เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 102
“เขา…” หลังจากฮ่องเต้ฟังถึงตรงนี้ แทบจะโมโหจนสลบไป
พระองค์ลุกขึ้นด้วยโทสะอีกครั้ง ในขณะที่ลุกขึ้นนั้น พระองค์กลับทรุดลงนั่งที่บัลลังก์อย่างแรงเมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าหากยังฟังข่าวที่กระตุ้นโทสะมากไปกว่านี้พานจะประชวรแล้ว
หัวหน้าขันทีถลึงตาใส่แม่ทัพหลี่อย่างดุร้ายทีหนึ่ง ใช้สายตาบอกว่าไม่ต้องพูดอีกแล้ว
จากนั้นก็รีบรินชาให้ฮ่องเต้ โน้มน้าวว่า “ฝ่าบาททรงคลายโทสะก่อน เสวยชาพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรก็ต้องถนอมพระวรกายเอาไว้ พระพลานามัยของพระองค์เป็นสิ่งสำคัญมากนะพ่ะย่ะค่ะ”
เขากังวลจริงๆ องค์ชายสี่ทำกับฝ่าบาทเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ฝ่าบาทจะบันดาลโทสะจนสวรรคต
ตัวเองเป็นถึงหัวหน้าขันที เห็นฮ่องเต้มาจนถึงวัยกลางคน คิดว่าพระองค์ไม่มีทางสวรรคตอย่างกะทันหัน ดังนั้นเขายังไม่ได้หาเจ้านายใหม่ เพื่อรักษาตำแหน่งหัวหน้าขันทีของตนไว้
ฮ่องเต้ทรงสูดลมหายใจลึก ในที่สุดก็ตระหนักได้ หากพระองค์ยังคงโมโหโทโสเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าร่างกายจะทนไม่ไหว อีกอย่างเจ้าลูกทรพีก็มิได้ทำให้พระองค์โมโหมาแค่ครั้งสองครั้งวันสองวันนี้แล้ว
ดังนั้นพระองค์ปิดพระเนตรลง
สงบนิ่งชั่วครู่…
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดฮ่องเต้ก็รู้สึกว่าลมหายใจสงบลง มองแม่ทัพหลี่ผู้นั้น ตรัสว่า “สตรีนางนั้น มีความสามารถเช่นไร”
ไม่ว่าจะโมโหเพียงใด ฮ่องเต้ก็เข้าใจชัดเจนว่า มีเรื่องหนึ่งที่พระองค์จำต้องใส่ใจ
นั่นก็คือทัพใหญ่ทหารสองแสนนายของพระองค์อยู่ในมือของสตรีนางนั้น พระองค์สามารถไม่ใส่ใจความเป็นตายของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน บังคับตนให้ไม่ใส่ใจว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะกระทำเรื่องผีสางอันใด แต่พระองค์มิอาจไม่ใส่ใจชีวิตของทหารสองแสนนาย
“คือ…” แม่ทัพหลี่ลังเล
จากนั้นรายงานว่า “เรื่องความสามารถของสตรีนางนั้น กระหม่อมมิรู้ว่าสมควรเอ่ยอย่างไร แต่ที่ยืนยันได้คือ นางมีวรยุทธ์สูงส่ง บางทีผู้คุ้มกันทั้งสองของจวินซ่างยังมิอาจเป็นคู่มือของนางได้”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ แม่ทัพหลี่พยักหน้า ทั้งเสริมอีกหนึ่งประโยคอย่างหนักแน่นและมั่นใจ “ไม่ สมควรบอกว่า ผู้คุ้มกันทั้งสองของจวินซ่างร่วมมือกันเกรงว่ายังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้นางได้ ฝีมือของนางสามารถบีบให้เตี้ยนเซี่ยถอยร่น ครั้งก่อนยามประมือกันสามกระบวนท่า ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ”
