บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 614 ยากอภัย
แม้ว่าหลี่เย่ก้มหัว แต่ก็ยังใช้หางตาเหลือบมองฮ่องเต้แวบหนึ่ง เห็นท่าทีตื่นเต้นของฮ่องเต้ทั้งหมด ย่อมต้องเข้าใจความคิดของฮ่องเต้ ในตอนนั้นเขาก็รู้ว่าควรจะตอบฮ่องเต้อย่างไร “จากที่ลูกดูแล้ว หากพูดถึงส่วนรวม เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่อาจเงียบไปได้พ่ะย่ะค่ะ เพื่อแย่งชิงอำนาจ พวกเขากล้าทำเรื่องเช่นนี้ต่อองค์ชาย ต่อจากนี้ไปอาจจะเหิมเกริมยิ่งขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากฮ่องเต้ได้ยินแล้ว ใบหน้าก็หลุดแสดงท่าทีคล้ายกำลังคิดอะไรเล็กน้อย
หลี่เย่กลับพูดต่อไป “จากมุมมองส่วนตัว ตระกูลหวังก็ยังนับเป็นครอบครัวของฮองเฮาเหนียงเหนียง หากหักหน้าพวกเขาเกินไป คนอื่นก็จะพาลคิดว่าพวกเราตระกูลหลี่ไร้เยื่อ อีกทั้งหลายปีมานี้ตระกูลหวังเองก็สร้างผลงานให้กับราชสำนักไม่น้อย ไม่มีผลงานดีก็มีหยาดเหงื่อพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นลูกจึงไม่รู้จริงๆ ว่าควรต้องทำเช่นไร ขอเสด็จพ่อโปรดชี้แนะลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเป็นเช่นนี้ปัญหายาหนี้ก็ถูกหลี่เย่โยนกลับไปให้ฮ่องเต้อีกครั้ง
ฮ่องเต้มองหลี่เย่นิ่ง ไม่อาจทำให้หลี่เย่ลำบากใจได้อีก สุดท้ายแล้วก็ส่งเสียงฮึดฮัดออกมา “เป็นถึงองค์รัชทายาท แม้แต่การตัดสินเช่นนี้ก็ทำไม่ได้ ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง!”
หลี่เย่ก้มหน้า ไม่ได้รู้สึกอับยศหรือหงุดหงิดเพียงเพราะคำพูดนี้เลย เขาเข้าใจดีว่าฮ่องเต้ไม่พอใจ เพราะตัวฮ่องเต้ไม่ได้คิดอยากจะแต่งตั้งองค์รัชทายาท แต่เพราะไทเฮากับฮองเฮาบีบบังคับ จนสุดท้ายฮ่องเต้ต้องยอมแต่งตั้งองค์รัชทายาท ดังนั้นฮ่องเต้จึงมีไฟแค้นสุมอยู่เต็มอก
และเขาที่เป็นองค์รัชทายาท กลับเป็นที่ระบายอารมณ์ชั้นดี ดังนั้นเขาจะต้องเตรียมพร้อมอยู่นานแล้ว แน่นอนว่าการเตรียมพร้อมของเขาไม่ใช่การรองรับอารมณ์ บางครั้งก็สามารถโจมตีกลับไปได้ อย่างเช่นตอนนี้
กู้ซีช่วยบีบขาให้ไทเฮาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้พูดเสียงอ่อนโยนว่า “ระยะนี้ไปปรนนิบัติฮ่องเต้อยู่บ่อยครั้ง จึงไม่ค่อยได้มาทางนี้ ไทเฮาอย่าทรงหงุดหงิดหม่อมฉันเลยเพคะ”
เสียงอ่อนโยนนั้นแฝงไว้ด้วยความออดอ้อนและหยอกล้อ ทำให้ไทเฮายกยิ้มขึ้นมา “ฮ่องเต้โปรดปรานเจ้าถือเป็นเรื่องดี ข้าจะโทษเจ้าได้อย่างไร? ที่จริงแล้วข้าเองก็อยากบอกเจ้าว่าหากไม่ว่างก็ไม่ต้องมา ตอนนี้ร่างกายของข้าไม่ค่อยดี ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง มีคนมากมายมามุงล้อม อีกทั้งยังหงุดหงิดง่าย”
กู้ซีชะงักมือ จากนั้นก็เพียงรับคำ พูดมาจนถึงขั้นนี้แล้วพูดอย่างอื่นไปก็ไม่เหมาะสม นางมาที่นี่มีจุดประสงค์ แต่ก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร “ก่อนหน้านี้ไทเฮาไม่ค่อยชอบพี่ถาวมิใช่หรือเพคะ? ทำไมครั้งนี้ถึงได้รับปากให้นางเป็นพระชายาองค์รัชทายาทง่ายดายนักเล่าเพคะ?”
