ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 174 ขยัน
“มองแค่นิดเดียวก็ไม่ได้!” ต้วนเฉินเซวียนชูหมัดขึ้นขู่ “ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนี้ ใครก็ตามที่กล้าพูดจาเสียๆ หายๆ ข้าจะจำไว้ให้หมด แล้วคอยดูทีหลังก็แล้วกัน หึๆ …”
เมื่อหันชิงอวี่มองต้วนเฉินเซวียนที่มีท่าทางคล้ายจะยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเช่นนั้น เขาก็เริ่มขยับเก้าอี้ออกห่างมากขึ้นอีก ดูท่าแล้ววันนี้สมองของต้วนเฉินเซวียนคงไม่ค่อยปกติเท่าไหร่นัก! ขอแค่อาการนี้อย่าแพร่มาถึงเขาก็พอแล้ว! เพราะอาการเช่นนี้…คงไม่มียารักษาให้หายได้กระมัง
“เอาล่ะ! หยุดบ่นได้แล้ว!” หันชิงอวี่กระทุ้งต้วนเฉินเซวียนที่ยังไม่ยอมหยุดมองแล้วเอ่ยว่า “ชายาของท่านใกล้เริ่มร่ายรำเต็มทีแล้ว! ท่านจะมัวแต่คิดแค้นอยู่เช่นนี้ หรือว่าจะดูการแสดง?”
“ข้า…” ต้วนเฉินเซวียนชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงยื่นมือออกไปตบไหล่หันชิงอวี่เบาๆ “ชิงอวี่ สุดท้ายเจ้าก็รู้จักพูดจาน่าฟังเสียที”
“ฮะ?” หันชิงอวี่เลิกคิ้ว
นี่พี่ต้วนหมายความว่าอะไร?
“คำพูดเมื่อครู่ที่ว่า ‘ชายาของข้า’ เจ้าพูดได้มิผิดเลย!”
ไม่ผิดแน่ ชายาของเขา!
หันชิงอวี่ “…”
พี่ต้วนป่วยก็รีบไปรักษาเถิด! เมื่อครู่นี้เขาเพียงหลุดปากพูดไปมั่วๆ เท่านั้น…พี่ต้วนกลับยิ้มเลอะเลือนเช่นนี้ไปได้? ดูท่าแล้วคงต้องให้หมอหลวงหลี่สั่งยาให้จริงๆ แล้ว! แม้ว่าหมอหลวงหลี่จะไม่ชำนาญในการรักษาสมอง แต่ให้หมอหลวงหลี่ตรวจดูไว้ก่อนก็ไม่เสียหายอะไร!
“อวิ้นเอ๋อร์ สู้เขา” หลินเหวินเสี่ยวหันไปรับกระบี่ไม้จากมือของขันทีแล้วส่งให้ซูเหลียนอวิ้น “อย่าตื่นเต้นก็พอ!”
“ข้าไม่ตื่นเต้น”
ก็แปลกแล้ว!
ซูเหลียนอวิ้นแอบเช็ดเหงื่อที่กลางฝ่ามือของตน
ช่างเถิด อย่างไรก็เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว หายใจเข้าลึกๆ ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด!
“คุณหนูหลิน!” ด้านล่าง ซูมั่วเยี่ยมองไปยังหลินเหวินเสี่ยวด้วยสายตาร้อนใจแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “แม้ว่าอวิ้นเอ๋อร์จะเต็มใจก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้เอง แต่ทำไมเจ้าถึงไม่บอกพวกเราสักคำ!”
“เอ๊ะ?” หลินเหวินเสี่ยวเบี่ยงหน้าหันมาจึงเห็นสายตาของซูมั่วเยี่ยที่มีความโมโหระคนกังวลใจรวมอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นเองจึงเกิดควาไม่มั่นใจขึ้นมา นางเลยไม่ยอมหันไปมองซูมั่วเยี่ย “พวกเรา…อวิ้นเอ๋อร์บอกว่านางเอาอยู่! ข้าเชื่อนาง!”
