่นพวกเราไม่เอ่ยถึงอีก ขอตัวก่อน”
เมื่อพูดจบ ทั้งสองก็เข้าเมืองไป
จงรั่วปิงที่ถูกทิ้งไว้สีหน้ามึนงงมองคนทั้งสองเดินส่ายไปส่ายมา ไม่มีคุณธรรมเลยสักน้อย จากไปโดยไม่แม้แต่หันกลับมามอง
นางได้แต่มองซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยนเดินเข้าเมืองไปตาปริบๆ
หลังจากนั้นเซียวเยว่ชิงและหลูเซียงฮั่วรีบปิดประตูเมืองอย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยให้นางเข้าไป ดูท่าทางรีบร้อนตัดสัมพันธ์กับตนเอง
ประตูเมืองปิดลงแล้ว
จงรั่วปิงมองถุงเงินสองถุงในมือตน ในที่สุดก็เกิดโทสะ “มิตรภาพเปราะบางบ้าบออันใดกัน ช่างเป็นการแสดงจอมปลอมทั้งนั้น ”
จงรั่วปิงทางหนึ่งก็บ่นด่าด้วยความโมโห อีกทางหนึ่งก็รีบยัดถุงเงินเข้าไว้ในอกอย่างมิดชิด
นางเงยหน้ามองไปทางกำแพงเมือง วินาทีนี้กลับกลัดกลุ้มบ้างแล้ว “ไฉนพวกนางสองคนถึงดูออกว่าข้ามีเจตนาร้ายกัน หรือว่าข้าแสดงออกได้ชัดเจนขนาดนั้น”
……
ภายในห้องเยี่ยเม่ย
หลังจากเสียงดังสนั่นนั้นเงียบลง แม้ภายในห้องจะสงบเงียบมาก ไม่รู้เพราะเหตุใดเยี่ยเม่ยที่นอนอยู่บนเตียง เวลานี้กลับนอนไม่หลับ
ทั้งไม่เข้าใจชัดว่าเพราะเสียงดังส่งผลกระทบต่อจิตใจหรือเปล่า
เวลานี้นางตระหนักได้แล้วว่า เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับจิ่วหุนต่อสู้กันอยู่ข้างนอก คิดถึงว่าเมื่อก่อนเคยเห็นคนยุคโบราณประมือกันด้วยกำลังภายใน เวลานี้นางก็กระเด้งตัวราวกับปลาหลีดีดกายขึ้นมานั่ง
เสียงที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่คือเสียงที่พวกเขาต่อสู้กันหรือ
เวลานี้สงบเงียบไร้การเคลื่อนไหวแล้ว คงไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอกนะ
เมื่อคิดเช่นนี้ เยี่ยเม่ยรีบสวมเสื้อผ้า เดินออกไปด้านนอกด้วยความร้อนรน ในขณะนี้เองเซียวเยว่ชิงกลับมายืนหน้าประตูห้อง
ครั้นเห็นเยี่ยเม่ยเดินออกมาจากด้านใน สายตาของเขาวาวโรจน์ สาวเท้ากว้างเข้าไป รายงานว่า “แม่นางเยี่ยเม่ย ไฉนท่านตื่นไวเช่นนี้เล่า ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่านพอดี”
[1] ใช้อำนาจเพื่อปกปิดความจริง