บัลลังก์พญาหงส์ - ตอนที่ 510 ผลประโยชน์
ในเมื่อไทเฮาพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันย่อมไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป “ก่อนหน้านี้ไทเฮายังชักจูงฮองเฮาได้ ท่านอ๋องก็ยังสบายใจได้บ้าง ตอนนี้สุขภาพของไทเฮาไม่ดี เกรงว่าความสมดุลจะต้องถูกทำลาย หม่อมฉันอยากถามไทเฮาว่ายินยอมช่วยท่านอ๋องหรือไม่เพคะ”
ไทเฮามองถาวจวินหลันนิ่ง ดวงตามีประกายเฉียบคม หัวเราะเยาะกล่าว “ตอนนั้นสถานการณ์เร่งด่วน ข้าจึงรับปากเจ้า หรือตอนนี้เจ้ายังคิดจะข่มขู่ข้าอีก?”
“ไม่มีอะไรข่มขู่ไทเฮาได้เพคะ” ถาวจวินหลันเงยหน้าขึ้นมองไทเฮาอย่างเงียบสงบ “สิ่งที่ควรพูดหม่อมฉันก็พูดกับไทเฮาหมดแล้วเพคะ ไทเฮาเองคงจะรู้อยู่แล้วเพคะ”
“ข้าให้ฮ่องเต้กำจัดแม่ไว้ชีวิตลูกได้” ไทเฮาพูดช้าๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ “และให้องค์รัชทายาทสาบานว่าเขาจะต้องปฏิบัติกับพี่น้องดีๆ ก็ได้แล้ว อีกอย่างในมือของตวนอ๋องมีอำนาจ เขาปกป้องตนเองได้ แล้วเหตุใดข้าจะต้องช่วยเจ้าสู้กับหลานของตนเองด้วยเล่า? เป็นหลานเหมือนกัน ย่อมทำตัวลำเอียงไม่ได้”
“ท่านอ๋องมีความแค้นในใจ คิดว่าไทเฮาคงจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาไม่มีทางอยู่ร่วมกับองค์รัชทายาทอย่างสงบสุขได้แน่เพคะ เขาอดกลั้นมานาน ตอนนี้ก็ได้ระเบิดออกมาแล้ว จะยังอดทนได้อีกอย่างไรเพคะ?” ถาวจวินหลันส่ายหน้าไปมา พูดตอบโต้คำพูดของไทเฮาเสียงเบา “อีกทั้งไม่เคยมีความสมดุลแน่นอนมาก่อน จากความคิดของไทเฮาแล้ว องค์รัชทายาทจะต้องขึ้นครองบังลังก์ บางทีตอนแรกท่านอ๋องอาจจะปกป้องตนเองได้ แต่เวลาผ่านไปนานกว่านั้นเล่าเพคะ? ข้อศอกจะไปงัดข้อกับลำแข้งตลอดได้อย่างไรเล่าเพคะ? อีกอย่างตัวเขาก็ไม่ได้เป็นอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมนะเพคะ”
เห็นท่าทีของไทเฮาไม่เปลี่ยนแปลง ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจ แต่ถาวจวินหลันรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าไทเฮากำลังตั้งใจฟังสิ่งที่นางพูด จึงพูดต่อไป “กำจัดแม่เหลือลูกเหมาะกับเด็กอายุน้อย แต่องค์รัชทายาทเป็นผู้ใหญ่แล้วเพคะ ทำเช่นนี้ องค์รัชทายาทคงแค้นท่านอ๋องมากขึ้นแล้ว อีกทั้งองค์รัชทายาทก็ไม่ใช้คนที่รักษาแคว้นได้ คิดว่าไทเฮาเองก็คงรู้ดีนะเพคะ”
“แต่ช่วยตวนอ๋องแล้ว องค์รัชทายาทก็จะต้องตายเช่นเดียวกัน มิใช่ช่วยคนหนึ่ง ทำร้ายอีกคนหรือ?” ไทเฮายิ้มน้อย ส่ายหน้าเล็กน้อย
ถาวจวินหลันยังคงส่ายหน้าเบาๆ “ท่านอ๋องจิตใจดีมีเมตตา ไม่มีทางเอาชีวิตองค์รัชทายาทเป็นแน่เพคะ แต่ชีวิตของฮองเฮาและคนตระกูลหวังเหล่านั้น ท่านอ๋องต้องจัดการแน่เพคะ” หลายปีมานี้หลี่เย่อดทนอดกลั้นมามาก ย่อมต้องโกรธแค้นแน่นอน
นางรู้ดีว่าไทเฮาให้ความสำคัญกับชีวิตขององค์รัชทายาท ไม่ใช่ฮองเฮาและตระกูลหวัง ด้วยองค์รัชทายาทมีสายเลือดของราชวงศ์ไหลเวียนอยู่ เป็นคนของราชวงศ์ และเป็นหลานแท้ๆ ของไทเฮา
“ถาวซื่อ เจ้าอยากเป็นฮองเฮาอย่างนั้นหรือ?” ฉับพลันนั้นไทเฮาก็เอ่ยถาม
