บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 428 เกียรติ
ดูจากท่าทีของฮองเฮาแล้ว ถาวจวินหลันรู้สึกว่าหากวันนี้ฮองเฮาหาเรื่องนางไม่ได้ก็คงไม่ยอมหยุด แต่ว่าในเมื่อนางเอ่ยปากเช่นนี้แล้ว นางก็ต้องเตรียมตัวเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว พอเจอคำถามแกมบังคับของฮองเฮา นางก็ได้แต่หัวเราะเฝื่อนๆ แล้วพูดว่า “เป็นเพราะได้ยินเรื่องข่าวลือบางเรื่องจึงทำเช่นนี้เพคะ”
“ข่าวลือเรื่องอะไรรึ?” ฮองเฮาถามต่อ ตอนนี้ใบหน้าของพระชายาองค์รัชทายาทก็เริ่มเป็นห่วง แล้วมองมา ท่าทางดูสนใจเรื่องนี้มาก
“ได้ยินว่าเหอเป่ยเกิดกาฬโรคระบาดขึ้น อีกทั้งประชาชนที่อพยพมา มีจำนวนมากที่ติดกาฬโรคและล้มตายระหว่างทางเพคะ” ถาวจวินหลันมองไปทางฮองเฮา แล้วพูดอย่างไม่สบายใจ “ข้าเองก็กลัว ถึงอย่างไรลูกก็ยังเล็ก หากว่าเกิดอะไรขึ้นจะทนไหวได้อย่างไรเพคะ?”
นางเพิ่งพูดจบ ฮองเฮาก็ตำหนิทันที “ไร้สาระ! เจ้าเป็นถึงพระชายารองตวนชินอ๋อง กลับเชื่อเรื่องข่าวลือเช่นนี้! ช่างโง่เขลาจริงๆ !”
ถาวจวินหลันรีบคุกเข่าลง แล้วพูดต่อว่า “หม่อมฉันวางใจเรื่องลูกๆ ไม่ได้เพคะ…สำหรับคนเป็นแม่แล้ว จะกล้าเอาลูกมาเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร? พระชายาองค์รัชทายาท ท่านว่าจริงหรือไม่เพคะ?”
พระชายาองค์รัชทายาทถูกนางถามเช่นนี้ ก็ได้แต่พยักหน้า ฝืนยิ้มแล้วพูดกับฮองเฮาว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพคะ ข้าเห็นว่าพระชายารองถาวทำไปก็ด้วยเป็นห่วงลูก มิใช่เรื่องอื่นเพคะ”
“ไร้สาระ!” ฮองเฮากลับตำหนิพระชายาองค์รัชทายาทไปด้วย “นางทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้เจ้าเองก็ต้องไร้สาระตามนางรึ? ข้าจะบอกเจ้าไว้ว่า พวกเจ้าทำเช่นนี้ หากคนอื่นรู้เข้าจะคิดเช่นไร? เช่นนั้นไม่ทำให้คนหวาดกลัวกันไปหมดรึ? เมื่อวานฮ่องเต้ยังทรงเอ่ยปากชมเชยเจ้า วันนี้เจ้ากลับทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้! เจ้าพูดสิว่า เจ้าคู่ควรกับคำชมเชยแล้วหรือไม่?”
ถาวจวินหลันไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ลุกขึ้นและคุกเข่าลง เพียงแต่นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่า…นี่ก็เป็นเพียงเพราะฮองเฮาหาข้ออ้างมาเล่นงานนางเท่านั้น ถึงอย่างไร นางส่งซวนเอ๋อร์กับหมิงจูออกจากจวนอ๋องไป จะมีคนรู้เรื่องนี้สักกี่คนกัน?
