ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 49 ตะกละ
ต้วนเฉินเซวียนอยู่ห่างจากพวกนางค่อนข้างไกล ทว่ากลับเห็นพวกนางได้อย่างชัดเจน เขาสวมเสื้อคลุมสีดำเข้ม ทว่าท่ามกลางสีดำสลับขาว อ่อนสลับเข้มนั้น ซูเหลียนอวิ้นจึงหันหน้าไปมองหนานกงมู่เสวี่ยอีกครั้ง ตอนนั้นเองจึงคิดว่าพวกเขาทั้งสองเหมาะสมกันเป็นอย่างยิ่ง
ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้น ซูเหลียนอวิ้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ในชาตินี้นางไม่มีโอกาสเข้าใกล้ต้วนเฉินเซวียนมากนัก มิสู้อวยพรให้เขาและหนานกงมู่เสวี่ยในตอนนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนหนานกงมู่เสวี่ยในชาติก่อนที่เคยดูแลตนอยู่บ้าง
ขอให้พวกเขาทั้งสองคนมีความสุข
จากนั้นจึงมองคนทั้งสองด้วยสายตา ขอให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกัน จากนั้นจึงค่อยๆ หลบออกไป
แต่สิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ก็คือ ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนกำลังมองนางอยู่จากอีกด้านหนึ่ง
สายตาของเขาย่อมเฉียบคมกว่าของซูเหลียนอวิ้น เมื่อเขาเห็นซูเหลียนอวิ้นแอบมองก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร ทว่าตอนที่มองเห็นสายตาของซูเหลียนอวิ้นชัดๆ อีกครั้ง กลับรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาอีก
สายตาอะไรของนาง มันหมายความว่าอย่างไร!
อวยพรเขากับหนานกงมู่เสวี่ยหรือ ยายแมวขนพองตัวนี้หมายความว่าอย่างนี้หรือ ต้วนเฉินเซวียนกำลังจะมองนางอย่างละเอียดอีกครั้ง น่าเสียดายที่คราวนี้ซูเหลียนอวิ้นทิ้งเพียงเงาไว้เบื้องหลังให้เขามองเท่านั้น
“กลับมาแล้วหรือ” หลินเหวินเสี่ยวเอ่ยขึ้นขณะเงยหน้ามองซูเหลียนอวิ้นที่กำลังเดินมาอย่างช้าๆ “คะแนนสุดท้ายของเจ้าให้ผู้ใดไปหรือ พวกเรามาลองเดากันดูหน่อยไหม” หลินเหวินเสี่ยวทำสีหน้าตื่นเต้น เพราะนางคิดว่าคะแนนสุดท้ายที่นางให้ไปนั้น เลือกได้ไม่เลวทีเดียว!
“ข้าให้คะแนนไปส่งๆ เท่านั้น” ซูเหลียนอวิ้นฝืนยิ้ม “เลยไม่ทันดูว่าให้อันไหนไป แค่ใส่ไปมั่วๆ เท่านั้นเอง”
เรื่องบางเรื่อง นางมิอาจพูดและไม่อยากพูด เพราะหากพูดออกไปแล้วผู้คนอาจคาดไม่ถึง อีกทั้งตอนนี้ความรู้สึกของนางที่มีต่อหลินเหวินเสี่ยวก็ยังไปไม่ถึงขั้นที่จะไว้ใจนางได้หมดทั้งใจ จึงมิอาจพูดทุกเรื่องราวแก่นางได้
แต่ความรู้สึกเวลาที่มีเรื่องบางเรื่องอัดอั้นไว้ในใจมิอาจระบายกับใครได้นั้น ช่างไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าตนคงทำได้เพียงค่อยๆ ระงับอารมณ์ลงด้วยตัวเอง ตอนนี้แม้แต่คำพูดเดียวนางก็ไม่อยากจะปริปากพูด
เมื่อหลินเหวินเสี่ยวเห็นซูเหลียนอวิ้นมีท่าทีกังวลใจเช่นนี้ก็ปิดปากเงียบ และคิดว่าคงจะเป็นเพราะอาการตกค้างที่เกิดจากอากาศร้อนเมื่อครู่กระมัง เพราะเมื่อครู่พวกนางยืนรับแสงอาทิตย์ที่แผดเผาร้อนระอุอยู่เป็นเวลานาน ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นคงไม่สบายตัวมากทีเดียว นางจึงคิดในใจว่าอยากจะหาของจำพวกน้ำเย็นมาดับร้อนให้ซูเหลียนอวิ้น
ไม่นานนัก ขันทีก็ได้คิดคะแนนเสร็จเรียบร้อยแล้วประกาศผล