“เชื่ออะไรกันเล่า!” ซูมั่วเยี่ยร้อนใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากอวิ้นเอ๋อร์แพ้ขึ้นมา ผลสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น!” ขุนนางเป็นร้อยชีวิตในราชสำนัก บรรดาตระกูลใหญ่ของต้าชั่วต่างอยู่ที่นี่ด้วยในตอนนี้ ทุกคนล้วนได้ยินคำพูดอวดดีของพวกนางทั้งสิ้น
ทั้งยังพูดอย่างน่าเชื่อถือว่าพวกนางจะต้องเป็นฝ่ายชนะได้แน่ หากชนะได้ก็เป็นเรื่องดี เพราะจะกู้ศักดิ์ศรีของต้าชั่วคืนมาและจะทำให้ลี่หยวนตี้ได้หน้าและชื่อเสียง ถึงตอนนั้นคงจะเป็นคุณูปการแก่คนทั้งต้าชั่ว
แต่หากแพ้ขึ้นมาเล่า? ได้โอกาสอีกครั้งหนึ่งแต่กลับพ่ายแพ้ ความพ่ายแพ้นี้เกรงว่าคงจะมิได้เป็นเพียงการพนันขันต่อระหว่างสตรีเสียแล้ว เพราะความพ่ายแพ้นั้นจะกลายเป็นความเสียหายของต้าชั่วแก่นานาประเทศ สิ่งที่นางจะต้องแบกรับไม่ได้มีเพียงความกราดเกี้ยวของลี่หยวนตี้แต่เป็นความกราดเกรี้ยวของคนทั้งต้าชั่ว ทั้งยังมีคำเยาะเย้ยมากมายของผู้ชมที่นี่ ซึ่งน้องสาวของเขาจะต้องเป็นผู้แบกรับเอาไว้เองทั้งหมดหากพ่ายแพ้!
“อวิ้นเอ๋อร์ อวิ้นเอ๋อร์จะต้องชนะแน่!” แม้ว่าหลินเหวินเสี่ยวจะกลัวท่าทางของซูมั่วเยี่ยในตอนนี้ แต่เมื่อเห็นเขาไม่เชื่อและดูถูกซูเหลียนอวิ้นเช่นนี้จึงซ่อนความหวั่นเกรงของตัวเองเอาไว้แล้วอธิบายกับเขาว่า “อวิ้นเอ๋อร์คือน้องของท่าน! หากแม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันแท้ๆ ยังไม่เชื่อถือนางและไม่เชื่อใจนางอีก คิดดูว่านางจะเสียใจมากขนาดไหน
“อย่างไรข้าก็เชื่อว่าเหลียนอวิ้นจะต้องชนะอย่างแน่นอน” หลินเหวินเสี่ยวจ้องตรงไปยังดวงตาของซูมั่วเยี่ยแล้วเอ่ยต่อว่า “ข้าเคยเห็นด้านที่นางมีความพยายามมากที่สุดมาแล้ว ดังนั้นข้ารู้ว่าความขยันของนางไม่ว่าจะเป็นด้านไหนก็ตามจะต้องไม่ด้อยไปกว่ากันอย่างแน่นอน คนขยันจะต้องได้รับผบตอบแทน หากท่านไม่เชื่อ ท่านก็คอยดูเหลียนอวิ้นเถิด”
ณ ใจกลางห้องโถง มือของซูเหลียนอวิ้นถือกระบี่ไม้เอาไว้ แขนของนางแกว่งไกวกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยท่าทางสง่าสงาม ท่วงท่าที่ชวนมอง สีหน้าของนางที่ผ่อนคลาย คล้ายไม่ได้เป็นท่าทางของคนที่กำลังอยู่ต่อหน้าผู้คนเป็นร้อยๆ ใจกลางห้องโถง แต่คล้ายว่า ณ พื้นแผ่นดินนี้มีนางเพียงคนเดียว
ไร้ความกังวลใดๆ ไร้ท่าทางแห่งความวิตกกังวลใจ ณ พื้นแผ่นดินนี้มีนางเพียงผู้เดียวเท่านั้น ในสายตาของซูเหลียนอวิ้นตอนนี้คล้ายว่ามีเพียงกระบี่ไม้ในมือของนางเพียงเล่มเดียวเท่านั้น ส่วนทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวนางล้วนไม่ได้อยู่ในสายตาของนางเลย
“สวยใช่หรือไม่” หลินเหวินเสี่ยวจ้องไปยังผู้ที่กำลังเคลื่อนไหวตัวไปมาอยู่ตรงกลางโถงแล้วเอ่ยขึ้นราวกับพึมพำกับตัวเอง “ท่านรู้อะไรหรือไม่ ในช่วงงานพิธีปักปิ่นของซูเหลียนอวิ้น สิ่งที่นางต้องท่องจำเช่นกฎระเบียบต่างๆ ที่ต้องปฏิบัตินั้นยากกว่าสิ่งที่นางต้องทำในตอนนี้มากนัก อีกอย่างผู้ที่มาร่วมงานพิธีปักปิ่นวันนั้นก็ไม่ถือว่าน้อยด้วย”
