ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 89 ผู้ร่วมงาน
หลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นขยำกระดาษไปแล้วไม่รู้กี่แผ่นต่อกี่แผ่น สุดท้ายก็มีแผ่นหนึ่งที่นางดูแล้วรู้สึกเข้าตาที่สุด
“หลีมู่ เอาแผ่นนี้แล้วกัน” ซูเหลียนอวิ้นยิ้มอย่างพอใจ นางรู้สึกว่าแผ่นนี้คงไม่ทำให้นางต้องขายหน้าผู้อื่น อย่างน้อยก็สวยกว่าสองสามแผ่นก่อนหน้าเยอะมากทีเดียว คงพอที่จะไม่ทำผู้อื่นรู้สึกรังเกียจได้แล้วกระมัง?
“เอ๊ะ? ได้เจ้าค่ะคุณหนู บ่าวจะรีบปิดซองให้คุณหนู” หลีมู่ลุกขึ้นยืนแล้วขยี้ตา จากนั้นจึงรับกระดาษแผ่นนั้นไว้
ตั้งแต่เที่ยงวันเป็นต้นมาจนถึงตอนบ่ายซูเหลียนอวิ้นไม่ได้หยุดพักเลย นางเขียนจดหมายฉบับนี้อยู่หลายรอบต่อหลายรอบ กองกระดาษเสียที่นางโยนทิ้งเอาไว้บนพื้น ตอนนี้เพียงก้มหน้าลงมองก็เห็นได้โดยง่ายแล้ว
หลีมู่แอบนึกขำในใจ หากนางไม่รู้แต่แรกว่าจดหมายฉบับนี้เป็นของหนานกงจวิ้นจู่ นางคงเข้าใจว่าคุณหนูของนางกำลังเขียนจดหมายรักให้ผู้ใดอยู่! เพราะสายตาและท่าทางที่จริงจังและมีสมาธิเช่นนี้ สำหรับซูเหลียนอวิ้นแล้วเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยากมากทีเดียว
ทว่าสำหรับกองกระดาษที่กองอยู่บนพื้น ตอนแรกหลีมู่วางแผนเอาไว้ว่า เมื่อซูเหลียนอวิ้นโยนทิ้งหนึ่งแผ่น นางก็จะเข้าไปเก็บทันทีและรวบรวมออกไปทิ้งทีเดียว ทว่าความเร็วในการโยนทิ้งของซูเหลียนอวิ้นนั้นเร็วกว่าหลีมู่ก้มตัวเก็บของเสียอีก! เพราะบางแผ่นซูเหลียนอวิ้นเขียนเพียงตัวเดียวก็รู้สึกไม่พอใจแล้ว นางจึงโยนทิ้งทันที
สุดท้ายหลีมู่เริ่มรู้สึกว่าเอวของตนใกล้จะหักเต็มทีแล้ว เพียงแค่นางก้มตัวก็รู้สึกเหมือนกระดูกหลังทั้งหลังของนางกำลังจะแยกออกเป็นส่วนๆ นางจึงไม่กล้าก้มตัวลงไปเก็บกระดาษถี่ๆ แบบนั้นอีก อีกทั้งเมื่อวานนางเพิ่งจะไปขึ้นเขาลงเขามา ตอนนี้นางจึงทั้งเหนื่อยทั้งง่วงเพราะว่ายังนอนหลับไม่เต็มอิ่ม
ดังนั้นแม้ว่าสติสัมปชัญญะสุดท้ายของนางจะบอกตัวเองว่าให้อยู่เป็นเพื่อนคุณหนูจนกว่าคุณหนูจะเขียนจดหมายเสร็จ ทว่าร่างกายของนางกลับฝืนต่อไปไม่ไหว ท้ายที่สุดไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่นางนั่งพิงขอบประตูแล้วหลับไป
“โอ๊ย!” ซูเหลียนอวิ้นบิดขี้เกียจ “หลีมู่เจ้าต้องเร่งคนเฝ้าประตูหน่อยฝั่งโน้นหน่อยว่าให้พวกเขารีบส่งจดหมายฉบับนี้ให้ถึงมือหนานกงจวิ้นจู่โดยเร็ว พวกเราตอบจดหมายกลับช้าไปวันหนึ่งแล้ว ห้ามเสียเวลากับอะไรอีกเด็ดขาด”
“เจ้าค่ะ…” หลีมู่พึมพำขึ้นเบาๆ จากนั้นก็รับคำ ทว่าตอนนี้นางอยากจะถามคำถามสักข้อ ว่าความสัมพันธ์ของคุณหนูกับหนานกงจวิ้นจู่คุ้นเคยกันถึงขั้นนั้นเลยหรือ ?”