อันดับแรกจะเป็นของใครไปเสียมิได้นอกจากของหนานกงมู่เสวี่ย ซูเหลียนอวิ้นนั่งฟังการประกาศผลแต่ละอันดับ อืม…ตัวนางนั้นได้ลำดับที่สามสิบสี่? พอไหวน่า อย่างน้อยก็ไม่ได้อยู่อันดับบ๊วยสุด ซึ่งถือว่าใช้ได้มากแล้ว
แม้เป็นเรื่องธรรมดาเช่นนี้ ก็ทำให้นางพอใจได้
ทว่าผู้อื่นกลับไม่ได้คิดเช่นเดียวกัน เพราะการแข่งขันประเภทนี้ไม่ว่าจะเป็นครั้งใดซูเหลียนอวิ้นต้องได้อันดับบ๊วยสุดเสมอ! แต่ครั้งนี้กลับมิได้อันดับท้ายสุด? นี่มันไม่แปลกไปหน่อยหรือ แต่เมื่อมาคิดถึงการให้ทุกคนลงคะแนนอย่างอิสระและค่อยนับคะแนนในตอนท้าย จึงบังเกิดความคิดบางอย่างในหัวแล้วถอนหายใจ
ต้องเป็นเพราะนางใช้เสน่ห์เพทุบายเป็นแน่ หรือไม่ก็เป็นเพราะใช้ฐานะของนางบังคับให้ผู้อื่นลงคะแนนให้! หาไม่แล้วนางจะต้องอยู่อันดับสุดท้ายแน่นอน!
ยังดีที่ตำแหน่งที่นั่งของซูเหลียนอวิ้นนั่งอยู่ค่อนไปทางด้านหลัง จึงมีเพียงแค่สายตาไม่กี่คู่เหลือบมองมาเล็กน้อย แต่ก็กล้าเพียงหันมามองคราหนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็รีบหลบตาไป ไม่กล้ามองอีก
เพราะหากมองมาทางด้านนี้ก็จะมีดวงตาสองคู่สี่ลูกตาพร้อมจ้องมองกลับด้วยสายตาสุกใส เป็นการทดสอบว่าผู้ใดบ้างที่จะทนมองต่อไปไหว!
หลินเหวินเสี่ยวส่งเสียงถอนใจ “คนไม่กี่คนนี้ หากมีฝีมือก็มาสู้กันตัวต่อตัวสิ มาแอบด้อมๆ มองๆ แบบนี้มันได้เรื่องที่ไหนกัน” กล่าวได้ว่าสายตาของหลินเหวินเสี่ยวนั้น หากเทียบกับซูเหลียนอวิ้นที่เป็นฝ่ายโดนจ้องแล้ว ถือว่าร้ายกาจกว่ามากนัก!
“เหวินเสี่ยว” ซูเหลียนอวิ้นเอียงศีรษะมาแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าหลบตาบ้างก็ได้ นี่ตาเจ้าไม่ล้าบ้างเลยหรือ” นางมองจนรู้สึกล้า เพราะว่าต้องเบิกตากว้างไว้ขนาดนั้น
“พอไหว” หลินเหวินเสี่ยวกะพริบตา “ไม่ล้าเท่าไหร่”
ซูเหลียนอวิ้น “…”
ตามใจนางก็แล้วกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นค่อนข้างจะน่าเบื่อ บรรดาสตรีแต่ละนางต่างงัดเอาความสามารถที่โดดเด่นของตนออกมา ไม่ว่าจะเป็นวิชาดีดพิณ หมากล้อม เขียนพู่กันจีนและวาดภาพครบทุกด้าน บรรยากาศของการประลองเต็มไปด้วยความเข้มข้น ทั้งหมดนี้คล้ายเป็นพลังงานลึกลับที่แทบจะกลบความงดงามตระการตาของสีสันภายในงานไป
ทว่าซูเหลียนอวิ้นกลับมองดูรอบๆ อย่างผ่อนคลาย เพราะอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับนางอยู่แล้วมิใช่หรือ ทั้งยังไม่มีใครมาหาเรื่องนางอีก ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกสบายอารมณ์ เป็นเพราะทุกคนที่อยู่ในการประลองต่างรู้ว่าซูเหลียนอวิ้นทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง หากต้องการจะท้าประลองกับใครก็คงไม่เลือกนาง เพราะหากเลือกประลองกับนางแล้ว นั่นจะเท่ากับประลองกับยอดวรยุทธ์ผู้หนึ่ง หากอยากจะประลองก็คงจะไปประลองกับปัญญาชนที่มีร่างกายอ่อนแอพวกนั้นจะดีกว่า
นางรู้สึกเหมือนว่าตนเป็นพวกที่ชอบรังแกผู้อื่น และพฤติกรรมเช่นนี้ล้วนไม่มีใครอยากเอ่ยถึง เพราะมองแค่ปราดเดียวก็รู้ได้ถึงความในใจที่แฝงอยู่
ในขณะที่ซูเหลียนอวิ้นกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น นางจึงรู้สึกว่าของว่างในมือของตนยิ่งอร่อยมากขึ้น! เพราะการกินขนมของวังหลวงไปพลาง และเฝ้าสังเกตการณ์สถานการณ์รอบด้านไปพลาง จะมีอะไรเพลิดเพลินไปกว่านี้อีก?
