ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 154 จุมพิต
“อย่าเล่นได้ไหมหลีมู่ ข้าจั๊กกะจี้นะ” ซูเหลียนอวิ้นพลิกตัวแล้วบ่นพึมพำ มือของนางพลางคลำเปะปะไปด้วย
“ฮ่าๆ …” มีเสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังขึ้นมา ในน้ำเสียงนั้นคล้ายกำลังข่มความตื่นเต้นบางอย่างเอาไว้
ผ่านไปพักหนึ่ง ซูเหลียนอวิ้นเริ่มรู้สึกว่าถึงความจั๊กจี้ที่ปลายจมูกของนางมากขึ้น สุดท้ายเมื่อทน ไม่ไหวจึงลุกขึ้นนั่งแล้วตะโกนออกไปว่า “โอ๊ย เลิกเล่นได้แล้วหลีมู่” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นอย่างขุ่นเคืองแล้วยกหมอนที่อยู่ด้านข้างตัวเองขึ้นมาเตรียมจะขว้างใส่
นับวันหลีมู่ก็ยิ่งเยอะขึ้นทุกวัน! ถึงขั้นกล้าแกล้งนางตอนที่นางกำลังนอนอยู่เลยหรือ! หากมีเรื่องอะไรอยากจะคุยกับนางก็เรียกนางให้ลุกขึ้นมาคุยกันโดยตรงจะดีกว่า!
“ต้วน ต้วนเฉินเซวียน? “
ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตาปริบๆ เอ่อ แม้ว่าตอนนี้จะเป็นตอนกลางคืนและบรรยากาศรอบๆ ตัว อาจจะมืดสลัวแต่ว่านางกล้ายืนยันได้เลยว่า นางไม่ได้มองผิด!
“ทำไมท่านถึงมาที่นี่อีก” มือของซูเหลียนอวิ้นคว้าผ้าห่มเอาไว้แน่นแล้วหดตัวเข้าไปอยู่ในมุมๆ หนึ่ง ในใจของนางแอบตะโกนร้องว่า ผูหลิวอยู่ไหนหลานเย่ว์ล่ะไม่มีใครอยู่เลยหรือ มีใครอยู่ไหม! ไปไหนกันหมด!
“คนของเจ้า…ออกไปหมดแล้ว” ต้วนเฉินเซวียนเอามือลูบจมูกพลางเอ่ยขึ้น ครั้งนี้เขาแอบหวังว่าหลิวจือจะฉลาดขึ้นสักหน่อยและพอจะช่วยถ่วงเวลาให้เขาได้บ้าง! เนื่องจากตอนนี้เขามีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดกับซูเหลียนอวิ้น
“ออกไปหมดแล้ว?! “เสียงของซูเหลียนอวิ้นสูงขึ้น “ไปไหนกันหมด” จะเป็นไปได้อย่างไร! พวกเขาจะทิ้งนางไว้แล้วออกไปได้อย่างไร! คนตรงหน้านางผู้นี้คงไม่ได้เล่นพิเรนทร์อะไรอีกกระมัง
“เจ้าอย่ามองข้าเช่นนั้น…” ต้วนเฉินเซวียนทำเสียงห่อเ**่ยวแล้วค่อยๆ ถอยออกไปด้านหลังเล็กน้อย “ข้ามาที่นี่เพราะมีธุระกับเจ้า”
“ธุระอะไร” สายตาของซูเหลียนอวิ้นระแวดระวัง “อีกอย่างหากท่านมีธุระอะไร ท่านจำเป็นต้องมาที่เรือนข้ากลางดึกเช่นนี้หรือ” มาตอนฟ้าสว่างๆ อยู่ไม่ได้หรืออย่างไรทำพฤติกรรมเช่นนี้เหมือนขโมยไม่มีผิด
“หากข้ามาตอนกลางวัน เจ้าจะยอมให้ข้าพบหรือ” ต้วนเฉินเซวียนอ่านแววตาของซูเหลียนอวิ้นแล้วเข้าใจดีจึงย้อนถามกลับไป
ซูเหลียนอวิ้น “…”
เอาล่ะ แน่นอนว่าคำตอบคือไม่ให้!