ไทเฮามองไปยังกู้ซี ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ข้าไม่มีทางเลือก องค์รัชทายาทเพิ่งสิ้น ไม่เหมาะเลือกคนใหม่อย่างเอิกเกริกใหญ่โต อีกทั้งนางก็ยังให้กำเนิดและเลี้ยงดูเด็ก คงไม่อาจละเลยนางได้ อีกอย่างชื่อเสียงของนางก็ดี ตระกูลถาวก็ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาแล้ว เลือกนางก็ไม่ได้ถือว่าแย่นัก”
พอพูดจบไทเฮาก็มองกู้ซีอีกทีหนึ่ง “ก่อนหน้านี้เจ้าก็ชอบนางมิใช่อย่างนั้นหรือ? ทำไมวันนี้ถึงดูเหมือนเจ้าไม่ค่อยชอบนางนัก”
กู้ซีอึ้งไป จากนั้นก็หลุบตาลงพลางพูดว่า “ก็ไม่ได้รังเกียจเพคะ เพียงคิดว่าฐานะของพี่ถาวต่ำไปเล็กน้อย เกรงว่าคนอื่นอาจไม่ไว้หน้าเพคะ”
“ก็ไม่ได้มีอะไร สตรีข้างกายองค์รัชทายาทไม่ได้มีคนไหนที่มีฐานะดีไปกว่านางแล้ว” ไทเฮาหัวเราะน้อยๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “เจ้าเล่า ฮ่องเต้ได้พูดเรื่องเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าหรือไม่?”
กู้ซีส่ายหน้า “ฮ่องเต้ยังกังวลเรื่องในแคว้น ไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องเหล่านี้หรอกเพคะ หม่อมฉันเองก็ไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปรบกวนฮ่องเต้”
ไทเอาตบมือกู้ซีเบาๆ อย่างชื่นชม “ทำได้ดี เป็นผู้หญิง รู้จักกฎเกณฑ์มารยาท มองภาพรวมถึงจะสำคัญที่สุด เจ้าดูพระชายาองค์รัชทายาท ไมใช่เพราะว่าเข้าใจเรื่องนี้ถึงได้รับความสำคัญจากองค์รัชทายาทหรืออย่างไร? เจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวล ไม่ว่าตอนไหนก็ไม่มีใครทอดทิ้งเจ้าเป็นแน่ ยังมีข้ากับองค์รัชทายาทอยู่ทั้งคน”
กู้ซีก้มหน้ายิ้มอย่างเขินอาย “เพคะไทเฮา” ครู่หนึ่งก็พูดอย่างสลดว่า “หากหม่อมฉันมีลูกสักคนก็คงดีเพคะ เวลาแต่ละวันจะได้ผ่านไปเร็วขึ้น ตอนนี้เวลาที่ฮ่องเต้ไม่ให้หม่อมฉันปรนนิบัติ และไม่ได้มาหาไทเฮา หม่อมฉันก็เบื่อหน่ายเหลือเกินเพคะ”
ไทเฮาเลิกคิ้ว “อย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นข้าก็มีข้อเสนอดีๆ ไม่สู้ว่าเจ้าอ่านหนังสือสวดมนต์ให้มากเสียหน่อย ทั้งช่วยให้จิตใจสงบ ได้รับหลักการมากมาย อีกทั้งยังฆ่าเวลาได้อีกด้วย”
กู้ซีคิดไม่ถึงว่าไทเฮาจะพูดเช่นนี้ จึงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งถึงได้รับคำ “เพคะ หม่อมฉันจะลองอ่านดู”
ไทเฮาหลับตาพริ้มต่อไป
กู้ซีมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเ**่ยวย่น ดวงตาพลันเป็นประกาย แต่ก็รีบก้มหน้าลงไปบีบขาให้ไทเฮาต่อ
ไทเฮาหลับตาลง ในใจนั้นกลับถอนหายใจเบาๆ
ถาวจวินหลันหาเวลาว่างไปบ้านตระกูลเฉิน หลังจากเฉินฟู่กลับมาแล้ว นางก็ยังไม่ได้ไปหา ไม่รู้ว่าถาวซินหลันเป็นอย่างไรบ้าง แม้ว่าจะไม่ได้เห็นเฉินฟู่ แต่ตอนที่หลี่เย่กลับมาก็เคยพูดถึงอาการของเฉินฟู่กับนาง
เพียงเล่าให้ฟังว่าเฉินฟู่ผ่ายผอมและซูบเซียวไปไม่น้อย แต่ก็ไม่มีอะไรร้ายแรง
ตอนที่พบถาวซินหลัน ท่าทีของถาวซินหลันก็กลับมาดูสดใสกว่าเดิมอยู่หลายส่วน รอจนเฉินฟู่กลับมาแล้ว แน่นอนว่าท้องของนางก็นูนชัดเจนมากขึ้น