“เหลียนอวิ้น เจ้าหิวมากเลยหรือ” พอหลินเหวินเสี่ยวเห็นท่าทีของซูเหลียนอวิ้นกินของว่างอย่างเบิกบานใจเช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “จานของข้ายังไม่ได้กิน เจ้าเอาไปกินเถิด เมื่อครู่ จู่ๆ ก็มีคนมาท้าประลองดนตรีกับข้า! น่ารำคาญยิ่ง! จะอยู่กันดีๆ ไม่ได้เลยหรือ”
พอซูเหลียนอวิ้นได้ยินหลินเหวินเสี่ยวพูดดังนี้จึงรีบกลืนของว่างลงคอไปแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้ารีบไปเถิด ต้องไปซ้อมกับเครื่องดนตรีก่อนมิใช่หรือ แสดงให้ดีๆ ข้าจะคอยให้กำลังใจเจ้าอยู่ด้านล่าง” พูดจบก็ค่อยๆ เลื่อนของว่างที่หลินเหวินเสี่ยวส่งมาให้ตนเมื่อครู่กลับไป
นางมีความอยากอาหารมากขนาดนั้นที่ไหนกันเล่า! แค่เมื่อเช้านางรีบมาจนไม่มีเวลากินข้าวเช้าก็เท่านั้น ตอนนี้จึงหิวมาก แต่ถึงแม้ว่ากระเพาะของนางจะใหญ่มากเพียงใด นางก็คงกินของว่างจานใหญ่ทั้งสองจานไม่ลง อีกทั้งหากมีคนเห็นว่าตรงหน้านางมีจานของว่างวางอยู่ถึงสองจาน ต่อไปคงจะขนานนามนางว่าเป็นพวกตะกละอีก! นางเองก็อยากมีชื่อเสียงดีๆ กับเขาบ้างเหมือนกัน
“เช่นนั้นข้าไปก่อนแล้ว” หลินเหวินเสี่ยวพยักหน้า
“ไปเถิดๆ” ซูเหลียนอวิ้นโบกมือให้
จากนั้น ซูเหลียนอวิ้นก็หันไปเผชิญหน้ากับของว่างที่ตั้งอยู่ตรงหน้าตนต่อ เพราะยังเหลืออยู่อีกครึ่งชิ้น กินครึ่งชิ้นที่เหลือให้หมดก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ทว่าตอนที่นางกำลังก้มหน้าลงไป ซูเหลียนอวิ้นพลันรู้สึกว่ามีสายตาอาฆาตจ้องตรงมาที่ตนเอง จึงรู้สึกอึดอัด เมื่อเงยหน้าขึ้นมาจึงได้ประสานสายตากับดวงตาคู่นั้น
หยางอวี้หลิง
หยางอวี้หลิงเห็นซูเหลียนอวิ้นที่อยู่ด้านล่างกำลังกินอย่างสบายอกสบายใจก็ยิ่งโมโห เป็นเพราะว่านางมีตำแหน่งเป็นกุ้ยเหริน จึงต้องระมัดระวังกิริยาของตนให้มากกว่าสตรีทั่วไป ทุกๆ วันนางกินอิ่มได้เพียงเจ็ดส่วนเท่านั้น แต่ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นกลับไม่สนใจรอบข้างแล้วกินอย่างสบายอกสบายใจ คงมิใช่ว่าตั้งใจจะยั่วโมโหนางอีกหรอกนะ?