บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 549 ซ่อนตัว
ที่จริงถาวจวินหลันก็ยังไม่มั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางได้ยินคำพูดไม่กี่คำของแม่นม ก็รู้สึกได้ว่าผิดปกติ อย่างไรแล้วหลายวันมานี้นางเล่นแง่กับฮองเฮา บางทีฮองเฮาอาจจะใช้วิธีโหดเ**้ยมมาจัดการนาง จึงต้องเตรียมป้องกันและระแวดระวังมากขึ้น
แน่นอนว่านางอาจจะเดาผิดก็ได้ แต่นางก็คิดว่าไม่น่าผิด
อย่างเช่นควันที่แม่นมบอก นางรู้ได้ทันทีว่าเป็นควันเมาเหมือนในนิยาย
ถาวจวินหลันกับแม่นมแอบอยู่ชิดกัน ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง ยามนี้ถาวจวินหลันฝ่ามือเปียกชื้นไปหมด นางยังคิดอยู่ว่าบ่าวคนนั้นหาใครเจอแล้วหรือยัง หรือว่า…
ถาวจวินหลันพยายามไม่คิดในแง่ร้าย เพราะยิ่งตอนนี้คิดในแง่ร้ายมากเท่าไร ตนเองก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นทางที่ที่สุดคือไม่คิด
ตอนที่ถาวจวินหลันหวังให้คิดมากไปเอง ก็ได้ยินดังเหมือนมีของหล่นด้านนอก
แม่นมตัวสั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเบาเหมือนอากาศ “กลอนประตูเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันเข้าใจทุกอย่างทันที เสียงเมื่อครู่นี้ น่าจะเป็นเสียงกลอนประตูหลุดดออก กลอนย่อมไม่ได้ถูกถอดออกจากข้างใน แต่มาจากด้านนอก ดังนั้นถึงมีเสียงของตกลงพื้น
ฉับพลันนั้น ถาวจวินหลันก็หายใจติดขัด ใครปลดกลอนประตูจากด้านนอกได้?
เพียงเรื่องนี้ก็พิสูจน์ได้แล้ว ว่าเป็นจริงดังที่นางคาดเดา
ถาวจวินหลันครุ่นคิด ก่อนลุกเดินไปหน้าโต๊ะอย่างเบามือเบาเท้า แล้วโบกมือไปทางแม่นม
แม่นมเข้าใจความหมายของถาวจวินหลันทันที รีบลุกขึ้นตาม แล้วทั้งคู่ก็ร่วมแรงกันขยับโต๊ะไปบังไว้หน้าประตู เพื่อดันประตูเอาไว้ โต๊ะตัวนั้นทำมาจากต้นประดู่ น้ำหนักค่อนข้างเยอะ หลังจากใช้ไปดันประตูแล้ว ด้านนอกก็คงดันเข้ามาได้ยาก
ถาวจวินหลันปิดหน้าต่างอย่างแน่นหนา แต่หน้าต่างก็ไม่อาจบังได้ดีเท่าไรนัก นางทำได้แค่ลากแม่นมออกไปหลบเท่านั้น
แน่นอนว่าไม่ว่าจะใช้วิธีไหน นางก็เพียงแค่คิดจะยื้อเวลาออกไปเท่านั้น นางไม่เคยคิดว่าของเหล่านี้จะช่วยขวางคนข้างนอกได้สักเท่าไร
ขอเพียงแค่เวลายื้อเอาไว้ได้นาน คนภายในเรือนก็จะมาได้ทัน ดูจากวิธีของขโมยแล้ว เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามไม่อยากทำให้ภายในเรือนตกใจ
เพียงไม่นาน ถาวจวินหลันก็ได้ยินเสียงกลอนประตูห้องนางดังขึ้นเบาๆ ก็ให้ตื่นเต้นจนแทบหยุดหายใจ รีบมองไปทางนั้นอย่างเคร่งเครียด
ที่จริงภายในห้องไม่ได้จุดไฟทิ้งเอาไว้ จึงมองอะไรไม่เห็นแม้แต่น้อย
ถาวจวินหลันรู้สึกว่าแม่นมขยับเข้ามาใกล้ตนเองมากยิ่งขึ้น นางก็หัวเราะขมขื่น ที่จริงแล้วนางเองก็หวาดกลัวเป็นที่ยิ่ง แต่กลับไม่กล้าพูดออกมา เพราะพูดไปแล้วจะทำให้พวกนางทั้งคู่หวาดกลัวมากกว่าเดิมเท่านั้น
แม้ว่านางจะรู้ว่ากลอนประตูไม่ได้เสดาะหลุดออกง่ายดาย แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นนางก็ยังรู้สึกเครียดมาก จนหัวใจเต้นรัวเร็ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ใที่สุดถาวจวินหลันก็ได้ยินเสียงดังวุ่นวายจากด้านนอกประตูเรือน