อีกอย่าง…หากเป็นตอนกลางวันถ้าต้วนเฉินเซวียนเข้ามาที่จวนซูย่อมเกิดปัญหาได้อยู่ดี! ยังไม่ต้องเอ่ยถึงซูมั่วเยี่ยกับซูปั๋วชวน เนื่องจากอันเพ่ยอิงจะเป็นคนแรกที่จับต้วนเฉินเซวียนโยนออกไป!
เพราะซูเหลียนอวิ้นเชื่อว่าตอนนี้ขนาดตัวนางยังรู้ข่าวลือที่แพร่อยู่ในเมืองหลวงแล้ว ดังนั้นพี่ชาย ของนางกับแม่และคนอื่นๆ จะไม่รู้ได้อย่างไร พวกเขาเพียงแค่หลบเลี่ยง ไม่กล้าบอกความจริงกับนางเท่านั้น
“อย่างนั้นท่านรีบพูดออกมาตอนนี้ได้หรือไม่”
“คือว่า…จดหมายที่ข้าตอบเจ้าวันนี้…เจ้าได้อ่านแล้วหรือไม่” ต้วนเฉินเซวียนก้มหน้าแล้วเอ่ยถามอย่างตะกุกตะกัก ทว่าพอถามเสร็จแล้วต้วนเฉินเซวียนก็รีบกำมือทั้งสองข้างของตัวเองเอาไว้
อ่านหรือยังหมายความว่าอย่างไร หากนางยังไม่ได้อ่านเล่าการที่เขาถามแบบนี้เพราะต้องการให้นางเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน! อีกอย่างการที่เขาพูดขยักขย่อนเช่นนี้แสดงว่าต้องมีลูกเล่นอะไรอีก! เห็นได้อย่าชัดเจนว่าเขามีเจตนาไม่บริสุทธ์!
เพราะเขาต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอนถึงได้เขียนแบบนั้น! ทั้งหมดจะต้องมีสาเหตุ! ทั้งเขาเองก็ไม่ได้ทำผิดอะไร…ดังนั้นน้ำเสียงในการพูดควรจะสง่าผ่าเผยกว่านี้ถึงจะถูก!
“เฮ้อ ก็วันนี้เจ้าให้คนมาส่งจดหมายให้ข้ามิใช่หรือ วันนี้ข้าจึงตอบจดหมายเจ้า เนื้อหาในจดหมายนั้น เจ้าได้อ่านแล้วหรือไม่” ต้วนเฉินเซวียนกระแอมสองครั้ง น้ำเสียงของเขากลับไปเย็นชาอย่างปกติแล้ว
“อ่านแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นตอบกลับพร้อมรอยยิ้มบางๆ “จดหมายของคุณชาย ผู้ใดจะกล้าละเลยเล่าแน่นอนว่าเมื่อหม่อมฉันได้รับก็รีบเปิดอ่านทันที” ต้วนเฉินเซวียนมาหานางเอากลางดึกป่านนี้เพื่อมาถามนางว่านางอ่านจดหมายฉบับนั้นหรือยังน่ะหรือ!
ซูเหลีนอวิ้นรู้สึกว่านางไม่เข้าใจต้วนเฉินเซวียนเอามากๆ เพราะเนื้อหาในจดหมายไม่ใช่เขาหรือที่เป็นคนเขียนเอง โดยบอกว่าให้เขากับตนรักษาระยะห่างเอาไว้? เช่นนั้นตอนนี้… คนที่มาหานางกลางดึกเช่นนี้ที่นี่คือใครกัน!