แต่ว่า ถึงแม้จะพูดว่าเรื่องนี้นางไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดไว้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฮองเฮารู้เรื่องทุกอย่างรวดเร็วและละเอียดมากไปหน่อย เห็นได้ชัดว่าฮองเฮาให้ความสนใจเรื่องราวต่างๆ ในจวนตวนชินอ๋องไม่น้อย
นอกจากนั้น ถาวจวินหลันยังรู้สึกกังวลใจอยู่เล็กน้อย ฮองเฮารู้เรื่องทุกอย่างละเอียดเช่นนี้ หรือว่าวางแผนว่าจะทำอะไรกันแน่?
นางกลัวว่าฮองเฮาจะทำอะไรซวนเอ๋อร์ เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว นางก็ตกใจอย่างมาก
ถาวจวินหลันลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็ยอมรับความผิดด้วยเสียงแผ่วเบา “เป็นเพราะหม่อมฉันคิดไม่รอบคอบเองเพคะ เป็นความผิดของหม่อมฉันเอง” นางพูดพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดที่หางตา ฉับพลันน้ำขิงที่นางทาบนผ้าเช็ดหน้าก็ทำให้แสบตาจนน้ำตาไหลทันที
พูดไปแล้ว ที่นางเตรียมทุกอย่างเอาไว้เช่นนี้ก็ด้วยคิดว่าอาจจะได้ใช้ ถึงอย่างไร นางก็รู้ดีว่าฮองเฮาเห็นนางแล้วจะต้องไม่พอใจแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจถูกตำหนิได้ อีกทั้งตอนนี้เรื่องระหว่างองค์รัชทายาทกับหลี่เย่ ก็ทำให้ฮองเฮาไม่พอใจจริงๆ หากฮองเฮาคิดจะเอาคืนจากนางก็เป็นเรื่องง่ายดายที่สุด
ถึงอย่างไร ฮองเฮาก็เป็นมารดาของแผ่นดิน อีกทั้งยังเป็นแม่ใหญ่ของหลี่เย่ ฮองเฮาจะหาเรื่องนาง นั่นก็เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ
ฮองเฮาคล้ายคิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะทำเช่นนี้ จึงได้ชะงักค้างไปพักหนึ่ง แล้วก็พูดเรียบๆ ว่า “ก็แค่ตำหนิเจ้าสองสามคำเท่านั้น เจ้าก็ร้องไห้ออกมาแล้ว ใครมาเห็นเข้า จะดูเหมือนข้ารังแกเจ้า เอาล่ะ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าก็แค่เตือนเจ้าสักหน่อยเท่านั้น”
แล้วเรื่องนี้ก็ผ่านไป
พระชายารัชทายาทก้าวเข้ามาช่วยเช็ดน้ำตาให้ถาวจวินหลัน “เจ้าเองก็จริงๆ เลย อยู่ๆ ทำไมถึงร้องไห้ออกมาได้ เสด็จแม่ก็แค่ดุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นี่ก็ด้วยหวังดีกับเจ้า หากเป็นคนอื่น คงไม่มีทางใส่ใจเช่นนี้ เจ้าว่าจริงหรือไม่?”
ถาวจวินหลันได้แต่รับคำอย่างจริงใจ “เพคะ” แล้วขอบพระทัยฮองเฮา
จากนั้นก็คุยกันต่ออีกสักพัก โดยเป็นเรื่องที่ไม่มีสาระสำคัญอะไรมากมาย พอเห็นว่าเวลาล่วงเลยมาไม่น้อยแล้ว ถาวจวินหลันก็เอ่ยขึ้นว่ายังจะต้องไปถวายพระพรไทเฮา จึงลุกขึ้นและทูลลา
พอออกมาจากวังของฮองเฮาแล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าเหงื่อออกชุ่มไปทั้งตัว ทั้งร้อนและเหนียว อีกทั้งพอถูกแดด ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่ไม่ว่าจะรู้สึกไม่สบายอย่างไรก็ยังต้องไปถวายพระพรไทเฮาก่อน
พูดตามตรง นางไม่อยากไปถวายพระพรไทเฮานัก…เพราะคำพูดครั้งก่อนทำให้นางหวาดกลัวขึ้นมา หากครั้งนี้ไทเฮาพูดเช่นนั้นอีกครั้ง เกรงว่านางคงจะทนไม่ไหวจริงๆ
ยังดีที่ครั้งนี้ไทเฮาไม่เป็นเช่นนั้น หลังจากถวายพระพรแล้วไทเฮาก็ให้นั่งลง ก่อนมองดูท่าทีของถาวจวินหลัน ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ทำไมสีหน้าของเจ้าถึงดูไม่ดีเช่นนี้?” สักพักก็สังเกตเห็นดวงตาของถาวจวินหลันแดงระเรื่อ จึงขมวดคิ้วแน่นขึ้นอีก “ทำไมถึงร้องไห้รึ?”
