ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 71 ล่าสัตว์
“ในตอนที่ข้าหยุดมือเมื่อครู่นี้ เจ้าสามารถโจมตีข้าได้นี่ เจ้ามิอยากชนะหรือ” หรงซู่ทำเสียงแข็ง บนสีหน้าไม่มีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏอย่างเมื่อครู่อีกต่อไปแล้ว
“ข้า…” ซูเหลียนอวิ้นพึมพำอยู่กับตัวเอง แต่กลับมิรู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี
“ช่องโหว่เมื่อครู่ของข้าชัดเจนยิ่งนัก ต่อให้ไม่ใช่เจ้า แต่เป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีความสามารถอะไรเลยก็คงจะไม่ปล่อยโอกาสนั้นให้หลุดลอยไปอย่างแน่นอน แต่ทำไมเจ้าถึงไม่ลงมือ?” หรงซู่บีบเค้นต่อ ไม่เว้นช่องว่างให้ซูเหลียนอวิ้นได้ตั้งตัว
ซูเหลียนอวิ้นเงียบงัน ทั้งๆ ที่เมื่อครู่นางอยากเป็นฝ่ายกำชัย แต่เหตุใด…
อีกทั้งหรงซู่ได้เผยช่องโหว่ที่ชัดเจนให้นางถึงขนาดนี้แล้ว แต่นางกลับหยุดฝีเท้าลง ปล่อยให้ตนเองพลาดโอกาสนั้นไปอย่างเปล่าประโยชน์
เมื่อหรงซู่เห็นสีหน้าของซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ หดเล็กลงไปเรื่อยๆ ก็ถอนหายใจ แล้วยื่นมือออกไปดึงนางเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าใจอ่อนเกินไป”
หรงซู่รู้ดีว่าเมื่อครู่ตนอาจมีท่าทีที่เข้มงวดจนเกินไป แต่ความจริงใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ด้วยสถานการณ์ของซูเหลียนอวิ้นแล้ว ย่อมไม่สามารถปล่อยให้นางใจอ่อนเช่นนี้ได้อีกต่อไป
ซูเหลียนอวิ้นเองก็ถอนใจตาม แม้ว่าช่องโหว่เมื่อครู่จะสามารถทำให้นางกำชัยได้ แต่หากนางลงมืออย่างไม่ระมัดระวังแล้ว มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะแทงโดนหรงซู่เข้าจริงๆ ด้วยเหตุนี้นางจึงเลือกการหยุดฝีเท้า
นางเข้าใจดีที่หรงซู่ตำหนินางว่าใจอ่อน เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดกับหยางอวี้หลินและหยางอวี้ฉินในวันนั้น แม้ว่านางจะสั่งสอนพวกเขาอย่างโหดเ**้ยม แต่นางก็ยังคงเหลือโอกาสให้กับพวกเขา ไม่ได้จัดการอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
สำหรับหยางอวี้หลิน ตัวนางเพียงต้องการทำให้นางอับอาย ส่วนหยางอวี้ฉิน ตัวนางก็เพียงต้องการข่มขู่ให้เขาหลาบจำเท่านั้น
เพราะหากนางต้องการให้พวกเขาได้รับบทเรียนและกำจัดแบบถอนรากถอนโคนจริง สิ่งที่นางจะทำก็คงไม่ใช่การลงมือเพียงเท่านี้
ตอนนี้หยางอวี้ฉินก็ยังคงพูดคุยได้ตามปกติ ส่วนหยางอวี้หลินก็เพียงได้รับการสั่งสอนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
แต่ใครจะสามารถรับประกันได้ว่าหลังจากที่หยางอวี้ฉินหายดีแล้วจะไม่กลับมาแว้งกัดนางอีกรอบ? เพราะสิ่งที่นางลงมือในวันนั้นนับว่ารุนแรงพอตัว อีกทั้งใครจะรับประกันว่าหยางอวี้หลินจะสำนึกได้ว่าตัวเองนั้นเป็นฝ่ายผิด และไม่ได้กลับไปเตรียมแผนร้ายกาจไร้ที่ติไว้เพื่อกลับมาเล่นงานนางอีก? เพราะถึงอย่างไรพี่สาวของพวกเขาทั้งสองก็เป็นถึงพระสนมกุ้ยเฟย
นั่นจึงเป็นเรื่องของโชคชะตาที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
เนื่องจากในครั้งนี้หยางอวี้หลิงไม่ได้เอาโทษกับนางถึงขั้นให้เจ็บตัวรุนแรงนักและปล่อยตัวนางกลับมา แต่สุดท้ายแล้วคงจะเป็นการปล่อยเสือเข้าป่า หรือโปรดสัตว์ได้บาปเสียมากกว่า
“เจ้าเป็นเช่นนี้เสมอ มีกำลังเหลือล้นแต่มีแรงจูงใจไม่มากพอ ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เจ้ากลับหยุดมือ” หรงซู่เอ่ยขึ้น “แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าเกรงว่าเจ้าจะพบกับความลำบากสาหัสยิ่งกว่า”
ก็ใช่ หรือความเมตตาสงสารอาจเป็นสิ่งที่สืบทอดต่อกันมาของคนในจวนแม่ทัพ ไม่ว่าซูเหลียนอวิ้นจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ก็มักจะให้โอกาสพวกเขาเสมอ นางเป็นคนประเภทที่ว่าไม่บีบให้มั่น ไม่คั้นให้ตาย เพราะวันหน้าอาจจะมีวันเวลาดีๆ ร่วมกัน ทว่าหากได้พบกันอีกครั้ง จะรับรองได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายจะจดจำได้ว่าเราเคยให้โอกาสเขา แล้วเขาจะยอมปล่อยเราไป?