จวินซ่าง ย่อมหมายถึงเสินเนี่ยเทียน
ส่วนผู้คุ้มกันทั้งสองของเสินเนี่ยเทียน ความจริงแล้วก็คือคำเรียกขานที่คนภายนอกยกย่องสองคนนั้น แต่พวกเขาก็เป็นคนสนิทของจวินซ่างอย่างมิต้องสงสัย คนหนึ่งก็คือเป่ยเจี้ยนเกอ อีกคนหนึ่ง…พวกเขายังไม่เคยพบมาก่อน
คราวนี้ฮ่องเต้มีสีพระพักตร์แตกตื่น เยือกเย็นมากขึ้น มองแม่ทัพหลี่ “ความหมายของเจ้าคือ ความสามารถของสตรีนางนั้น นับว่าใช้ได้แล้วหรือ”
หัวหน้าขันทีรีบก้าวมาด้านข้าง “ถูกแล้ว ฝ่าบาทท่านก็ได้ฟังแล้ว องค์ชายสี่ถึงจะไม่เชื่อฟัง แต่ว่าทำเรื่องอะไรก็ยังรู้จักขอบเขต ต่อให้มอบตราพยัคฆ์ให้สตรีนางนั้น นางก็ย่อมมีความสามารถไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”
คำพูดนี้ทำให้ฮ่องเต้ผ่อนคลายใจลงไปได้ไม่น้อย
พระองค์สูดลมหายใจลึก พยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ สีพระพักตร์คล้ำเขียวก็ดีขึ้นมากแล้ว
แม่ทัพหลี่แอบลอบมองฮ่องเต้ด้วยความระวังทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสริม “คือว่า…ฝ่าบาทสตรีนางนั้นคือคนที่ทำร้ายท่านหญิงจนเป็นเช่นนั้น คือสตรีที่ฮองเฮามีราชเสาวนีย์ให้ทหารจับตัวนาง ไม่เพียงเท่านี้…”
แม่ทัพหลี่ลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อว่า “นางยังก่อคดีคร่าชีวิตคน บุกอาละวาดศาลาว่าการชายแดน ทำร้ายนายอำเภอและฮูหยินเสียสารรูปแทบไม่เหมือนคน อืม…ยามนี้นายอำเภอถูกเตี้ยนเซี่ยปลดแล้ว ทั้งยังทำตามคำเสนอของแม่นางท่านนั้น เชิญอาจารย์มาสั่งสอนนายอำเภอกับฮูหยินทุกวัน”
“แค่ก…” ฮ่องเต้ไอออกมาเสียงดัง
สีหน้าคล้ำที่สงบลงอย่างยากลำบากเมื่อครู่ เสี้ยวเวลานี้กลับโมโหจนแดงก่ำ ทอดพระเนตรมองแม่ทัพหลี่อย่างไม่เชื่อสายตา “เจ้า เจ้าว่าอะไรนะ”
หัวหน้าขันทีกระตุกมุมปากอย่างห้ามไม่อยู่
ระหว่างสตรีเกิดความหึงหวง สตรีนางนั้นทำร้ายท่านหญิง ก็ไม่ต้องพูดแล้ว ยามที่สตรีนางนั้นกล้าหาญทำร้ายท่านหญิง เรื่องพวกนี้เขายังฝืนเข้าใจได้ แต่ว่า…
สังหารคนไปหลายคน ซ้ำยังไปอาละวาดที่ศาลาว่าการอำเภอ
นี่เมื่อฟังแล้ว คล้ายกับถึงขั้นไร้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เมื่อเทียบขั้นกับเตี้ยนเซี่ยแล้วก็ไม่ต้องดีไปกว่ากันเท่าไหร่นักเลย
แม่ทัพหลี่หน้าเศร้าสลด “คำพูดของกระหม่อม ไม่มีคำไหนเป็นเท็จ ทุกคำล้วนเป็นความจริง สตรีนางนั้นร้ายกาจเช่นนี้ ไม่เพียงเท่านั้น นางยังไล่สังหารคนไปถึงค่ายทหารต้ามั่ว ฆ่าลูกชายนายอำเภอต่อหน้าทหารทุกคน อีกทั้งเตี้ยนเซี่ยยังรับนางกลับมาโดยไร้บาดแผล”
“อ้อ” สีพระพักตร์แดงก่ำด้วยโทสะเมื่อครู่ของฮ่องเต้ ยามนี้ค่อยๆ สงบลงแล้ว
เวลานี้พระองค์ไม่อยากยุ่งเรื่องของนายอำเภออีก ทั้งยังรู้สึกจากเบื้องลึกว่าพระองค์ไม่มีพลังมากพอไปใส่ใจเรื่องมากมายพวกนี้แล้ว…
ยามนี้ที่พระองค์เป็นห่วงก็คือการศึกระหว่างต้ามั่ว ในอนาคตจะดำเนินไปในทิศทางใด
เขามองแม่ทัพหลี่ เอ่ยปากถามว่า “ความหมายของเจ้าคือ สตรีนางนั้นสามารถบุกค่ายทหารศัตรูสังหารคน แล้วยังกลับมาได้โดยไม่บาดเจ็บสักน้อย”
หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ อย่างน้อยก็บอกได้ว่าสตรีนางนั้นเป็นศัตรูกับต้ามั่ว
อีกทั้งยังมีความสามารถเช่นนี้…
บุกเข้าค่ายทหารศัตรูไปสังหารคน แล้วยังกลับมาได้อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว ในใต้หล้ามีสักกี่คนที่ทำได้
หากมิใช่ยอดฝีมือเร้นกาย โดยปกติแล้วไม่น่าเป็นไปได้
แม่ทัพหลี่พยักหน้า “เป็นเช่นนี้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
คราวนี้ ฮ่องเต้ค่อยสบายใจ “อย่างนั้นก็ดี พิสูจน์ว่าเจ้าลูกทรพีสุดท้ายก็ยังมีขอบเขตบ้าง ส่วนสตรีนางนี้ก็มีความสามารถที่แท้จริง”
ทว่ายามนี้ฮ่องเต้ก็อยากกรรแสงออกมาเช่นกัน
ในเวลาไม่นาน จิตใจของพระองค์คล้ายกับนั่งรถม้าขึ้นเขาก็ไม่ปาน ประเดี๋ยวก็ขึ้นสูง ประเดี๋ยวตกลงต่ำ ประเดี๋ยวอยากกระอักเลือด ประเดี๋ยวก็ชื่นชม
พระองค์มีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง เกี่ยวกับ…
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นปัญหาทางใจของพระองค์คนแรก ในไม่ช้าเยี่ยเม่ยก็จะกลายเป็นปัญหาในใจของพระองค์คนที่สอง
ในยามนี้เอง
ขุนนางผู้หนึ่งเดินเข้าท้องพระโรง เอ่ยปากรายงานว่า “ฝ่าบาท แม่ทัพซือถูและท่านหญิงขอเข้าเฝ้า ทั้งยังมีกั๋วจั้ง[1]และท่านเสนาบดีก็มาแล้ว บอกว่าต้องการให้พระองค์ช่วยมอบความเป็นธรรม ลงโทษองค์ชายสี่กับสตรีที่เรียกว่า…เรียก…เรียกว่าเยี่ยเม่ยผู้นั้นสถานหนัก”
……
ชายแดนเป่ยเฉิน
คนทั้งสองนั้นกำลังประมือกันบนหอสังเกตการณ์
ทหารทั้งหลายมองป่าไม้รอบๆ ที่แต่เดิมอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ มองต้นไม้ในระยะหลายร้อยเมตรล้มระนาว
บนพื้นยังมีร่องรอยไหม้สีดำ นั่นเกิดจากเปลวเพลิงที่เกิดจากกำลังภายในเผาไหม้
พวกเขาได้พบเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาตลอดชั่วชีวิต การต่อสู้ด้วยกำลังภายในราวกับสงครามระหว่างเทพ ทว่าจิตใจในยามนี้รู้สึกคล้ายอยู่ในฝัน
มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ หลายครั้งหลายคราที่พวกเขาคิดว่าเตี้ยนเซี่ยจะตายหรือไม่ อีกเดี๋ยวก็กังวลว่าเสี่ยวจิ่วจะถูกกำจัด
ส่วนคนทั้งสองนั้น ต่อยตีกันถึงยามนี้ ในที่สุดก็ดำเนินมาถึงฉากจบ
คนทั้งสองประสานสายตา ไม่ช้าคมกระบี่วาบวูบ ไอสังหารปรากฏ กระบวนท่าไม้ตายปรากฏขึ้น
[1] พ่อตาฮ่องเต้