ถาวจวินหลันคล้อยตามเล็กน้อย พอเจอกับสายตาเฉียบคมของไทเฮาที่มองทะลุจิตใจคนได้ สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้เลือกหลบหลีก แต่กลับยิ้มยอมรับอย่างใจกว้าง “ย่อมต้องคิดอยู่แล้วเพคะ จะมีสตรีคนใดบ้างไม่อยากเป็นฮูหยินมีหน้ามีตา? ก่อนหน้านี้เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อตอนนี้มีโอกาสแล้ว หม่อมฉันย่อมต้องคิดเป็นแน่เพคะ ข้าอยู่กับท่านอ๋องมานานหลายปี หม่อมฉันเคยลองคิดว่านอกจากหม่อมฉันแล้ว คนอื่นไม่มีทางข้ามหม่อมฉันไปได้เพคะ”
“เจ้าช่างมุ่งมั่นเอาชนะเสียจริง” ไทเฮามีทีท่าคล้ายยิ้ม “มิน่าเล่าเจ้าถึงไม่มีท่าทีใส่ใจตำแหน่งชายาเอกนัก เกรงว่าเจ้าคงจะวางแผนคว้าตำแหน่งที่สูงกว่ามานานแล้ว ข้ามองเจ้าไม่ผิดจริงๆ เจ้าเป็นคนทะเยอทะยานนัก ก่อนหน้านี้เจ้าปิดบังได้ดี แม้แต่ข้าก็เกือบเชื่อไปแล้ว”
ถาวจวินหลันไม่ปฏิเสธและไม่ยอมรับ “หากเป็นสตรีนางอื่น ไทเฮาถามเช่นนี้ แล้วนางพูดว่าไม่ยินยอม ย่อมต้องโกหกป็นแน่ หม่อมฉันก็แค่คิด ไม่ได้ทำอะไรไม่ดี คิดเช่นนี้ก็คงไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เพคะ?”
ถาวจวินหลันพูดอย่างเปิดเผย ทว่าไทเฮากลับตกใจเล็กน้อย แต่ก็แอบซ่อนเอาไว้ในใจ ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า ด้วยเคยนั่งตำแหน่งฮองเฮามาก่อน นางย่อมต้องรู้อย่างชัดแจ้ง ว่าผู้หญิงทุกคนล้วนต้องอิจฉาและหวังตำแหน่งนั้น วันนี้หากเปลี่ยนเป็นสตรีของหลี่เย่สักคนหนึ่ง ก็จะต้องคาดหวังอย่างแน่นอน ถาวจวินหลันไม่ได้โกหก
ส่วนเรื่องที่ถาวจวินหลันพูดว่าไม่เคยทำเรื่องไม่ดี ไทเฮาก็เพียงแค่ยิ้มรับผ่านไปเท่านั้น เส้นของผู้นำไฉนเลยจะไม่เปื้อนคาวเลือด? เพียงแค่พูดให้น่าฟังเท่านั้นเอง
แต่ไทเฮาก็ไม่ได้ถามนางอีก เพียงแค่พูดประเด็นหลัก “พูดเถิด เจ้ามีแผนอะไร ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้าเก่งมากเพียงใด”
ถาวจวินหลันสูดลมหายใจเข้าลึก “ในเมื่อกู้ซีกลายเป็นจวงผินแล้ว ไทเฮาก็รู้ชัดแจ้งว่านางคงไม่มีเส้นทางชีวิตอื่นอีกแล้ว นางเป็นลูกสาวตระกูลกู้ หากนางได้รับความโปรดปราน จนกลายเป็นหวงกุ้ยเฟย คิดว่าตระกูลกู้ก็จะต้องเติบโตมีอำนาจไปด้วยแน่นอน นี่จะเป็นประโยชน์กับท่านอ๋องมากเพคะ อย่างไรคำพูดข้างหมอนก็ได้ผลมาก มีกู้ซีคอยพูดถึงท่านอ๋องในเรื่องดี ฮ่องเต้ก็จะยิ่งสนิทสนมกับท่านอ๋องมากขึ้นหลายส่วนเพคะ”
“ฮองเฮาคิดเรื่องนี้ได้นานแล้ว จึงหาวิธีกันกู้ซีเอาไว้” ไทเฮาหัวเราะเยาะ คิดเรื่องที่ตนเองอยากให้กู้ซีเข้าไปปรนนิบัติฮ่องเต้ แต่ผ่านไปไม่กี่วันกู้ซีก็ล้มป่วย สุดท้ายก็ไปไม่ได้แล้ว จึงหรี่ตาลง “หลังจากอี๋เฟยคลอดลูกชายออกมาแล้ว ก็ยิ่งรวบรวมพรรคพวกมากขึ้น เกรงว่ากู้ซีคงไม่มีโอกาสแล้ว”
ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของไทเฮา กู้ซีอยากได้รับความโปรดปราน แต่ยังมีฮองเฮาคอยขัดขวาง อี๋เฟยก็ยิ่งแล้วใหญ่ อย่างไรอี๋เฟยยังอยู่ฝั่งเดียวกับฮองเฮาและองค์รัชทายาท ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน กู้ซีไม่มีโอกาสแล้วจริงๆ
