ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 159 ธุระของแม่สื่อ
“ที่ใดกันเล่า…” คิ้วของซูเหลียนอวิ้นขมวดเล็กน้อยจนแทบจะสังเกตไม่เห็นจึงก้มหน้าแล้วเอ่ยว่า “องค์หญิงต่างหากถึงจะเรียกว่าเป็นโฉมสะคราญ…ฮ่าๆ ” เยียลี่ว์เยียนผู้นี้คือผู้ใดกัน ซูเหลียนอวิ้นเริ่มมีความรู้สึกคับข้องและกลัดกลุ้มอยู่ในใจ
เพราะสายตาของเยียลี่ว์เยียนที่มองมาที่นางนั้นราวกับเป็นสายตาที่ใช้ประเมินราคาสินค้าชิ้นหนึ่ง ประกอบกับเมื่อฟังเสียงของท่านแม่ก็พอจะรู้ได้เลยว่าคนผู้นี้ไม่ได้เป็นแขกที่เชิญมา! เป็นถึงองค์หญิงแท้ๆ แต่กลับกล้าออกหน้าขอบุกมาที่เรือนของผู้อื่น นี่ทำไปเพื่อการใดกันแน่
“คุณหนูซูถ่อมตัวแล้ว” เยียลี่ว์เยียนลุกขึ้นแล้วเดินไปยังด้านหน้าซูเหลียนอวิ้น จากนั้นนางจึงจับมือซูเหลียนอวิ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าเห็นว่าตัวข้ากับคุณหนูซูมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน คงจะมีหัวข้อให้สนทนากันมากทีเดียว! ดังนั้นแล้วคุณหนูซู พวกเราสองคนไปคุยกันตามประสาในห้องสักหน่อยดีหรือไม่”
ซูเหลียนอวิ้น? เจ้าเป็นใครกัน! นางไม่ได้ยินดีเลย!
เนื่องจากสำหรับนางแล้ว หากกล่าวอย่างไม่เกรงใจ ห้องของนางถือเป็นเขตส่วนตัวของนาง! เป็นสถานที่ที่ไม่สามารถให้ใครก็ได้เข้ามา!
ดังนั้นแล้วคนที่นางเพิ่งจะเห็นหน้าเป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปแถมยังมีเจตนาแอบแฝงบางอย่างต่อนางอีก คนที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่ชอบ หากยอมให้เข้าไปในห้องของนางล่ะก็…นางรู้สึกไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง!
“มีอะไรก็คุยกันตรงนี้ไม่ได้หรือ” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ คลายมือของตัวเองออกจากมือของเยียลี่ว์เยียนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
“แต่…” เยียลี่ว์เยียนใช้สายตากระดากกระเดื่องเหลือบมองไปที่อันเพ่ยอิงที่อยู่ข้างๆ “ช่างเถิด คุณหนูซูไม่ถือสาก็ดี”
ไม่ถือสาก็ดีหมายความว่าอย่างไร ตอนนั้นเองที่ซูเหลียนอวิ้นไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร แต่เมื่อเห็นท่าทางของเยียลี่ว์เยียนแล้ว…ช่างมันเถอะ คงต้องยอมให้คนผู้นี้เข้าไปที่ห้องของนางเสียแล้ว! เพราะหากจู่ๆ นางพูดโพล่งอะไรขึ้นมาในขณะที่อันเพ่ยอิงยังอยู่ด้วย นางคงมิอาจพูดแก้ตัวอะไรได้ทัน!
“อวิ้นเอ๋อร์ แม่เพิ่งนึกออกว่ามีธุระบางอย่างที่ยังไม่ได้ทำ เจ้าอยู่ต้อนรับองค์หญิงเยียลี่ว์ไปก่อนเถิด” อันเพ่ยอิงลุกขึ้นพลางยิ้ม “แม่ขอไปตัวไปทำธุระก่อน” เนื่องจากอันเพ่ยอิงเองก็รู้จุดด้อยบางอย่างของซูเหลียนอวิ้นดี พี่ชายน้องสาวคู่นี้มีนิสัยเหมือนกัน! คือปฏิบัติกับคนที่ไม่คุ้นเคยอย่างห่างเหิน! ดังนั้นในตอนนี้คงไม่ยินดีที่จะพาคนผู้นี้เข้าไปที่ห้องของตนสักเท่าไหร่!