เพราะโดยปกติแล้วคนทั่วไปจะเรียกนามว่าหนานกงจวิ้นจู่ แล้วทำไมคุณหนูของนางถึงได้เรียกชื่อจริงออกไปตรงๆ เช่นนั้น? แน่นอนว่าการเรียกชื่อออกไปตรงๆ ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่การเรียกแบบนั้นต้องเป็นการเรียกระหว่างคนที่สนิทชิดเชื้อกันมากๆ ถึงจะเรียกได้มิใช่หรือ…เพราะหากคนอื่นได้ยินเข้า ไม่รู้ว่าเขาจะนินทาลับหลังคุณหนูว่าอย่างไรอีก
หากไม่ว่าว่าคุณหนูไร้มารยาท ก็ต้องคิดว่าคุณหนูกำลังหาทางตีสนิทอยู่อีก
แต่พอนึกได้ว่าหนานกงจวิ้นจู่เป็นฝ่ายเขียนจดหมายมาหาคุณหนูก่อนเอง หลีมู่ก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องเล็กน้อยอย่างคำเรียกชื่อไม่ใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจอีก
เพราะถึงอย่างไรคุณหนูของตนรู้จักแม้กระทั่งเหล่ายอดฝีมือที่หลบซ่อนตัวห่างไกลจากความวุ่นวายบนโลกได้ ดังนั้นแค่จวิ้นจู่ธรรมดาคนหนึ่งจะมีอะไรให้น่าแปลกใจนักหนา เพราะหากเปรียบเทียบระหว่างโลกทัศน์ของนางกับของคุณหนูแล้ว ถือว่ายังห่างชั้นกันอยู่มากนัก
ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้เลยว่าหลีมู่ได้คิดไปไกลถึงขนาดนี้แล้ว เพราะตอนนี้ในหัวของนางเพียงครุ่นคิดว่าจะเอ่ยปากกับอันเพ่ยอิงและคนอื่นๆ อย่างไรดีเกี่ยวกับเรื่องที่นางเชิญหนานกงมู่เสวี่ยมาร่วมงาน
เอ่ยตามตรง? ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าในใจ หากนางบอกไปตามตรงนางคงจะโดนท่านแม่และท่านย่าของตนไล่ต้อนถามจนจนมุม หรือจะโกหก? ก็เป็นสิ่งที่นางทำไม่เป็น…พอคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซูเหลียนอวิ้นจึงตัดสินใจได้ว่าพูดออกไปตามตรงจะดีกว่า หากถึงตอนนั้นทนไม่ไหวจริงๆ ค่อยอ้างว่าป่วยไปก็แล้วกัน
เพราะหูของนางมิอาจทานทนกับการไล่ต้อนถามอันน่าทรมานใจเช่นนั้นได้
……
บนโต๊ะอาหาร ยังไม่ทันจะได้เริ่มกินข้าวสักคำ อันเพ่ยอิงก็เริ่มเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวังถึงเรื่องวันงานพิธีปักปิ่นของซูเหลียนอวิ้นแล้ว
อันเพ่ยอิงเอ่ยหยั่งเชิงซูเหลียนอวิ้นอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นลูกสาวของตนอารมณ์แจ่มใสไม่เลวก็สบายใจขึ้นมา
นางรู้ดีว่าลูกสาวของตนเป็นคนดื้อรั้นเอาแต่ใจตลอดมา หากรู้ว่าตนเชิญมาได้เพียงลูกสาวเรือนเล็กทั้งสองคน อันเพ่ยอิงกลัวอย่างยิ่งว่าซูเหลียนอวิ้นขว้างตะเกียบทิ้งและชักสีหน้าขึ้นมา
“อวิ้นเอ๋อร์” อันเพ่ยอิงเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง “แม่ไปเจอคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสองคนที่ยินดีจะมาเป็นผู้ดำเนินพิธีและผู้ถือถาดรองในงานของลูก…คือ แม้ว่าสองคนนั้นจะเป็นเพียงบุตรีของอนุภรรยา แต่ก็ถือว่าเป็นลูกสาวของตระกูลขุนนางที่มีเกียรติอย่างยิ่ง ดังนั้นอวิ้นเอ๋อร์…”
“บุตรีของอนุภรรยา?” ซูเหลียนอวิ้นยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ซูปั๋วชวนก็เป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วยแล้ว “เพ่ยอิง เจ้าเชิญคนอย่างไรกันถึงได้ไปเชิญลูกอนุภรรยามาได้? คนพวกนั้นมีความหมายว่ากระไร? นี่ถือเป็นการดูถูกตระกูลซูของเราหรือไม่? บุตรีของอนุภรรยาทั่วๆ ไปจะเหมาะสมมาเป็นผู้ร่วมงานของอวิ้นเอ๋อร์ได้อย่างไร?”