นางจึงรู้สึกสบายใจได้เล็กน้อย ร่างกายเหมือนถูกสูบแรงทั้งหมดออกไปจนแข้งขาอ่อนไปหมด
พูดตามจริงแล้วนางตกใจมาก หากช้ากว่านี้เพียงก้าวเดียว เกรงว่านางคงจะสติแตกไปแล้ว แม้นยามนี้นางแทบจะสติแตกแล้วก็ตาม ที่จริงขโมยพุ่งเข้ามาเลยยังจะดีกว่า แต่ต้องมารอลุ้นระทึกเช่นนี้กลับน่ากลัวมากกว่า เหมือนไปยืนอยู่บนแท่นประหาร เมื่อดาบพาดผ่านมาไม่ว่าจะเจ็บมากเพียงใด กลัวมากเพียงใด แต่ในช่วงเวลาที่รอดาบหล่นมาถึงคอตนเอง กลับเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมากที่สุด
ได้ยินเสียงต่อสู้กันด้านนอก ถาวจวินหลันถึงได้ยื่นมืออันสั่นเทาไปจับม่าน แล้วประคองตัวลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้แม่นมออกมาช่วยกันย้ายโต๊ะไปพร้อมกัน หากพวกนางไม่ได้ย้ายออก พวกนางก็ออกไปไม่ได้ ด้านนอกก็เข้ามาไม่ได้เช่นกัน
แต่แม่นมกลับไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ชายารองเจ้าคะ บ่าวขาอ่อน ลุกไม่ขึ้นจริงๆ เจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันอึ้งไป เพียงแค่ยิ้มขมขื่น “ถ้าเช่นนั้นก็รอก่อนเถิด” นางเองก็ไม่ได้รีบร้อนเดินไปอุ้มซวนเอ๋อร์และหมิงจูออกมา เพราะอย่างไรแล้วตรงนั้นก็ปลอดภัย ส่วนนางก็ไร้เรี่ยวแรงไปทั้งร่าง จึงนั่งพิงอยู่กับโต๊ะเพื่อตั้งสติ และฟื้นเรี่ยวแรง
เสียงต่อสู้ด้านนอกดังอยู่ได้ไม่นานเท่าไร ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนดังมาจากด้านนอก “ระวัง อย่าให้เขาหนีไป!”
เพิ่งสิ้นเสียง เหมือนว่าขโมยคนนั้นได้หนีออกไปแล้ว เพราะถาวจวินหลันได้ยินคนตะโกนเสียงดังว่า ‘รีบตามไป!’
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เป็นเสียงของชุ่นฮุ่ย “ชายารอง ชายารองท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ถาวจวินหลันมองแม่นมที่ยังขาอ่อนวูบหนึ่ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งผ่านประตูไปว่า “ประตูถูกปิดทางเอาไว้ ให้คนเข้ามาทางหน้าต่างเถิด”
ชุนฮุ่ยรีบพาคนปีนเข้าไปทางหน้าต่าง ย้ายโต๊ะออกไป พอทำเรื่องเหล่านี้เสร็จชุนฮุ่ยถึงรายงานเสียงต่ำว่า “ชายารองไม่ต้องกลัวไปเจ้าค่ะ โจรลอบสังหารคนนั้นมีคนตามไปแล้ว คิดว่าไม่มีทางให้อีกฝ่ายหนีไปได้เป็นแน่ คนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกก็ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ”
ตอนที่กำลังพูดอยู่ปี้เจียวก็เข้ามา แม้แต่หงหลัวก็มาด้วย อาการบาดเจ็บของหงหลัวยังไม่หายดี ถาวจวินหลันเกรงว่านางจะฝืนทำเป็นแข็งแรงจึงสั่งให้นางพัก ดังนั้นหงหลัวจึงไม่ค่อยได้มาปรนนิบัติรับใช้เบื้องหน้านัก
ถาวจวินหลันรีบให้คนไปอุ้มหมิงจูและซวนเอ๋อร์ออกมา จัดการเฝ้าดูเข้มงวดกว่าเดิม ส่วนตนเองก็หาเวลาออกมาดูสถานการณ์เบื้องนอก
ของตกแต่งข้างนอกถูกทำลายจากการต่อสู้ไปไม่น้อย ดูแล้ววุ่นวายสับสน แต่ถาวจวินหลันไม่ได้สนใจเรื่องนี้ แต่นางกังวลว่าสุดท้ายจับโจรลอบสังหารคนนั้นได้หรือไม่? อีกทั้งโจรลอบสังหารคนนั้นเข้ามาในจวนทางใด? และใครส่งมา?
