บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 569 ความคิด
ใบหน้าหนายิ่งกว่ากำแพง คิดว่าคงหมายถึงคนแบบพระชายาจวงอ๋องกระมัง?
ถาวจวินหลันอดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นก็มองไปทางพระชายาจวงอ๋อง พูดว่า “นี่ถือเป็นวิธีที่ดีเจ้าค่ะ น่าเสียดายที่ฮ่องเต้ไม่ได้ออกคำสั่ง ท่านอ๋องของพวกเราก็ไม่อาจตัดสินใจเองได้ ไม่อย่างนั้นข้าจะให้ท่านอ๋องของพวกเราไปทูลฮ่องเต้ว่าเป็นความคิดของจวงอ๋องดีหรือไม่เจ้าคะ?”
พระชายาจวงอ๋องหน้าซีดลงในทันใด พูดอย่างมีโทสะ “ไม่ต้องลำบากหรอก ข้าก็เพียงพูดไปเท่านั้น เห็นว่าพี่รองทำงานหนัก ก็กังวลว่าพี่รองจะป่วยเอาเท่านั้น”
ถาวจวินหลันหัวเราะ พลางเอ่ยขอบคุณอย่างจริงใจ “ถ้าเช่นนั้นต้องขอบคุณท่านแล้วเจ้าค่ะ”
พอเดินทางมาถึงวังของฮองเฮา พระชายาองค์รัชทายาทกับหวังเหลียงตี้ก็อยู่พร้อมหน้า ท่าทางของทั้งสามคนดูเฉื่อนชานัก แม้จะบอกว่าปกติอาการนี้เกิดขึ้นในคนสูงอายุ แต่ตอนนี้พระชายาองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ และหวังเหลียงตี้กลับมีอาการนี้อย่างเห็นได้ชัด
ถาวจวินหลันคิดว่าเป็นเพราะองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อสวรรคต ก็เท่ากับผู้หญิงทั้งสามคนนี้ไร้ความหวังโดยสมบูรณ์แล้ว ไฉนเลยจะมีกำลังไปใช้ทำอะไรอีกเล่า? พวกนางย่อมเหลือเพียงความซึมกะทือเท่านั้น
ถาวจวินหลันทำความเคารพฮองเฮา และหันไปทำความเคารพพระชายาองค์รัชทายาท
ฮองเฮาหัวเราะเย้ย “คิดไม่ถึงว่าชายารองถาวยังว่างมาดูหญิงชราโดดเดี่ยวเช่นข้าด้วย”
ฮองเฮาพูดเยาะเย้ยตัวเอง แต่กลับเยาะเย้ยนางด้วยเช่นกัน ถาวจวินหลันไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เพียงแค่ยิ้มและแก้เรื่องที่ฮองเฮาพูดผิด “ฮองเฮาเหนียงเหนียงตรัสอะไรเพคะ? องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อแม้ว่าจะสวรรคตไปแล้ว แต่พระองค์ก็เป็นแม่ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นท่านอ๋องของพวกหม่อมฉันก็ดี หรือว่าเป็นจวงอ๋องก็ดี แม้แต่องค์ชายที่อยู่ในวังหลวงก็เป็นลูกชายของพระองค์มิใช่หรือเพคะ? ทำไมพระองค์ถึงพูดเช่นนั้นเล่า? พระองค์วางใจเถิด พวกหม่อมฉันจะต้องปรนนิบัติท่านให้ดีที่สุดเพคะ”
หลังการสวรรคตขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนจงใจพูดเรื่ององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อขึ้นมา
พอฮองเฮาได้ยินก็ตาแดงก่ำทันที กัดฟันแน่นมองถาวจวินหลัน พูดเสียงดุว่า “เจ้าจงใจใช่หรือไม่?”
ถาวจวินหลันรีบลุกขึ้นด้วยความหวาดกลัว “เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ ขอฮองเฮาเหนียงเหนียงระงับโทสะด้วยเถิดเพคะ”
ฮองเฮาพลันพูดไม่ออก หากถาวจวินหลันปฏิเสธ นางเองยังสามารถใช้ข้ออ้างนี้เพื่อทำโทษหรือสั่งสอนได้บ้าง แต่ถาวจวินหลันกลับยอมรับความผิดอย่างง่ายดาย นางเองก็ไม่อาจเอาเรื่องต่อไปได้ มีความรู้สึกเหมือนกำปั้นถูกต่อยลงบนสำลี
ดังนั้นสุดท้ายแล้วฮองเฮาจึงทำได้เพียงมองถาวจวินหลัน พูดเสียงเย็น “หรือว่าชายารองถาวลืมเอาสมองออกจากบ้านมาด้วย? ทุกคนไม่ยกเรื่องนี้มาพูดถึง ก็ด้วยสงสารหญิงชราผมขาวเช่นข้าต้องส่งคนหัวดำไปสวรรค์ แต่เจ้าเหมือนจงใจ ทำไม กลัวว่าข้าจะความจำไม่ดีขนาดลืมเรื่องนี้ จึงต้องย้ำเตือนข้าอย่างนั้นหรือ?”