แต่เมื่อเห็นท่าทางขององค์หญิงเยียลี่ว์ผู้นี้คล้ายว่ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องการจะพูดกับอวิ้นเอ๋อร์จริงๆ อันเพ่ยอิงกำลังคิดว่า หากไม่มีเรื่องสำคัญจริงๆ ก็คงจะไม่ดิ้นรนมาที่เรือนของพวกตนกระมัง!
ทว่าอยู่ขัดขวางมิสู้เปิดทางให้! หากนางยังนั่งอยู่ตรงนี้จะทำให้เด็กสองคนนี้ไม่กล้าเอ่ยปากพูดคุย ดังนั้นตอนนี้นางกลับไปก่อนจะดีกว่า องค์หญิงเยียลี่ว์จะได้พูดอย่างสบายใจ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เปรียบเสมือนบ้านของพวกเขา! อีกอย่างแผ่นดินที่อยู่ใต้เท้าของนางก็เป็นดินของต้าชั่ว! ดังนั้นอันเพ่ยอิงจึงไม่กลัวเท่าไหร่นัก
อีกประเดี๋ยวนางค่อยถามอวิ้นเอ๋อร์ก็ได้ว่าองค์หญิงผู้นี้พูดอะไรกับนางบ้าง! แน่นอนว่าหากอวิ้นเอ๋อร์เป็นฝ่ายเล่าเองจะดีที่สุด!
“ท่านแม่…” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นยืน สายตาจ้องไปที่อันเพ่ยอิงปริบๆ
“ที่นี่คือบ้านของพวกเรา ไม่เป็นไรหรอก! ” อันเพ่ยอิงลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างๆ ซูเหลียนอวิ้น จากนั้นก้มหัวลงไปกระซิบ
“เอ่อ…” แน่นอนว่านางกลัวองค์หญิงผู้นี้ เพราะหากจะกล่าวให้เป็นเรื่องเล็กเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างสตรีเพียงสองคน แต่หากจะกล่าวให้เป็นเรื่องใหญ่นี่ถือเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างสองเมือง! ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็มิอาจทำให้แผ่นดินต้าชั่วขายหน้าได้!
“ความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูซูกับมารดาดียิ่งนัก” เยียลี่ว์เยียนเอ่ยเรียบๆ จากนั้นจึงยกถ้วยน้ำชาขึ้นแล้วแสร้งทำเป็นคนใบชาที่ลอยอยู่ด้านบน จากนั้นจึงจิบไปอึกหนึ่ง ทว่าหลังจากดื่มไปอึกหนึ่งแล้วกลับขมวดคิ้วขึ้นมา
“องค์หญิงอาจจะยังไม่คุ้นชิน ช่วงนี้ท่านแม่ออกจะชอบดื่มชาที่รสชาติขมไปสักหน่อย” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะ “ชาประเภทนี้มีคนจำนวนมากที่ไม่คุ้นเคย แต่หลังจากที่ลองดื่มไปแล้วก็จะรู้สึกเองว่าไม่เลวทีเดียว”
“จริงหรือ…” เยียลี่ว์เยียนหัวเราะ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ไม่ว่ารสชาติของชาถ้วยนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนักต่อนาง แต่ซูเหลียนอวิ้นต่างหาก…ที่…
“คุณหนูซู”
“เอ๊ะ? ” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มนุ่มนวล “องค์หญิงมีอะไรหรือ มีปัญหาอะไรหรือไม่” ต้องมีเรื่องอะไรอย่างแน่นอน! มีเรื่องอะไรก็รีบพูดออกมาดีหรือไม่! ใครอยากจะนั่งกระอึกกระอักอย่างนี้เป็นเพื่อนเจ้ากัน!
“คุณหนูซู ข้าขอเสียมารยาทถามเจ้าสักข้อหนึ่งได้หรือไม่”
ไม่ได้! ถามบ้าอะไร! ในใจของซูเหลียนอวิ้นบ่นพึมพำ ทว่าปากของนางกลับเอ่ยออกไปว่า “ได้สิ องค์หญิงพูดมาเถิด” เฮ้อ บางครั้งคนเราก็ต้องเสแสร้งกันบ้าง!