พอดื่มชาไปถ้วยหนึ่งแล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกปลอดภัย และสงบใจลงไม่น้อย จึงเอ่ยปากพูดว่า “ไปเรียกหัวหน้าทหารยามเข้ามาตอบคำถามข้า”
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรโจรลอบสังหารก็ลอบเข้ามาง่ายเกินไป หัวหน้าทหารยามไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อย ย่อมต้องรับความผิดอันใหญ่หลวง อีกทั้งเรื่องครั้งนี้ยังย้ำเตือนถาวจวินหลันอย่างจัง ว่าการป้องกันในจวนอ๋องอ่อนแอเกินไปแล้ว! จะต้องรู้ว่าหลังเหตุเพลิงไหม้ได้เพิ่มคนเฝ้ายามมากกว่าเดิมแล้ว!
ถ้าเช่นนั้นก่อนหน้านี้…ถาวจวินหลันนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น ก็อดถอนหายใจไม่ได้ เกรงว่าก่อนนี้ใครก็เข้ามาง่ายกระมัง?
หัวหน้าทหารยามรีบมาตามรับสั่ง ทั้งร่างเต็มไปด้วยเศษหิมะ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งไปไล่จับโจรลอบสังหารมา ถาวจวินหลันมองพิจารณา ก่อนพูดเนิบๆ ว่า “เจ้าว่าใครต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้มากที่สุด?”
หัวหน้าทหารยามได้ยินคำถามนี้ก็รีบคุกเข่าลงไปโดยพลัน “เป็นเพราะข้าน้อยบกพร่อง ทำให้ชายารองต้องตกใจ! ข้าน้อยยินยอมรับโทษขอรับ!”
“ลงโทษเจ้าจะมีประโยชน์อะไร?” ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น “ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้รู้สึกตัวเร็ว ข้าคงจะตายไปแล้ว! ข้าขอถามเจ้าสักหน่อย ว่าโจรลอบสังหารคนนั้นเข้ามาในจวนได้อย่างไร แล้วมีทั้งหมดกี่คน จับได้หรือไม่?!”
กล่าวโทษนั้นเป็นเรื่องปลอม การทำคุณงามความดีระหว่างมีโทษติดตัวนั้นถึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
หัวหน้าทหารยามย่อมต้องเข้าใจ จึงรายงานไปตามตรง “ตอนนี้ข้าน้อยยังไม่ทราบวิธีที่พวกเขาเข้ามาขอรับ แต่มั่นใจว่าฝ่ายตรงข้ามมาเพียงคนเดียว ไม่มีพรรคพวก เมื่อครู่นี้ข้าน้อยแทงโจรลอบสังหารคนนั้นจนได้รับบาดเจ็บ คิดว่าไม่นานคงจับฝ่ายตรงข้ามได้เป็นแน่ขอรับ”
ถาวจวินหลันได้ยินก็โล่งใจไปเล็กน้อย แต่ต่อหน้าก็ยังหัวเราะเสียงเย็นพูดกับหัวหน้าทหารยามว่า “หากจับไม่ได้ ข้าจะเรียกเจ้ามาถาม!”
นี่ย่อมเป็นเรื่องแน่นอน ในเมื่อเป็นหัวหน้าทหารยาม ไม่ว่าเขาจะจับโจรลอบสังหารได้หรือไม่ก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี พูดอย่างเคร่งครัดก็คือตั้งแต่ปล่อยให้โจรลอบสังหารเล็ดรอดเข้ามาได้ เขาก็มีโทษหนักหนาสากรรจ์แล้ว!