ถาวจวินหลันเพิ่งกลับมาจากเข้าเฝ้าฮองเฮา ข้อนี้แน่นอนว่าไทเฮารู้ดี จึงได้ให้ความสนใจ
ถาวจวินหลันฝืนยิ้มออกมา แล้วเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ให้ไทเฮาฟัง สุดท้ายยังพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเพคะ ก็แค่ถูกตำหนิไม่กี่คำเท่านั้น ไม่เป็นไรเพคะ”
ไทเฮาหัวเราะอย่างเยือกเย็น “นางไม่พอใจ จึงจงใจหาเรื่องเจ้าน่ะสิ”
นางที่ว่านั้น แน่นอนว่าหมายถึงฮองเฮา
ถาวจวินหลันไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา เรื่องนี้ไทเฮาพูดได้ แต่ถึงแม้นางจะรู้ดีอยู่แก่ใจก็พูดอะไรไม่ได้
“เรื่องนี้ข้าจะเป็นธุระให้เจ้าเอง” อยู่ๆ ไทเฮาก็เอ่ยออกมาเช่นนี้
ถาวจวินหลันใจหายวาบ รู้ดีแก่ใจว่าไทเฮาจะต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่แน่นอน นางไม่เพียงแต่ขมวดคิ้วเบาๆ อีกทั้งยังส่ายหัวโดยไม่รู้ตัว “ตอนนี้มีเรื่องวุ่นวายมากนัก ยิ่งมีเรื่องน้อยลงเท่าไรก็ยิ่งดีเพคะ อีกทั้งนี่ไม่ใช่เรื่องคุ้มค่า ไม่ควรทำเช่นนี้จริงๆ เพคะ”
ไทเฮากริ้วและจ้องถาวจวินลันเขม็ง “เป็นคนต้องถือเกียรติของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ไม่เข้าใจรึ?”
ถาวจวินหลันได้แต่นิ่งเงียบ พูดจริงๆ แล้ว หากไทเฮาต้องการทำอะไรจริงๆ นางก็ห้ามไม่ได้
“เรื่องนี้เจ้าทำถูกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรจะเอาลูกมาเสี่ยงอันตรายไม่ได้ ให้ไปหลบจะดีกว่า” ไทเฮาพยักหน้า แล้วเอ่ยปากชม “แต่ว่าทำไมมีแค่ซวนเอ๋อร์ หมิงจู และกั่วเจี่ยเอ๋อร์เล่า? ทำไมเซิ่นเอ๋อร์ถึงไม่ไปด้วยรึ?”
ถาวจวินหลันไม่ปิดบัง ได้แต่พูดความจริงออกไป สุดท้ายแล้วยังพูดอีกว่า “ชายารองเจียงไม่อยากอยู่ห่างจากท่านอ๋องเพคะ”
ไทเฮาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยตำหนิ “โง่เขลา!” เพียงแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
อยู่ที่วังของไทเฮาสักพัก ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าเหงื่อชุ่มจนเปียกไปทั้งตัว…อากาศร้อนเป็นเหตุผลหนึ่ง ส่วนเรื่องปวดหัวก็เป็นอีกข้อหนึ่ง เมื่อทั้งสองอย่างรวมเข้าด้วยกัน บวกกับเสื้อผ้าที่สวมใส่แล้วก็ชวนให้ร้อนอบอ้าว และเครื่องประดับหนักๆ ยิ่งทำให้นางรู้สึกไม่สบายมากขึ้น
กว่าจะออกจากวังหลวงมาขึ้นรถม้าได้ นางรู้สึกว่าในรถม้ามีลมเย็นๆ ทำให้นางรู้สึกสบายขึ้นมาไม่น้อย…ในรถม้ามีอากาศเย็นสบาย ก็ด้วยมีถังใส่น้ำแข็งเอาไว้ ดังนั้น ถึงแม้ว่าข้างนอกจะร้อนมากเพียงใด แต่ในรถม้าก็ยังคงเย็นสบาย
หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว ถาวจวินหลันก็สั่งหงหลัว “รีบถอดปิ่นปักผมและเครื่องประดับต่างๆ ออกโดยเร็ว หนักเสียจนข้าปวดหัวไปหมด เสื้อคลุม ก็ถอดออกไปด้วยเลย”
หงหลัวเห็นสีหน้าของถาวจวินหลันแล้ว ก็กังวลอย่างมาก จึงรีบถอดปิ่นปักผมและเสื้อคลุมออก แล้วถามว่า “ชายารองรู้สึกสบายขึ้นหรือไม่เจ้าคะ?”
“ยังปวดหัวอยู่ เจ้าช่วยนวดให้ข้าหน่อย” ถาวจวินหลันพิงตัวไปกับหมอนอิงด้วยรู้สึกไร้เรี่ยวแรง
“หรือว่าจะเป็นไข้แดดเจ้าคะ?” หงหลัวร้อนใจ คิดแล้วก็หยิบผ้าขนหนูออกมาชุบลงไปในถังน้ำแข็ง จากนั้นก็บิด แล้วค่อยๆ วางลงบนหน้าผากของถาวจวินหลันอย่างระมัดระวัง
ผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นเฉียบจนน่าตกใจ แต่ถาวจวินหลันกลับรู้สึกสบาย
แต่หงหลัวไม่กล้าเปลี่ยนผ้าชุบนำเย็นนั้นให้อีก…ด้วยน้ำเย็นเกินไป หากเอามาวางไว้เช่นนี้ร่างกายจะรับไม่ไหว ตอนนี้อาจรู้สึกสบาย แต่หากร่างกายได้รับความเย็นมากเกินไป จะยิ่งทำให้รู้สึกไม่สบายมากขึ้น
กว่าจะเดินทางกลับมาถึงจวนอ๋องอย่างยากลำบาก ถาวจวินหลันก็ไม่มีเวลาสนใจเรื่องอะไร หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไปอาบน้ำ รู้สึกว่าตัวเองง่วงซึมไร้เรี่ยวแรง จึงนอนลงบนเตียง คิดว่างีบสักพักก็คงจะดีขึ้น
ใครจะรู้ว่าพอนอนลงไปแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมากลับตัวร้อนไปทั้งตัว ปวดหัวจนแทบระเบิด
ถาวจวินหลันถูกหงหลัวปลุกให้ตื่น…หลังจากสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าในห้องมีคนอยู่ไม่น้อย นอกจากบรรดาสาวใช้แล้ว ก็ยังมีหมอและหลี่เย่
พอเห็นหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็ตกใจ หลังจากรู้สึกตัวแล้วนางก็คิดต่อว่า หลี่เย่กลับมาได้อย่างไร? ช่วงนี้เขายุ่งมากมิใช่หรือ
หมอกำลังตรวจชีพจรอยู่ ถาวจวินหลันจึงไม่ได้ถามในทันที รอจนกระทั่งหมอตรวจเสร็จแล้ว นางถึงได้เอ่ยปากถามว่า “ท่านอ๋องกลับมาได้อย่างไรเพคะ?”