“ไทเฮา ท่านเองก็เคยพูดว่าซินหลันเหนื่อยสายตัวแทบขาด เช่นนั้นหม่อมฉันขอเสนอแนะเรื่องหนึ่ง ท่านว่า ให้อี๋เฟยมารับใช้ตอนประชวรเป็นอย่างไรเพคะ? พระวรกายของฮองเฮาและฮ่องเต้ไม่ค่อยดี องค์รัชทายาทก็ป่วยอยู่ ท่านเองก็ประชวร คิดว่านางจะต้องใจร้อนเหมือนถูกเผาเป็นแน่เพคะ และคงยอมสวดภาวนา งดอาหารประเภทเนื้อตราบจนกว่าฮ่องเต้หายประชวร และองค์รัชทายาทกลับมาเพคะ” ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ มองตาไทเฮาพลางถามเสียงเบาว่า “ท่านเห็นว่าอย่างไรเพคะ?”
ช่วงระยะเวลานี้จะพูดว่านานก็ไม่ได้นาน จะพูดว่าสั้นก็ไม่สั้น แต่เป็นการซื้อเวลาให้กับกู้ซี มากพอให้นางเข้าไปอยู่ในใจของฮ่องเต้ได้
ไทเฮาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง ยังไม่ทันออกศึกก็ได้รับชัยชนะ อีกทั้งยังสมเหตุสมผล
ฮ่องเต้เคยเอ่ยชมอี๋เฟยว่าจิตใจดีอยู่บ่อยครั้ง คนจิตใจดีอย่างอี๋เฟยจะต้องปรนนิบัติยามป่วยได้ไม่เลวแน่นอน ส่วนฮองเฮาที่สร้างบาปกรรมไว้มากมายนั้น ก็ควรต้องสงบเสงี่ยม และอยู่ชดเชยบาปกรรมเหล่านั้นให้ดี
สุดท้ายไทเฮาก็มองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง อดคิดไม่ได้ว่า ที่ถาวซื่อเดินมาถึงจุดนี้ได้ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเพราะมีข้อดีเกินคนอื่นจริง แต่แม้จะคิดว่าความหัวไวเป็นเรื่องดี แต่วันข้างหน้าก็บอกไม่ได้ว่าดีหรือไม่
ไทเฮาหลับตาลง แล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าไปบอกตวนอ๋องว่าอย่าเข้าวังหลวงหากไม่จำเป็น โดยเฉพาะวังหลัง แล้วก็อย่าให้เขาเผยความเก่งกล้าของตนเอง” มิเช่นนั้นเกรงว่าฮ่องเต้อาจสงสัยและหวาดระแวง
ถาวจวินหลันย่อมต้องเข้าใจนัยที่แฝงไว้ จึงรับคำอย่างหนักแน่น
ผ่านไปครู่หนึ่งถาวซินหลันก็พาซวนเอ๋อร์กลับมา พอเห็นทั้งสองดูสนิทสนมกันดี ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะไม่ได้ “ซวนเอ๋อร์สนิทสนมกับเจ้าเสียจริง”
ถาวซินหลันเองก็หัวเราะ “แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ ข้าเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กๆ หากเขาไม่สนิทกับข้า ก็เป็นเด็กลืมคุณมิใช่หรือเจ้าคะ”
ไทเฮาหยอกล้อกับซวนเอ๋อร์อยู่ครู่หนึ่ง บรรยากาศจึงดูครึกครื้น
ตอนที่กำลังหัวเราะครื้นเครงกันอยู่ ด้านนอกก็มีเสียงรายงานว่าจวงผินเสด็จมา
ไทเฮานิ่งไปครู่หนึ่ง มองดูถาวจวินหลันแล้วพูดว่า “รีบให้นางเข้ามาเถิด ข้างนอกหนาวนัก นางร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว เดี๋ยวอาการป่วยจะกำเริบอีก”
ถาวจวินหลันไม่ได้แปลกใจ แต่หลังจากไทเฮามองนางทีหนึ่งแล้ว นางก็เข้าใจจุดประสงค์ที่กู้ซีมา เกรงว่าจะเหมือนกับไทเฮา
นางก็คิดเย้ยหยันอยู่ในใจ หากเป็นแต่ก่อน ไทเฮาคงจะไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของนางขนาดนี้ และยิ่งไม่ไปใส่ใจไปช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างนางและตระกูลกู้ ไทเฮาเป็นเช่นนี้ก็อธิบายได้ว่าสถานะของนางดีขึ้นเหมือนเงาตามตัว?