ในเมื่อบอกว่าจับได้ ถาวจวินหลันก็ไม่ได้เคร่งเครียดขนาดนั้นแล้ว และตั้งใจอดทนรอข่าวดี ในขณะเดียวกันก็จัดระเบียบบ่าวรับใช้และหญิงชราภายในเรือนเฉินเซียงใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง เงื่อนไขครั้งนี้คือไม่ว่าจะเป็นตอนไหนก็ต้องมีคนตื่นได้สติอยู่เสมอเพื่อให้คอยแจ้งเตือนได้
พูดตามจริงแล้ว ตอนนี้ถาวจวินหลันรู้สึกโชคดีที่พาเด็กทั้งสองมานอนด้วย อย่างแรกหากนางไม่พาหมิงจูไปปัสสาวะ คราวนี้นางก็คงตายไปโดยไม่รู้ตัว อย่างที่สอง หากฝ่ายตรงข้ามพุ่งเป้ามาที่เด็กเล่า? ดังนั้นให้เด็กอยู่ในสายตาตลอด นางถึงจะวางใจได้
ผ่านไปยี่สิบสามสิบนาที บรรดาทหารยามก็ทยอยกันกลับมา แต่น่าผิดหวังที่ไม่มีใครจับโจรลอบสังหารได้เลย
ถาวจวินหลันรู้สึกผิดหวัง อีกทั้งความโกรธในใจก็ยังพุ่งพล่าน พูดตามจริงแล้วตอนนี้นางคิดว่าเบี้ยหวัดของทหารยามเหล่านี้ช่างสิ้นเปลืองเสียจริง!
หัวหน้าทหารยามคนนั้นใบหน้าขลาดกลัว ถลึงตามองคนใต้บังคับบัญชาทีหนึ่ง ท่าทีร้อนใจกังวล เขาคิดว่าเรื่องนี้คงจบแล้ว แต่สุดท้ายกลับไม่สำเร็จ! เมื่อคิดว่าตนเองรับประกันต่อหน้าเจ้านายไปแล้ว แม้แต่หน้าเขาก็ไม่อาจเงยขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้ เขาไม่รอให้ถาวจวินหลันบัลดาลโทสะ ก็รีบด่าผู้ใต้บังคับบัญชาก่อน “โจรลอบสังหารคนนั้นบาดเจ็บ แล้วทำไมถึงหายไปได้เล่า? ตามรอยเลือดก็หาเจอ!”
ถาวจวินหลันได้ยินก็ขมวดคิ้วทันที “ซ่อนตัวไว้หรือไม่?”
ทหารยามคนนั้นส่ายหน้า “ไม่มีทางขอรับ พวกเราตามหาทุกที่แล้ว แต่หาไม่พบเลยขอรับ มิเช่นนั้นก็คงจะไม่กินเวลานานขนาดนี้ขอรับ”
คราวนี้หัวหน้าทหารยามไม่มีอะไรให้พูดได้อีก เพียงแค่หันไปคุกเข่ารับโทษจากถาวจวินหลัน
ถาวจวินหลันมองหัวหน้ายามด้วยสายตาเย็นเยียบ เมื่อครู่คนผู้นี้ไม่เห็นหัวนางด้วย เอาแต่กล่าวโทษคนใต้บังคับบัญชา อย่างไรก็นับว่าไม่มีมารยาทแล้ว
แต่นางยังไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยเรื่องสัพเพเหระเหล่านี้ เพียงแค่พูดว่า “จะไม่เจอได้อย่างไร? หรือว่ามีปีกงอกออกมาแล้วบินหนีไปอย่างนั้นหรือ? พาข้าไปดูให้เห็นกับตา ข้าจะดูว่าเป็นใครกันแน่ ซ่อนตัวได้ดีขนาดไหนเชียว!”
ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นก็ย่อมไม่มีแรงหนีไปไหนได้ไกล บวกกับภายในจวนเต็มไปด้วยผู้คน ไม่สามารถหนีไปได้ง่ายดายขนาดนั้น นางจึงเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามจะต้องซ่อนตัวอยู่มุมใดมุมหนึ่งเป็นแน่!