“คุณหนูซูผ่านพิธีปักปิ่นมาแล้วใช่หรือไม่ คิดไว้หรือยังว่าวันข้างหน้าจะแต่งงานกับผู้ใด” สายตาของเยียลี่ว์เยียนจ้องไปที่ซูเหลียนอวิ้นอย่างสงบราวกับว่าเป็นการสนทนาธรรมดาๆ ระหว่างสตรีที่เป็นเพื่อนสนิทกันเท่านั้น
“เรื่องนี้…คงต้องยกให้เป็นธุระของแม่สื่อหรือไม่ก็ฟังคำสั่งของบิดามารดากระมัง” ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะเสียงดัง ในใจของนางแอบครุ่นคิดถึงเจตนาของคำถามนี้ เพราะก่อนหน้านี้เยียลี่ว์เยียนปูพื้นมาตั้งมากมาย ประเด็นสำคัญที่จะถามคือเรื่องนี้เองหรือ นั่นเป็นไปไม่ได้แน่นอน! ดังนั้นอีกประเดี๋ยวสิ่งที่เยียลี่ว์เยียนกำลังจะถามต่อต่างหากถึงจะเป็นประเด็นสำคัญ!
“อย่างนี้เองหรือ” เยียลี่ว์เยียนหัวเราะ “แต่ข้าอยากรู้ว่าความคิดของคุณหนูซูเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะต่อให้ฟังคำของบิดามารดา อย่างไรก็ต้องเป็นคนที่เข้าตากันบ้างถูกหรือไม่”
สุดท้ายคำถามสำคัญก็ถูกถามออกมาเสียที! ซูเหลียนอวิ้นกัดฟัน เรื่องเช่นนี้เกี่ยวอะไรกับองค์หญิงต่างเมืองอย่างเจ้าด้วยเล่า ประเพณีของเรามันต่างกันจริงๆ ! เรื่องราวเช่นนี้ที่เมืองเยียลี่ว์สามารถนำมาคุยกันตั้งแต่พบหน้าครั้งแรกเลยหรือ
“เรื่องนี้…” ซูเหลียนอวิ้นก้มหน้าแล้วจับแขนเสื้ออย่างไม่รู้จะวางตัวอย่างไร “ข้า ข้าได้หมด ชอบก็ชอบกระมัง”
“จริงหรือ” เมื่อเยียลี่ว์เยียนได้ยินคำตอบนี้ของซูเหลียนอวิ้น ใบหน้าของนางก็ปรากฏแววสงสัย เพราะจากข่าวที่นางสืบมาได้ ดูเหมือนว่าคุณหนูจะยังไม่มีคนพิเศษในใจกระมัง
“เช่นนั้นคุณหนูซูคิดว่าคุณชายต้วนเป็นอย่างไรบ้าง หากจะให้เจ้าแต่งกับเขา เจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไร”
“แต่งงาน แต่งกับคุณชายต้วนรึ” ซูเหลียนอวิ้นเหม่อลอยไปชั่วขณะ ทว่าเพียงชั่วครู่ก็จัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้เรียบร้อยจึงเอ่ยว่า “ข้า ตอนนี้ข้า…คุณชายต้วนไม่ค่อยเหมาะสมกับข้า…”
“เหตุใดคุณหนูซูจึงคิดเช่นนี้ หากคุณหนูซูคู่กับคุณชายต้วนล่ะก็จะต้องเป็นคู่สร้างคู่สมกันอย่างแน่นอนมิใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ชอบเล่า”
“เป็นเพราะว่าคุณชายต้วนไม่ชอบข้าอย่างไรเล่า…” ซูเหลียนอวิ้นเอ่ยอย่างอู้อี้ “อีกอย่าง อีกอย่างคนผู้นั้นยังเกลียดข้ามากอีกด้วย! “
“เกลียดเจ้า? ” เยียลี่ว์เยียนเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกดีใจ “แต่ข่าวลือที่ข้าได้ยินในเมืองหลวงช่วงนี้ไม่ใช่อย่างนี้นี่นา ในเมืองหลวงว่ากันว่าสุดท้ายแล้วคุณชายต้วนก็แพ้ความคลั่งไคล้ของคุณหนูซู?
ซูเหลียนอวิ้นไม่เอ่ยอะไร ตอนนี้ในใจของนางได้ลากต้วนเฉินเซวียนมาต่อยไม่รู้กี่ทีต่อกี่ทีแล้ว! เพราะอย่างที่นางบอกไปแล้ว! ว่าช่วงนี้นางไม่ค่อยได้ออกไปไหน แล้วพระองค์ใหญ่องค์นี้มาถึงที่นี่ได้อย่างไร เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าต้วนเฉินเซวียนเป็นคนพามาให้นาง!
ต้วนเฉินเซวียนมีความสามารถยิ่งนัก…หาเรื่องให้นางแค่ภายในเมืองไม่พอ นี่ถึงขนาดต้องหาเรื่องจากต่างเมืองมาให้นางอีกเชียวหรือ!