สีหน้าของหลี่เย่ไม่ดีนัก ถึงแม้ว่ารอยยิ้มยังดูอบอุ่น แต่ก็ดูฝืนๆ เขาพูดเสียงเบาว่า “ตอนนี้เป็นเวลาหัวค่ำแล้ว”
ตอนที่ถาวจวินหลันกลับมาจากวังหลวงนั้น ยังไม่ถึงเที่ยง นางนอนหลับไปนานถึงเพียงนี้เลยหรือ
พอได้ยินแล้วถาวจวินหลันก็ตกใจไปครู่หนึ่ง “ข้านอนไปนานขนาดนั่นเชียวรึ?”
หงหลัวยกน้ำมา แล้วประคองให้นางดื่ม จากนั้นก็พูดว่า “ชายารองยังมีไข้เจ้าค่ะ อย่าพูดให้เหนื่อยเลย อีกประเดี๋ยวทานข้าวต้มสักหน่อย จะได้ทานยานอนต่อเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันมึนหัว และอ่อนเพลียไปหมด หลังจากดื่มน้ำเข้าไปแล้วก็หลับตาลง รู้สึกเพลียจนอยากหลับไปอีก
หมอให้ยาแล้ว ก็ยังกำชับอีกว่า “ช่วงนี้อย่าให้ใช้น้ำเย็นอีก ให้ดื่มน้ำเยอะๆ และทานยาให้ตรงเวลา อีกทั้งอย่าให้เหนื่อยหรือกังวลใจมากนัก”
หลี่เย่ส่งหมอกลับไปด้วยตัวเอง รอจนกระทั่งกลับมาแล้วสีหน้าก็นิ่งขรึมไป
บรรดาสาวใช้ไม่เคยเห็นหลี่เย่เป็นเช่นนี้ จึงหวาดกลัวจนไม่กล้าปริปากไปตามๆ กัน
หลี่เย่มองไปทางหงหลัว แล้วพูดเสียงเย็นว่า “ลงโทษตัดเบี้ยหวัดสามเดือน และให้ไปคุกเข่าข้างนอกครึ่งชั่วยาม ส่วนคนอื่นให้ตัดเบี้ยหวัดหนึ่งเดือน และออกไปคุกเข่าข้างนอกครึ่งชั่วยาม”
หงหลัวไม่กล้าอธิบายอะไร รีบก้มหน้าแล้วรับคำ แต่กลับพูดขึ้นว่า “ขอท่านอ๋องทรงอนุญาตให้บ่าวถวายการดูแลพระชายารองทานยาก่อนเถิดเพคะ”
ถาวจวินหลันได้ยินชัดเจน จึงรีบลืมตาขึ้นแล้วพูดว่า “ทำเช่นนี้เพื่ออะไรรึ?”
หลี่เย่ไม่พูดอะไร เดินมานั่งลงข้างเตียงเงียบๆ
หงหลัวพูดขึ้นว่า “เป็นเพราะบ่าวถวายการดูแลไม่ดี ชายารองไม่สบายแล้วบ่าวยังไม่รู้ อีกทั้งยังให้ชายารองใช้น้ำเย็น อาการจึงหนักขึ้น บ่าวสมควรถูกลงโทษแล้วเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันมองหลี่เย่ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ตัดเงินเบี้ยหวัดก็พอ เรื่องคุกเข่าก็ช่างเถิด นางเป็นนางกำนัลใหญ่ของเรือนเฉินเซียง จะไม่ไว้หน้านางเช่นนี้ไม่ได้”
“ไม่ต้องขอร้อง” หลี่เย่พูดอย่างเด็ดขาด หลังจากนั้นก็ถอนใจ “ห้ามเจ้ากังวลใจเรื่องพวกนี้ พักผ่อนให้ดีๆ อีกเดี๋ยวกินข้าวกินยาแล้วค่อยนอน”