“ช่างเถิด” เมื่อหรงซู่เห็นซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าก้มตาไม่เอ่ยคำเช่นนี้ ก็เริ่มคิดทบทวนตัวเอง อวิ้นเอ๋อร์ยังเด็ก อีกทั้งเรื่องราวใดๆ ในโลกล้วนต้องพัฒนาไปตามขั้นตอน เรื่องกะทันหันอย่างเช่นในตอนนี้…ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า
“อวิ้นเอ๋อร์ เจ้าหิวหรือไม่”
พอซูเหลียนอวิ้นได้ยินคำถามนี้จึงเงยหน้าขึ้น เมื่อครู่บรรยากาศยังอึดอัดอยู่เลย เหตุใดจู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนเป็นเรื่องนี้ได้? แต่เมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้…ซูเหลียนอวิ้นก็เริ่มรู้ตัวว่าตนเองหิวอยู่จริงๆ
“หิวหรือ?” รอยยิ้มเดิมของหรงซู่กลับคืนมาอย่างเก่า “อาจารย์เองก็หิวเช่นกัน อวิ้นเอ๋อร์ ในเมื่อครู่นี้เจ้าเป็นฝ่ายแพ้ เช่นนั้นเจ้าต้องทำตามเงื่อนไขของข้า นั่นก็คือออกไปล่าสัตว์แล้วนำกลับมาที่นี่ พวกเราจะได้กินด้วยกัน”
“หา? เพราะเหตุใดกัน?” ซูเหลียนอวิ้นขมวดคิ้ว ถ้าหิวก็ไปกินอาหารเจของวัดสิ เหตุใดจะต้องออกไปล่าสัตว์ด้วย
เมื่อหรงซู่มองหน้าซูเหลียนอวิ้นก็เข้าใจความในใจของนาง เขาจึงเอ่ยว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าหากเจ้าลงจากภูเขาไปตอนนี้ เมื่อไปถึงวัดแล้วจะยังเหลืออาหารเจไว้ให้เจ้ากินอยู่อีก?”
เพราะในตอนนี้ตะวันทอแสงเพียงน้อยนิด อีกทั้งหากลงเขาจากตรงนี้ย่อมยากกว่าขาขึ้นมามากหากนางลงเขาไปแล้วรีบกลับไปที่วัด ถึงตอนนั้นอาหารคงจะหมดไปนานแล้ว!
“ดังนั้น อวิ้นเอ๋อร์ ตอนนี้มิสู้เจ้ารีบไปล่าสัตว์แล้วรีบกลับมาจะดีกว่า พวกเราจะได้รีบปรุงอาหารแล้วกินกัน มิเช่นนั้นขืนรอจนฟ้ามืดแล้วเจ้าค่อยออกไปล่าสัตว์ เกรงว่าถึงตอนนั้นเหยื่อจะเป็นฝ่ายตามล่าเจ้าเสียมากกว่า” หรงซู่มองนางด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
“แต่ ท่านอาจารย์ ข้าไม่เคยล่าสัตว์มาก่อนเลยนะ!” ซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนั้นก็เริ่มชักสีหน้า “ท่านอาจารย์เปลี่ยนเงื่อนไขดีหรือไม่?”