“แล้วเจ้าคิดอย่างไรบ้าง…กับเรื่องนั้น”
จะยังคิดอะไรได้อีกแน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องที่ดีมากอยู่แล้ว! เพราะนี่เป็นสิ่งที่พวกเขาทั้งสองคนต้องการมิใช่หรือ ต่างฝ่ายต่างพอใจอย่างไรเล่า ซูเหลียนอวิ้นนึก
“ไม่มีความคิดอะไร” ซูเหลียนอวิ้นนั่งตัวตรงแล้วตอบออกมาอย่างสัตย์ซื่อ “คุณชายคิดได้เช่นนั้น หม่อมฉันคิดว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะหม่อมฉันกับคุณชาย…ไม่ได้สนิทกันสักเท่าไหร่…ดังนั้นการรักษาระยะห่างเอาไว้ หม่อมฉันรู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง! “
“เจ้า! ” ต้วนเฉินเซวียนยกกำปั้นขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงคุกคาม “เจ้ากล้าพูดหรือว่าเราสองคนไม่สนิทกัน”
ซูเหลียนอวิ้นมองไปที่กำปั้นที่ชูขึ้นมา ตอนนั้นเองความทรงของนางตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็เริ่มรื้อฟื้นกลับมาอีก น้ำตาของนางคล้ายจะเอ่อล้นจึงพูดอู้อี้ออกมาว่า “ก็พวกเราสองคนไม่สนิทกันจริงๆ …” เนื่องจากชาติที่แล้วพวกเขาทั้งสองไม่สนิทกันมากเท่าไหร่นัก คนที่จะสนิทก็มีเพียงนางฝ่ายเดียวเท่านั้นที่รู้สึกสนิทกับต้วนเฉินเซวียน…ส่วนความรู้สึกของต้วนเฉินเซวียนที่มีต่อนางน่ะหรือ
เอ่อ…
“ข้า ข้าต่อยตัวเองมิได้หรือไง” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นท่าทางของซูเหลียนอวิ้นเป็นเช่นนี้ก็รีบลดมือของตัวเองลง จากนั้นจึงยกมือเล็งไปที่หน้าอกของตัวเองแล้วชกตัวเองทีหนึ่ง จากนั้นจึงพูดอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “ข้าเพียง…ข้ามิได้จะทำอะไรเจ้านะ! เจ้าดูสิ ข้าต่อยตัวเอง ไม่เป็นไรนี่? เจ้าอย่าร้องได้หรือไม่” สิ่งที่ต้วนเฉินเซวียนไม่อยากเห็นที่สุดก็คือภาพสตรีร้องไห้! เพราะการร้องไห้ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ อีกอย่างยังเป็นเสียงที่ไม่น่าฟังอีกด้วยและสิ่งสุดท้ายคือมันจะทำให้เรื่องยุ่งยากมากเกินไป!
หากเป็นสตรีทั่วไปมาร้องไห้อยู่ตรงหน้าเขาล่ะก็ ป่านนี้เขาคงด่าตะเพิดไปตั้งนานแล้ว แต่สำหรับซูเหลียนอวิ้น…ช่างเถิด ทั้งหมดเป็นความผิดของเขาเอง!
“ข้าผิดเอง…” ต้วนเฉินเซวียนอดไม่ได้ที่จะเขยิบตัวเองเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะได้มองเห็นมากขึ้นแล้วอธิบายอย่างห่อเ**่ยวว่า “ซูเหลียนอวิ้น เจ้าฟังข้าก่อน…”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นต้วนเฉินเซวียนเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกอยากจะขำออกมา
นี่คือต้วนเฉินเซวียนหรือถึงขนาดต่อยตัวเองเช่นนี้? แถมยังรู้จักขอโทษนางอีกด้วย? สมองเขาคงมีปัญหาจริงๆ เสียแล้ว! แต่ว่า…นางกลับมีความสุขเนื่องจาก…คงเป็นเพราะว่าสถานการณ์ตอนนี้พิสดารเกินไปแต่จะอย่างไรนางกลับรู้สึกชอบใจมากทีเดียว
“ท่านว่ามาเถิด” ซูเหลียนอวิ้นซุกหน้าตัวเองที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งไว้ในผ้าห่ม ทำให้เห็นเพียงลูกตาสองข้างของนางเท่านั้นแล้วมองตาปริบๆ ไปที่ต้วนเฉินเซวียนเตรียมฟังว่าเขาจะอธิบายว่าอย่างไร
ทว่าสิ่งหนึ่งที่ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้ก็คือ สายตาของต้วนเฉินเซวียนคิดอย่างไรกับท่าทางของนางตอนนี้ เนื่องจากดวงตาของนางมีความชื้นจากน้ำตาเมื่อครู่ เวลานี้ในดวงตาของนางจึงส่งประกายวิบไหวราวกับอัญมณีล้ำค่า อีกทั้งท่าทางตกใจกลัวของนาง…
ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะมีความคิดอยากทำเรื่องอย่างว่ากับนาง!
ทันใดนั้นต้วนเฉินเซวียนเริ่มกลืนน้ำลายแล้วเลียริมