เล่ห์รักกลกาล - ตอนที่ 101
ทุกคนต่างสูดลมหายใจลึกแทนจิ่วหุน
ต่างกลัวว่าชีวิตของจิ่วหุนจะถึงกาลอวสานแล้ว
ส่วนจิ่วหุนเห็นเปลวเพลิงกระจายอยู่บนพื้น แววตาเย็นเยือก ถอยร่นไป
ในเวลาเพียงชั่ววูบ ก็อยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตรแล้ว
เปลวเพลิงเผาไหม้ไล่ตามไป ยังไม่เผาชายเสื้อของเขา ก็มอดไหม้สลายไปในอากาศก่อน
เช่นเดียวกับเงาร่างที่จิ่วหุนสร้างออกมา ก็ถูกเผาทิ้งจนไม่เหลือ ไม่อาจทำร้ายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้เลยสักน้อย แม้กระทั่งเข้าใกล้ก็ยังทำไม่ได้
ทั้งสองประจันหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง
กลิ่นไหม้ในอากาศรุนแรง เผาเงาร่างไปหลายสายแล้ว
คนจำนวนไม่น้อยในสถานที่นี้ มองเห็นภาพต่างก็ตัวสั่นเทิ้ม พวกเขาล้วนคิดว่าหากตัวเองยังชมการต่อสู้ของคนทั้งสองต่อไป ชีวิตของตัวเองพาลจะเป็นอัตรายไปด้วย
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองจิ่วหุน ใบหน้าเผยความชื่นชม น้ำเสียงไพเราะวิจารณ์ว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีความสามารถสูงส่งเกินอายุ”
จิ่วหุนพลันเกิดโทสะ
เจ้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้นี้ แม้กระทั้งยามชม ยังไม่ลืมเหยียบย่ำจุดอ่อนของผู้อื่น
เตือนจิ่วหุนว่าเยี่ยเม่ยเห็นเขาเป็นเด็กคนหนึ่งมาโดยตลอด เป็นแค่น้องชายเท่านั้น
จิ่วหุนคร้านจะพร่ำวาจาเหลวไหลกับเขา จากนั้นก็ออกกระบวนท่าอีกครั้ง พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
…
ในวังหลวง
ฮ่องเต้แห่งเป่ยเฉินประทับบนบัลลังก์มังกร ทอดพระเนตรรายงานลับในมือพระพักตร์เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ
หัวหน้าขันทีข้างกาย ลอบมองด้วยความระวัง ถามเอ่ยด้วยความสงสัย “ฝ่าบาท เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วเหรอพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงเงียบไปครู่หนึ่ง ปรายพระเนตรมองหัวหน้าขันที เอ่ยถามว่า “ซือถูเฟิงกลับมาหรือยัง”
หัวหน้าขันทีชะงักเล็กน้อย
รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาท แม่ทัพซือถูกลับมาถึงแล้ว เมื่อคืนแบกร่างท่านหญิงน้อยกลับจวนกั๋วจั้ง เออ…ยังมีอีกเรื่องแม่ทัพหลี่ที่ชายแดนก็มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองหัวหน้าขันที มุ่นพระขนง สีพระพักตร์ฉงนและไม่ยินดี “แม่ทัพหลี่?”
“พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีพยักหน้า รีบเอ่ยต่อทันที “เขากำลังขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท ได้ฟังว่าเขาได้รับคำสั่งให้ไล่สังหารแม่ทัพซือถูมาตลอดทาง ครั้งนี้ที่เดินทางมาเกรงว่าคงจะมีเรื่องกราบทูล”
ฮ่องเต้ทรงนิ่งขรึมลง มองหัวหน้าขันที นวดพระขนงที่ปวดหนึบ ตรัสว่า “ให้เขาเข้ามา ”
“พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าขันทีออกไปถ่ายทอดราชโองการทันที
ไม่ช้าแม่ทัพหลี่หน้าตามอมแมมเปื้อนดิน ท่าทางแตกตื่น สีหน้าไม่รู้จะทำอย่างไรดีเดินเข้ามา
หลังจากเข้ามาถึง เขาตะกายจนมาถึงเบื้องหน้าบัลลังก์
“ตุบ” เสียงคุกเข่าดังขึ้น เสียงดังเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงช่วยกระหม่อมด้วย”
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองเขาอย่างเย็นชา
โยนรายงานลับไว้บนโต๊ะ จ้องมองแม่ทัพหลี่ พระสุรเสียงเย็นเยียบ ทรงอำนาจเฉกเช่นองค์ราชา ตรัส “เจ้าว่ามา ให้ช่วยชีวิต ช่วยชีวิตใคร”
จากน้ำเสียงของฮ่องเต้ แม่ทัพหลี่คาดเดาได้แล้วว่าในยามนี้ฮ่องเต้อยู่ในอารมณ์ไม่ดี
แต่เขาก็ไม่อาจสนใจมากความอีก แม่ทัพหลี่ตัวสั่น
เอ่ยปากอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาท เรื่องเป็นเช่นนี้ องค์ชายสี่มีบัญชาให้กระหม่อมสังหารท่านหญิง แต่แม่ทัพซือถูพาท่านหญิงหนี กระหม่อมก็ไร้หนทาง เพียงแต่ไล่ตามสังหารมาตลอดจนถึงเมืองหลวง…พระองค์ก็ทรงทราบ หากมิมีเหตุผลอันใด กระหม่อมจะกล้าสังหารท่านหญิงได้อย่างไร ฐานะของท่านหญิงสูงส่งกว่ากระหม่อม ดังนั้นกระหม่อมระมัดระวังไม่กล้าเข้าใกล้จนเกินไปนัก เพื่อให้แม่ทัพซือถูพาท่านหญิงหนีกลับมา…”
เมื่อเล่าถึงตรงนี้ แม่ทัพหลี่ก้มลงโขกหัวอย่างแรง “แต่ฝ่าบาท พวกเขาหนีกลับมาแล้ว กระหม่อมก็จบสิ้นแล้ว เมื่อกระหม่อมกลับไปชายแดน มีโทษฐานทำภารกิจไม่สำเร็จ องค์ชายสี่ต้องมิปล่อยกระหม่อมแน่”
แม่ทัพหลี่เอ่ยไปก็ร่ำไห้ออกมา
สีพระพักตร์ฮ่องเต้คล้ำลง
ไม่ช้าสายพระเนตรของฮ่องเต้ก็ตกอยู่ที่กระบี่พระราชทานที่เอวแม่ทัพหลี่ แววพระเนตรเย็นเยียบ จ้องกระบี่เล่มนั้น ตรัสถามว่า “นั่นคืออะไร”
คำถามนี้กลับเตือนแม่ทัพหลี่ขึ้นมา
เขาไม่เอ่ยมากความ ปลดกระบี่พระราชทานซ่างฟางออก เทินขึ้นเหนือศรีษะ จากนั้นโขกหัวให้ฮ่องเต้อีกครั้ง
ใบหน้าเศร้าโศก “ฝ่าบาท นี่คือกระบี่ที่ท่านผู้ตรวจการทหารนำไปยังชายแดน แต่องค์ชายสี่มอบกระบี่เล่มนี้ให้กระหม่อมต่อหน้าทุกคน สั่งให้กระหม่อมสังหารท่านหญิงให้ได้ กระหม่อม กระหม่อมไร้กำลังไม่อาจขัดขืน”
คราวนี้พระพักตร์ของฮ่องเต้ยิ่งไม่น่ามองเข้าไปอีก
พระองค์กำหมัดแน่น ทุบลงบนโตะ คล้ายกับกัดฟันตรัสว่า “ความหมายของเจ้าคือ ผู้ตรวจการทหารที่ข้าส่งไป ก็ถูกเขากลั่นแกล้งเช่นนี้ แม้กระทั่งกระบี่พระราชทานที่ข้าประทานไป สามารถตัดหัวได้ก่อนค่อยรายงานยังถูกเขาเอามามอบให้เจ้าด้วย”
“เป็น…เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหลี่เอ่ยตัวความตัวสั่น
ในใจรู้ว่าฮ่องเต้ไม่ยินดีฟังคำเหล่านี้
แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นอีก ความจริงคือยิ่งฝ่าบาทไม่พอพระทัยในตัวองค์ชายสี่ ตัวเขาถึงยิ่งมีโอกาสรักษาชีวิต
เป็นดั่งคาด เมื่อฮ่องเต้ฟังคำนี้ก็บันดาลโทสะเกินเปรียบ ลุกขึ้นทุบหมัดลงบนโต๊ะอย่างแรง กัดฟันตรัสว่า “เจ้าลูกทรพี”
สิ่งที่ตามเสียงมาคือ ฮ่องเต้คล้ายจะหายใจไม่ออก ตัวสั่นทั่วทั้งร่าง ไอออกมาอย่างรุนแรง
…
หัวหน้าขันทีรีบยื่นมือออกมา ช่วยประคอง “ฝ่าบาท ทรงสงบพระทัยก่อนพ่ะย่ะค่ะ อย่าได้เกิดโทสะ ถนอมพระวรกายด้วย”
เฮ้อ ไม่รู้ว่าองค์ชายสี่ผู้นี้เกิดมาเพื่อกำราบฝ่าบาทหรือไร หากเป็นเช่นนี้อีกหลายครั้ง เขาสงสัยว่าฝ่าบาทจะถูกองค์ชายสี่ทำให้โมโหตาย
ฮ่องเต้สูดลมหายใจลึกหลายครั้ง ทุบหมัดลงโต๊ะโดยแรงหลายครั้ง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยปาก “เจ้าสารเลว เจ้าสารเลวนี่ ไร้กฎไร้ระเบียบเกินไปแล้ว”
“ฝ่าบาท” หัวหน้าขันทีรีบเกลี้ยกล่อม
ผ่านไปครู่ใหญ่ ฮ่องเต้ถึงสงบลง
คนทั้งร่างคล้ายหมดอาลัย พระองค์นั่งลงบนบัลลังก์ สีหน้าขมขื่น จ้องแม่ทัพหลี่ ไม่ตรัสอีก
คราวนี้แม่ทัพรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ ไม่รู้ฝ่าบาททรงคิดอะไร ไม่รู้ว่าวันนี้ชีวิตน้อยๆ ของตนจะรักษาได้หรือไม่
ผ่านไปสักพัก
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองแม่ทัพหลี่ ถามว่า “ยามนี้การณ์ศึกกับต้ามั่วเป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ แม่ทัพหลี่ยิ่งตัวสั่นเหมือนซึ้งที่กำลังเดือดพล่าน
เขาไม่กล้าเงยหน้ามองฮ่องเต้สักน้อย ก้มศีรษะของตนให้ต่ำที่สุด เอ่ยปากตอบว่า “ทูลฝ่าบาท องค์ชายสี่เขา มอบตราพยัคฆ์ให้สตรีนางหนึ่ง ทั้งยังเอ่ยว่า เขาชอบสตรีนางนั้นมาก ยกเรื่องศึกทั้งหมดให้กับนาง ซ้ำยังบอกว่า…”
เมื่อฮ่องฟังถึงตรงนี้ ก็รู้สึกว่าโมโหจนแทบกระอักเลือดแล้ว
พระองค์กัดฟันแน่ “ยังพูดอะไรอีก”
“ยังบอกว่า…” แม่ทัพหลี่สะอื้น “ยังบอกว่าพระองค์มอบตราพยัคฆ์ให้องค์ชายสี่ ก็เพราะทรงเชื่อมั่นในตัวองค์ชายสี่ องค์ชายสี่มอบตราพยัคฆ์ให้สตรีนางนั้น ก็เพราะเชื่อมั่นในตัวนาง ดังนั้นก็แสดงว่าพระองค์ก็ทรงเชื่อมั่นในตัวสตรีนางนั้นด้วย บอกว่าทุกอย่างล้วนเป็นพระประสงค์ของพระองค์”