“ท่านพี่…” อันเพ่ยอิงลนลาน เดิมทีนางตั้งใจว่าจะเอ่ยเรื่องนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ผู้ใดจะคิดว่าจะโดนสามีของตัวเองยกเอาประเด็นที่พวกนางเป็นแค่บุตรีของอนุภรรยากล่าวออกมาตรงๆ เช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นตระกูลขุนนางที่มีเกียรติ แต่ก็เป็นเพียงลูกอนุภรรยาเท่านั้น
“มิผิด” หวังฉือหวนได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นพลางวางตะเกียบลงเสียงดัง “ปัง” ด้วยสีหน้านิ่งขรึมเช่นเดียวกัน “ครั้งนี้ลูกข้าเอ่ยได้ถูกต้อง แค่บุตรีของอนุภรรยาธรรมดา ตระกูลซูของพวกเรามิใช่ตระกูลธรรมดา ฮูหยิน ครั้งนี้เจ้าจัดการเรื่องนี้ได้ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย!”
หวังฉือหวนเหลือบมองอันเพ่ยอิงคราหนึ่งด้วยสายตาที่ไม่ต้องเอ่ยก็เข้าใจถึงความหมาย
อันเพ่ยอิงตั้งท่าจะเอ่ยปากโต้ตอบแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากตอบโต้ไปว่าอย่างไรดี เพราะนางเองก็รู้ว่าเรื่องนี้จะต้อง…แต่ครั้งนี้นางก็หมดหนทางแล้วจริงๆ ตอนนั้นเองสายตาของนางจึงปรากฏแววตาจากการที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เกิดเป็นประกายวิบไหว ราวกับน้ำตากำลังจะไหลลงมา
ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ กินอาหารคำสุดท้ายที่อยู่ในถ้วยแล้วเช็ดปาก เมื่อเห็นบรรยากาศอึกอักบนโต๊ะอาหารจะกระแอมเบาๆ พยายามที่จะคิดหาเหตุผลออกมา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ไม่ต้องกังวลใจแทนลูกหรอกเจ้าค่ะ ลูกกำหนดคนที่จะมาร่วมงานไว้เรียบร้อยแล้ว”
“กำหนดไว้แล้ว?” อันเพ่ยอิงเบิกตาโพลงจ้องไปที่ซูเหลียนอวิ้น “เป็นคุณหนูจากตระกูลใดกัน?”
ตอนนี้อวิ้นเอ๋อร์มีเพื่อนสนิทร่วมเรียงเคียงหมอนด้วยหรือ? ทำไมคนเป็นแม่เช่นนางกลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อย?
ดังนั้นสุดท้ายแล้วเป็นนางเองที่ไม่รู้จักลูกสาวตัวเองดีเพียงพอ…แม้แต่เพื่อนสนิทของลูกสาวตัวเองก็ยังไม่รู้? พออันเพ่ยอิงคิดถึงตรงนี้ ในใจของนางพลันบังเกิดความรู้สึกที่หลากหลายผสมผสานหลอมรวมกัน
“เพื่อนช่วยดำเนินพิธีลูกตั้งใจว่าจะเชิญคุณหนูสามของตระกูลรองราชเลขากรมยุทธการ ส่วนผู้ถือถาดรองลูกตั้งใจว่าจะเชิญหนานกงจวิ้นจู่เจ้าค่ะ” เมื่อสิ้นเสียงบรรยากาศในห้องพลันเงียบสงัด
“น้องหญิง” ซูมั่วเยี่ยที่นั่งเงียบมาโดยตลอดเอ่ยทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนี้ขึ้น “ที่น้องหญิงบอกว่าคุณหนูสามของตระกูลรองราชเลขากรมยุทธการ…ใช่คุณหนูที่อยู่เป็นเพื่อนเจ้าในงานฉลองวสันตฤดูหรือไม่? นี่ถือว่าเป็นการเลือกที่ไม่เลวเลย แต่…สำหรับหนานกงจวิ้นจู่” ซูมั่วเยี่ยเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดลง จากนั้นจึงไม่เอ่ยอะไรไปอีกพักใหญ่
“จริงด้วยอวิ้นเอ๋อร์ หากเป็นหนานกงจวิ้นจู่…” แม้ว่าซูปั๋วชวนจะเป็นคนห่ามๆ ไม่สนใจอะไร แต่เรื่องนี้เขากลับเข้าใจดี แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยได้ยินว่าหนานกงจวิ้นจู่กับลูกสาวของตนมีสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน ดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องที่นางจะมาเข้าร่วมในงานพิธีสำคัญอย่างพิธีปักปิ่นเลย