“คราวนี้เจ้าคงวางใจแล้วใช่หรือไม่?” ถาวจวินหลันอดพูดหยอกเย้าไม่ได้
ถาวซินหลันไม่ได้รู้สึกเขินอายอะไร พยักหน้ารับอย่างเปิดเผย “วางใจแล้วเพคะ เขากลับมาก็เบนความสนใจของแม่สามีไปไม่น้อย ไม่ได้มาจับตามองข้าอีกแล้ว ข้าสบายไปเยอะเลยเพคะ” แม้แต่อาหารบำรุงที่ปกติแล้วกินไม่ไหว ก็ถือว่ามีคนช่วยกินแล้ว
ถาวจวินหลันเห็นเช่นนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ “ดูเจ้าสิ มีโชคก็ไม่รู้จักรักษา” จากนั้นก็ถามถึงอาการของเฉินฟู่อีกเล็กน้อย แล้วถึงปล่อยผ่านไป
ตอนนี้ยังไม่มีพิธีแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ดังนั้นนางไปบ้านตระกูลเฉินจึงไม่ได้จัดขบวนใหญ่โต แต่ก็ไม่อาจขาดคนมาทำความเคารพได้
พอจัดการคนอื่นออกไปแล้ว ถาวจวินหลันถึงได้ถอนหายใจช้าๆ “รอจนเข้าวังหลวงไป คิดว่ามาหาเจ้าคงทำไม่ได้แล้ว ต่อให้อยากพบเจ้า ก็ทำได้แค่เรียกเจ้าเข้าไปในวังหลวง แต่ในวังก็ยังมีกฎเกณฑ์อีกมากมาย”
ถาวซินหลันยิ้มแย้ม “แค่ไปหาท่านพี่ จะไกลแค่ไหนข้าก็วิ่งไปได้เพคะ อีกอย่างภายในวังหลวงจะต้องกลัวอะไร? จะว่าไปแล้ว ก็เป็นคนที่สร้างกฎเกณฑ์กันเองมิใช่หรือ? หากวันหน้าท่านพี่อยากให้เป็นอย่างไรก็ตั้งกฎเช่นนั้นได้นี่เพคะ”
ถาวซินหลันพูดแฝงไว้ด้วยความโอหัง
ถาวจวินหลันกลับทำใจดุกล่าวนางไม่ลง เพียงแค่พูดเตือน “เอาเถิด ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว วันนี้ข้ามาหาเจ้าก็ด้วยมาสร้างฐานอำนาจให้เจ้า ให้ผู้คนที่อยู่ในจวนของพวกเจ้าได้เห็นเต็มตา อย่าได้คิดรังแกเจ้าอีก เจ้าเองจะได้มีที่พึ่ง”
พูดมาถึงตอนจบ ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะไม่ได้ “แต่ดูแล้ว ข้าคงคิดมากเกินไป จากนิสัยของเจ้า ใครจะกล้ารังแกเจ้าได้?”
ถาวซินหลันถึงได้หัวเราะ แต่จากนั้นก็พูดว่า “วันหน้าพวกเราไปเยี่ยมพี่ชายด้วยกันดีหรือไม่? หลังจากนี้ทางเข้าวังหลวงไปแล้ว อยากจะพบพี่ชายก็ไม่ง่ายแล้วเพคะ”
สมาชิกผู้หญิงนั้นง่ายดาย แต่อยากพบบุรุษ ต่อให้เป็นน้องชายแท้ๆ ของตนก็ไม่ง่าย นอกจากงานเลี้ยงสำคัญ ถาวจวินหลันก็แทบจะไม่มีโอกาสได้พบถาวจิ้งผิง และไม่อาจเชิญถาวจิ้งผิงมาที่วังหลวงได้
พอคิดถึงเรื่องนี้ถาวจวินหลันก็อดถอนหายใจไม่ได้ นางยังทำใจไม่ค่อยได้ ก่อนหน้านี้คาดหวังจะเข้าวังหลวงมาตลอด แต่พอใกล้ได้เข้าวังแล้ว นางถึงรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วนัก ยังมีเรื่องอีกมากมายที่นางตัดไม่ขาด
“แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีเพคะ” ถาวซินหลันแอบกระซิบข้างหูถาวจวินหลัน “ต่อจากนี้ไปท่านพี่อย่าใจอ่อนเกินไปนะเพคะ ถ้าจะให้ข้าพูด ยังต้องหาโอกาสจัดการฮองเฮาให้อยู่หมัดถึงจะดีนะเพคะ มิเช่นนั้นถูกอำนาจข่มเอาไว้เช่นนี้ จะทำอะไรตามใจคิดได้ยาก แบบนั้นคงแย่มากนะเพคะ”
ถาวจวินหลันมองท่าทีจริงจังของถาวซินหลัน ตบมือนางเบาๆ “เอาเถิด ข้ายังต้องให้เจ้าเตือนอีกหรือ? ใจของข้านั้นรู้ดี เจ้อย่าคิดมากไป ดูแลครรภ์ให้ดี แล้วรีบคลอดหลานชายให้ข้าเสียที”
ถาวซินหลันทำแก้มพองลมทันที “ทำไมถึงหวังว่าข้าจะคลอดลูกชายเล่าเพคะ? หากเป็นผู้หญิงจะทำอย่างไร?”
“นั่นก็เป็นหลานสาวของข้า ใครจะกล้าไม่ชอบอย่างนั้นหรือ?” ถาวจวินหลันจงใจพูดออกมา แต่นี่ไม่ได้เป็นการหยอกล้อทั้งหมด นางคิดเช่นนี้จริง มีท่านป้าเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ใครจะกล้ารังเกียจอีก? ต่อจากนี้ไปเกรงว่าคงเหนื่อยหาลูกเขยเลยทีเดียว ก็ด้วยเพราะมีคนมาสู่ขอมากเกินไป!
ถาวซินหลันยิ้มทั้งน้ำตา “เฉินฟู่เองก็บอกว่าหากคลอดลูกสาวออกมาย่อมไม่รังเกียจเป็นแน่ ถือว่าเขายังรู้งาน”
“เป็นเด็กสาวก็ดี” ถาวจวินหลันหัวเราะพลางพูดต่อ “ดอกไม้บานก่อนผลที่ตามมาย่อมไม่เลว ดูทางด้านองค์หญิงเก้าให้กำเนิดลูกสาวก่อน ครั้งต่อไปค่อยพยายามใหม่ ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร อย่างไรมีลูกสาวก็ยิ่งสนิทกับมารดา”
“เพคะ” ถาวซินหลันยิ้มรับคำ สุดท้ายแล้วก็แอบถาม “ครั้งที่แล้วคนตระกูลข่งมาหาท่านใช่หรือไม่เพคะ? นานขนาดนี้แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่เคลื่อนไหวเสียทีเล่า?”
พูดถึงตระกูลข่ง ถาวจวินหลันก็หน้าขรึมลงเล็กน้อย “เชื่อว่าจะเคลื่อนไหวในเร็ววันแล้ว” ไม่ว่าก่อนหน้านี้ตระกูลข่งกลัวว่าจะหาเรื่องใส่ตัวหรือว่าอย่างอื่น ไม่ยอมเชื่อฟังคำของนาง ช่วยตระกูลถาวพลิกคดี แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ตระกูลข่งไม่มีทางนั่งนิ่งได้อีกแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นท่านพี่ปล่อยพวกเขาได้แล้วหรือเพคะ?” ถาวซินหลันขมวดคิ้วถามเบาๆ พูดตามจริงแล้วเรื่องที่ตอนนั้นถูกตระกูลข่งปฏิเสธอยู่นอกประตู ได้รับเพียงจดหมายถอนหมั้นฉบับเดียว นางแค้นจนอยากให้ตระกูลข่งไปตายเสียให้สิ้น แม้แต่ข่งอวี้ฮุยที่ตายไปแล้ว ทางที่ดีที่สุดก็ให้ขุดออกมาจากหลุม แล้วเผาผีเทกระดูกไปถึงจะพอใจ!
ถาวจวินหลันส่ายหน้าเบาๆ “ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาทำตามใจได้ แต่ข้าก็ไม่อาจให้มือสกปรกได้ และไม่อาจทำให้คนอื่นมีเบี้ยต่อรองกับข้าได้ ในตอนนั้นพวกเขาคอยซ้ำเติม ตอนนี้ย่อมต้องยอมรับโทษ ข้าจะให้พวกเขาทั้งตระกูลต้องแยกจากกัน ชีวิตนี้ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อีก!”
แม้จะบอกว่าตระกูลข่งไม่ได้ทำให้ตระกูลถาวแตกแยกล่มสลาย แต่ตระกูลข่งก็เติมอิฐเติมกระเบื้อง มีเหตุผลรองรับ ดังนั้นโทษตายละได้ แต่โทษเป็นยากจะอภัย ความลำบากที่กัดกร่อนหัวใจ ความเจ็บปวดที่ครอบครัวไม่อาจอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา พวกเขาจะต้องได้ลิ้มรสเช่นกัน
อีกทั้งมีชีวิตอยู่ต่อก็ยิ่งทรมานมากกว่าตายมิใช่หรือ?