“ตอนนั้นมีบางขั้นตอนที่นางมักจะทำได้ไม่ดีนัก อันที่จริงก็ไม่ถือว่าไม่ดี เพียงแค่ไม่สมบูรณ์แบบเท่านั้น นางจึงพยายามฝึกฝนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าจนคล่องแคล่วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนกระทั่งถึงตอนสุดท้ายที่ข้าฝึกกับนาง รอยยิ้มบนใบหน้าของนางแสดงออกให้เห็นว่านางทำได้แม่นยำแล้ว ตอนไหนต้องยิ้มอย่างไร ตอนไหนต้องผ่อนคลายอย่างไร นางล้วนทำได้อย่างยอดเยี่ยม
“ดังนั้นหากพูดถึงความขยันของนาง ข้ากล้ารับประกันได้เลยว่าเหลียนอวิ้นไม่มีทางแพ้ผู้ใดอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อนางกล้าที่จะเอ่ยปากออกมา นั่นคงเป็นเพราะนางเตรียมตัวไว้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วยังมีอะไรให้น่ากังวลใจอีกเล่า นางพยายามมานานขนาดนี้ หากนางไม่ได้แสดงฝีมือ นั่นไม่เท่ากับว่านางเสียเวลาฝึกเปล่าหรือ”
ซูมั่วเยี่ยฟังหลินเหวินเสี่ยวกล่าวจบโดยไม่ได้เอ่ยอะไร เขาอ้าปากเตรียมจะพูดบางอย่าง แต่เมื่อคิดทบทวนดูก็ตัดสินใจหุบปากดังเดิมไม่ยอมพูดแล้วหันไปดูคนที่อยู่ตรงกลางห้องโถงตั้งใจ
เมื่อซูมั่วเยี่ยดูไปเรื่อยๆ เขาพลันยิ้มออก เพราะเขาคิดว่าที่หลินเหวินเสี่ยวพูดก็ถูก หากพูดถึงความขยัน ที่ผ่านมาอวิ้นเอ๋อร์ไม่เคยแสดงความย่อท้อ อีกอย่างน้องสาวของเขาก็เป็นคนที่เขาคิดว่าดีที่สุดในโลกใบนี้มาโดยตลอดมิใช่หรือ ทำไมพอถึงช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้กลับไม่เชื่อใจขึ้นมา?
อวิ้นเอ๋อร์จะต้องชนะอย่างแน่นอน ซูมั่วเยี่ยพยักหน้าในใจ เพราะหากดูจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแววตาของผู้ชมและสีหน้าที่ดูไม่ได้ของเยียลี่ว์เยียนแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่า น้องสาวสุดที่รักของเขาเป็นผู้ชนะและเป็นชัยชนะที่ไร้ข้อกังขาเสียด้วย!
“ฝ่าบาท การร่ายรำของหม่อมฉันสิ้นสุดแล้วเพคะ” ซูเหลียนอวิ้นสบัดผมที่ปรกอยู่บนหน้าผาก “นี่เป็นสิ่งที่หม่อมฉันทำได้ดีที่สุดแล้วเพคะ” เพราะนางคิดว่าตนแสดงได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วและถือว่าเป็นการแสดงที่ดีมากกว่าปกติด้วยซ้ำ
ดังนั้นหากไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ซูเหลียนอวิ้นจะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน!
“เป็นการร่ายรำกระบี่ที่ไม่เลวเลย” เกาอู่เตี๋ยมองไปทางซูเหลียนอวิ้นอย่างอ่อนโยน “อวิ้นเอ๋อร์เจ้าทำได้ดีมากแล้ว ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ขององค์หญิงเยียลี่ว์แล้ว”
เมื่อสิ้นเสียงของเกาอู่เตี๋ย ผู้ชมก็คล้ายหลุดออกจากภวังค์หลังจากที่การร่ายรำนั้นสิ้นสุดลง จากนั้นจึงหันไปมองเยียลี่ว์เยียน เมื่อได้เผชิญหน้ากับการร่ายรำที่น่าตื่นตะลึงและมีเอกลักษณ์เช่นนี้ก็ไม่รู้เช่นกันว่าเยียลี่ว์เยียนจะรับมือกลับอย่างไร?
เพราะว่า…คงไม่สามารถเต้นระบำนกยูงนั้นได้อีกครั้งแล้วกระมัง แม้ว่าจะเป็นการร่ายรำที่น่าดู แต่เมื่อกี้ทุกคนต่างดูกันไปแล้วรอบหนึ่ง!
“เยียนเอ๋อร์ ถึงตาเจ้าแล้ว” น้ำเสียงของเยียลี่ว์เยี่ยนเย็นเฉียบ “จำไว้ว่าเจ้ากับข้าสัญญากันไว้แล้ว หากเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้น เจ้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบผลที่เกิดขึ้น”