หรงซู่ส่ายหน้า “ไม่ได้ ตอนที่เจ้าขึ้นเขามาก็คงจะเห็นแล้วว่าอาจารย์ไม่ได้ลงเขามานานแล้ว ดังนั้นเสบียงอาหารที่นี่จึงไม่มีเหลือแล้ว อาจารย์รอให้เจ้ามาในวันนี้ก็เพื่อที่เจ้าจะได้ไปล่าสัตว์มาให้ อีกทั้งอาจารย์สามารถทนความหิวได้ แต่สำหรับอวิ้นเอ๋อร์แล้ว เจ้าทนได้หรือ?”
ทนไม่ไหว
นภาแผ่ไพศาลผืนดินกว้างใหญ่ แต่เรื่องกินกลับใหญ่กว่า มนุษย์คือแร่เหล็ก อาหารนั้นไซร้คือเหล็กกล้า ไม่กินข้าวแม้แต่มื้อเดียวจะทำให้หิวจนแทบทนไม่ได้ อีกทั้งเมื่อครู่นางใช้ทั้งสมองและใช้กำลัง ซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้จึงหิวจนท้องแทบจะแบนไปติดกับแผ่นหลังอยู่แล้ว
หรงซู่ไม่พูดไร้สาระอะไรกับนางต่ออีก จากนั้นจึงยื่นมือไปหยิบกระบี่เหยี่ยนชิงที่ปักอยู่กับพื้นขึ้นมาแล้วส่งไปที่มือนาง “ข้าให้เจ้ายืมกระบี่เหยี่ยนชิง ดังนั้นตอนนี้เจ้ารีบไปล่าสัตว์เถิด อย่าลังเลอีกต่อไปเลย”
ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นเองก็รู้ว่าตนติดกับหรงซู่เข้าให้แล้ว นางจึงโกรธจนแก้มสั่นระริก แต่พยายามข่มไว้แล้วตัดสินใจออกไปล่าสัตว์
เนื่องจากหรงซู่เป็นคนปากร้ายและชอบขัดคอนาง ทว่าคำพูดของเขานั้น หากเอ่ยว่ามีเพียงหนึ่งก็มีเพียงหนึ่ง มีสองก็มีสอง หากวันนี้เขาพูดว่านางล่าสัตว์ไม่ได้จะไม่ได้กินข้าว ดังนั้นหากวันนี้นางไม่ไป นางก็จะไม่ได้กินข้าวอย่างแน่นอน…
หรงซู่มองเงาด้านหลังของนางที่โกรธจนเนื้อเต้นและเดินไปกระทืบเท้าไปบนพื้นจนพื้นแทบจะเป็นหลุมลงตรงหน้านั้นก็หัวเราะขึ้น ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาจะทำใจแข็งอยู่ได้หรือไม่
ตะวันค่อยๆ ลาลับตีนเขา ความมืดค่อยๆ ปกคลุมนภา ดังนั้นตอนที่หรงซู่กำลังจะลงไปตามหาซูเหลียนอวิ้นอยู่นั้น ซูเหลียนอวิ้นก็อุ้มกระต่ายตัวหนึ่งกลับมาพอดี
เมื่อหรงซู่เห็นสภาพซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ คิ้วของเขาพลันเลิกสูงขึ้นแล้วเอ่ยว่า “อวิ้นเอ๋อร์ อาจารย์ให้เจ้าไปล่าสัตว์ แถมยังให้เจ้าเดินไปมิใช่หรือ? แต่ดูท่าเจ้าแล้ว เหมือนเจ้าจะกลิ้งลงเขาไปมากกว่า เหตุใดเสื้อผ้าของเจ้าถึงเป็นเช่นนี้ได้?
ชุดที่ซูเหลียนอวิ้นใส่ในวันนี้เป็นชุดสีฟ้าอัญมณี ทว่าสีฟ้าอัญมณีในยามนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นสีฟ้าน้ำหมึก ฟ้าบ้างดำบ้าง แถมเสื้อผ้าชุดนั้นขาดด้านซ้ายรูหนึ่ง ขวารูหนึ่ง ดูจากสภาพแล้วน่าอนาถยิ่ง
“อวิ้นเอ๋อร์แล้วเจ้าล่ากระต่ายมาได้เพียงตัวเดียวแค่นั้นหรือ? อันที่จริงข้าเองก็ไม่ได้ให้เจ้าไปล่าเสือ เหตุใดเจ้าจึงหมดสภาพเช่นนี้?”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินน้ำเสียงดูถูกของหรงซู่เช่นนี้อารมณ์ของนางจึงเริ่มเดือดปุดๆ ขึ้นมา “ข้าล่าได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว! ท่านอาจารย์ลองไม่หยุดดูถูกข้าอีกสักคราดูสิ!”