ใช่แล้ว หลี่เย่เรียกร้องความยุติธรรมให้นาง ไทเฮาต้องเห็นความลำเอียงที่หลี่เย่มีต่อนาง รู้ว่านางส่งผลกระทบต่อหลี่เย่ ดังนั้นจึงจำต้องคำนึงถึงนาง สามารถเทียบได้กับทำโทษคนเลวกระทบคนดี ดังนั้นจึงทำได้แค่ลืมตาข้างปิดตาข้างเท่านั้น
แต่เพราะพวกนางประเมินนางต่ำจนเกินไป นางเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบมาแก้แค้นหลังเรื่องจบไปแล้ว ในเมื่อเรื่องนั้นจบไปแล้วตั้งแต่วันนั้น นางเองก็ไม่จำเป็นต้องไปพูดถึงอีก แต่พวกนางเป็นแบบนี้ มีแต่ทำให้นางคิดถึงเรื่องนั้นอยู่ทุกครั้ง นางจึงไม่พอใจมาก
เหมือนกับบาดแผลที่ตกสะเก็ดไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่อยู่ๆ ก็มีคนมาฉีกแผลนั้นออก แล้วก็กลายเป็นแผนสดคาวเลือด และยังให้เจ็บปวดอย่างมาก
กู้ซีเดินเข้ามา ถาวจวินหลันก็สังเกตเห็นว่านางดูผ่ายผอมและบอบบางกว่าเดิม ก่อนหน้านี้เป็นคนงามไฟประดับที่เหมือนแค่ลมพัดไฟก็ดับ แต่ตอนนี้ยิ่งเหมือนกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่เพียงแค่ใช้นิ้วแตะก็แตกร้าว
แต่กู้ซีเป็นเช่นนี้กลับยิ่งน่าค้นหามากขึ้น แต่เดิมที่ล้มป่วยมาตลอดจนระหว่างคิ้วชวนให้ดูเศร้าหมอง อีกทั้งร่างกายเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้คนอดสงสารไม่ได้ เวลาที่พูดคุยกับนางก็ต้องเบาเสียงลงบางส่วนอย่างควบคุมไม่ได้
ถาวจวินหลันคิดในใจ กู้ซีเป็นเช่นนี้ ทั้งอายุน้อยและรูปงาม แม้กระทั่งมีท่าทีลักษณะเหมือนกุ้ยเฟยที่สวรรคตไป ฮ่องเต้ไม่มีทางตัดใจทิ้งได้แน่นอน ขอเพียงแค่เวลาสักช่วงหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงอี๋เฟย แม้แต่ฮองเฮาเองก็ทำอะไรกู้ซีไม่ได้
มองจากมุมของจวนตวนชินอ๋องแล้ว เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องดี หากยืนอยู่ในมุมของสตรีคนหนึ่งแล้ว ถาวจวินหลันก็อดสงสารไม่ได้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ทุกเรื่องย่อมต้องมีสองด้าน เพียงแค่ดูว่าจะมองจากมุมไหนเท่านั้น?
ถาวจวินหลันยิ้มพลางทำความเคารพจวงผิน “จวงผินเหนียงเหนียง”
จวงผินก็ส่งยิ้มกลับไป ท่าทีดูขัดเขิน ราวกับแต่ก่อนไม่มีผิด “ชายารองถาว”
หลังจากเอ่ยทักทายกันแล้ว จวงผินก็ถอนหายใจ ค้อมตัวไปทางถาวจวินหลันอย่างหนักแน่น “ข้ารู้เรื่องที่ท่านแม่ของข้าทำแล้ว ชายารองถาวอย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย ท่านแม่ของข้าเพียงแค่สงสารข้าเท่านั้น อีกทั้งมีคนคอยยุยง นางเองก็หงุดหงิดเป็นอย่างมาก ข้าต้องขอโทษแทนท่านแม่ของข้าด้วย”
ถาวจวินหลันรีบเข้าไปประคองจวงผินเอาไว้ พูดว่า “ท่านอย่าทำเช่นนี้เลย เรื่องนั้นจบไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกเราไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีก มิเช่นนั้นจะทำลายความสัมพันธ์ของพวกเราเปล่าๆ”