ฮองเฮาพูดแบบนี้ถือว่าตบหน้ากันอย่างแรง หากถาวจวินหลันใส่ใจเสียหน่อย เกรงว่าตอนนี้คงจะอับอายจนพูดอะไรไม่ออก แต่เห็นได้ชัดว่าถาวจวินหลันไม่ได้รู้สึกแบบนี้แม้แต่น้อย พอถูกฮองเฮาเอ่ยถาม นางก็แค่เพียงยอมรับผิดอย่างจริงใจ “หม่อมฉันคิดว่าเหนียงเหนียงยังทำใจได้แล้ว ถึงเผลอพูดเรื่องนี้ออกมา เป็นความผิดของหม่อมฉันเองเพคะ”
จากที่ฮองเฮาไม่พอใจ ตอนนี้ก็ยิ่งไม่พอใจกว่าเดิม
แล้วตอนนี้เองพระชายาองค์รัชทายาทก็เอ่ยเตือนฮองเฮาเนิบๆ “เสด็จแม่จะไปเอาความกับชายารองถาวทำไมเล่าเพคะ? ในเมื่อชายารองถาวก็ยอมรับผิดแล้ว ปล่อยนางไปเถิดเพคะ หากเอาความต่อไป ท่านโมโหมากจะทรุดเอาได้นะเพคะ”
ชายาองค์รัชทายาทเหมือนจะปลอบใจฮองเฮา แต่ความจริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยความกล่าวโทษถาวจวินหลัน ทำไมเจ้าไม่รู้เรื่องนี้? หากสุขภาพของฮองเฮาแย่ลง เจ้ารับผิดชอบไหวหรือย่างไร?
ถาวจวินหลันก้มหน้ารับผิด ขมวดคิ้วน้อยๆ ตอนนี้นางไม่อาจหาเรื่องพระชายาองค์รัชทายาทได้อีก อีกทั้งพระชายาองค์รัชทายาทยังแสดงท่าทางเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ นางเองก็ต้องไว้หน้าบ้าง
มิเช่นนั้นแล้ว คนอื่นคงคิดว่านางแล้งน้ำใจ เอาความกับแม่ม่ายไม่รู้จบอย่างนั้นหรือ? แต่พอคิดดูให้ดีแล้วก็ไม่มีอะไรให้คิดมาก
“ไข่มุกที่ไห่หนานส่งมาเป็นของบรรณาการ ท่านอ๋องได้ให้คนเอาไปบดเป็นผงแล้ว บอกว่าหลังจากทานแล้วจะช่วยสงบใจได้เพคะ ท่านอ๋องทราบว่าเสด็จแม่บรรทมไม่ค่อยหลับ จึงสั่งให้หม่อมฉันเอามามอบให้พระองค์เพคะ” พระชายาจวงอ๋องดูละครฉากนี้อย่างสนุกสนาน นางย่อมพอใจที่ถาวจวินหลันเสียหน้า และยังคิดว่าตนเองก็ฉวยโอกาสนี้แสดงออกได้บ้าง จึงพูดเสนอ
แล้วฮองเฮาก็ดูผ่อนคลายลงจริง ทั้งยังส่งยิ้มไปให้พระชายาจวงอ๋อง “ลำบากเจ้าแล้ว”
พระชายาจวงอ๋องได้ยินก็หน้าชื่นตาบาน จะต้องรู้ว่า นี่เป็นครั้งแรกในช่วงเวลาหลายวันที่ฮองเฮาพูดกับนางอย่างยิ้มแย้ม อ่อนโยน ทั้งยังชมนางด้วย! นี่หมายความว่าความพยายามหลายวันนี้ไม่ได้สูญเปล่าใช่หรือไม่?
หากฮองเฮารู้ว่าพระชายาจวงอ๋องคิดอะไรอยู่ในใจ คงจะอดหัวเราะเสียงเย็นไม่ได้ นางแค่อยากให้ถาวจวินหลันเสียหน้าเท่านั้น ไฉนเลยจะเห็นค่าผงไข่มุกแค่นั้นและความ ‘กตัญญู’ นั่นอีกเล่า?
ใช่แล้ว ฮองเฮาไม่เห็นหัวจวงอ๋องและพระชายาจวงอ๋อง เพราะนางรู้ดีว่าสองคนนี้มาประจบนางเพื่ออะไร เพียงเพราะอยากให้นางช่วยสนับสนุนจวงอ๋องเท่านั้น หากเรื่องแค่นี้นางยังไม่รู้ นางจะเป็นฮองเฮาได้อย่างไร?
ถาวจวินหลันก็สังเกตได้ว่าคำที่พระชายาจวงอ๋องเรียกฮองเฮา ก่อนหน้านี้พระชายาจวงอ๋องไม่ได้เรียกว่าเสด็จแม่ แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนคำเอง เท่านี้ก็เห็นชัดแล้ว
ฮองเฮามีเมตตาต่อพระชายาจวงอ๋องเช่นนี้ก็คิดว่าฮองเฮาเห็นหัวจวงอ๋องแล้วอย่างนั้นหรือ? แน่นอนว่าอาจจะจงใจทำให้นางดูก็ได้ ถาวจวินหลันลอบคิดในใจ แต่ไม่ได้แสดงอะไรออกมาต่อหน้า
ต่อจากนี้ก็ไม่ได้มีเรื่องพิเศษอะไรอีก แต่ฮองเฮายังคงมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส พูดจานิ่มนวลกับพระชายาจวงอ๋องตลอด พระชายาองค์รัชทายาทและหวังเหลียงตี้ก็ทำตัวสนิทสนมกับพระชายาจวงอ๋องเช่นกัน
แน่นอนว่านางไม่ใส่ใจเรื่องเช่นนี้ แต่นางเพียงสนใจว่าฮองเฮาคิดจะสนับสนุนจวงอ๋องหรือไม่เท่านั้นเอง อีกเรื่องก็คืออาอู่
ดังนั้นถาวจวินหลันจึงเอ่ยปากถามว่า “ใช่แล้วเพคะ ทำไมไม่เห็นชายารองหยวนเลยเล่า? แล้วยังอาอู่ด้วย?” สุดท้ายแล้วหยวนฉงหวาก็ตั้งชื่อเล่นให้เขาว่าอาอู่ ส่วนชื่อจริงองค์รัชทายาทตั้งไว้ว่า หลี่เซิง ที่แปลว่าสูงขึ้น เหมือนพระอาทิตย์ขึ้น และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แค่ดูจากชื่อนี้ ก็รู้ได้ทันทีว่าองค์รัชทายาทคาดหวังอย่างไรต่ออาอู่
พอพูดถึงหยวนฉงหวา พระชายาองค์รัชทายาทก็หน้าขรึมลง แม้จะบอกว่ากลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว แต่ก็เห็นอยู่ดี พระชายาองค์รัชทายาทตอบว่า “หยวนซื่อดูแลอาอู่อยู่ที่ตำหนักองค์รัชทายาท บอกว่าอาอู่มีสุขภาพอ่อนแอนัก ไม่อาจถูกลมได้ จึงไม่ได้พาอาอู่มา”
หลังจากองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อสวรรคตไป หวังเหลี้ยงตี้ก็ชอบเหน็บแนมแดกดันมากขึ้น ในตอนนั้นก็หัวเราะเสียงเย็นเอ่ย “เด็กนั่นเป็นลูกรัก ย่อมต้องดูแลใกล้ชิดเป็นแน่”
ดูจากปฏิกิริยาของหวังเหลียงตี้แล้วก็คาดเดาความคิดของหวังเหลียงตี้ได้ไม่ยาก เห็นได้ชัดว่าหวังเหลียงตี้ยังไม่ยอมแพ้เรื่องการตัดสินใจมอบอาอู่ให้หยวนฉงหวา
ฮองเฮาไม่ชอบใจท่าทีเช่นนี้ของหวังเหลียงตี้นัก จึงเอ่ยตำหนิ “เด็กๆ ก็ร่างกายอ่อนแอป่วยง่ายทั้งนั้น หยวนซื่อทำเช่นนี้ก็ด้วยหวังดีกับอาอู่ เจ้าไม่รู้เรื่องก็ควรจะเรียนให้มาก!”
หวังเหลียงตี้ตะลึงไป ท่าทางน้อยใจและไม่อยากเชื่อ สุดท้ายแล้วก็ทำได้แค่เงียบปาก
ถาาวจวินหลันยิ้มบางๆ หลังจากองค์รัชทายาทสวรรคต คิดว่าอาอู่คงกลายเป็นหลานรักของฮองเฮาไปแล้ว แต่นี่เป็นเรื่องดี นางรู้สึกดีใจแทนอาอู่ “หยวนเหลียงตี้ดูแลเด็กเป็น ดูท่าทางมอบให้หยวนเหลียงตี้เลี้ยงดูอาอู่ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องนะเพคะ”
สิ้นเสียง ท่าทีของพระชายาองค์รัชทายาทก็แย่ลง
ถาวจวินหลันกลับลุกขึ้นทูลลา นางยังต้องไปหาไทเฮาอีก ย่อมไม่อาจนั่งฆ่าเวลาอยู่ที่นี่ไปได้ตลอดกระมัง? อีกอย่างที่นี่ก็ไม่มีอะไรแล้ว ช่างน่าเบื่อเสียเหลือเกิน
ฮองเฮาก็ไม่คิดจะรั้งเขาเอาไว้ รีบตอบรับทันที
ถาวจวินหลันถอยออกไป พอออกมาจากพื้นที่ของฮองเฮาแล้ว นางถึงได้เอี้ยวตัวไปถามบ่าวทั้งสองคน “เจ้าว่าฮองเฮาทำดีกับพระชายาจวงอ๋องจากใจจริงหรืออยากทำให้ข้าดู?”
หากจะบอกว่าฮองเฮาตัดสินใจมาสนับสนุนจวงอ๋องง่ายดายเช่นนี้ นางย่อมไม่เชื่อแน่นอน ดังนั้นนางจึงคิดว่าทำให้นางดูมากกว่า
ชุนฮุ่ยก็คิดว่าเสแสร้งเท่านั้น จึงส่ายหน้าตอบ “คงไม่ได้มาจากใจจริงเจ้าค่ะ”
ปี้เจียวก็คิดเหมือนกัน
ถาวจวินหลันจึงหัวเราะออกมา “ดูท่าฮองเฮาคงจะเสียใจเกินไป แม้แต่เล่นละครก็ยังไม่เนียน”
พอเดินทางมาถึงวังหย่งโซ่วของไทเฮา ถาวจวินหลันก็เห็นไทเฮากำลังเลือกผ้าอยู่พอดี
ถาวจวินหลันจึงยิ้มถามว่า “ไทเฮาจะตัดชุดใหม่หรือเพคะ?”
“ข้านอนอยู่วังทั้งวัน ต้องตัดชุดใหม่ไปทำไมกัน? ข้าเลือกให้เซิ่นเอ๋อร์ต่างหากเล่า” ไทเฮาพูด แล้วก็กวักมือเรียกนาง “เจ้าก็มาช่วยข้าเลือกสิ ดูว่าอันไหนเหมาะสม ข้าย่าทวดคนนี้ก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว”
ถาวจวินหลันพิจารณาอย่างตั้งใจ แล้วก็เลือกผ้าสีเขียวหม่น “ตอนนี้วังหลวงยังต้องไว้อาลัย ใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสคงไม่เหมาะนัก ที่จริงแล้วหม่อมฉันก็เตรียมเอาไว้ให้เขาเหมือนกัน แต่ยังทำไม่เสร็จเท่านั้น รอจนทำเสร็จแล้ว ค่อยให้คนนำเข้ามาให้เพคะ”
นี่เป็นเรื่องจริง เซิ่นเอ๋อร์ถูกส่งเข้ามาเลี้ยงดูในวังหลวงต่อหน้าไทเฮา นางไม่เคยคิดว่าจะตัดหางปล่อยวัดเลย อย่างไรเซิ่นเอ๋อร์ก็เป็นคุณชายน้อยของจวนตวนชินอ๋อง สิ่งที่ควรมีนางก็ไม่อาจละเลยได้
ไทเฮาพยักหน้า “เจ้าทำของเจ้า ของข้าก็เป็นของข้า นี่ไม่เหมือนกัน” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดอีกว่า “วันนี้เข้าวังมามีเรื่องอะไรหรือ?”
“มาทำความเคารพฮองเฮาเหนียงเหนียงเพคะ” ถาวจวินหลันตอบตามจริง “ที่สำคัญข้ามีเรื่องต้องปรึกษาพระองค์เพคะ”
ไทเฮาเลิกคิ้ว “เจ้าลองพูดมาสิ เรื่องอะไรกันแน่”
“ท่านอ๋องให้รีบหากูกูเหมาะสมมาสั่งสอนเซิ่นเอ๋อร์เพคะ ต่อจากนี้ไปก็ให้กูกูสอนสั่งเลี้ยงดูเซิ่นเอ๋อร์ ส่วนชายารองเจียงก็…” ถาวจวินหลันมองไทเฮาอย่างลำบากใจ “จัดหากูกูไม่ใช่เรื่องยาก แต่เจียงอวี้เหลียนคงไม่ยอมง่ายๆ หม่อมฉันเองก็ยังไม่มีความคิดอะไร จึงได้มาถามไทเฮาเพคะ”
“ความคิดของตวนชินอ๋องอย่างนั้นหรือ?” ไทเฮาถามย้ำอีกครั้งคล้ายหัวเราะ แต่พอตั้งใจมองแล้วกลับดูไม่เหมือนแม้แต่น้อย “ถ้าเช่นนั้นเจ้าเล่า? เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”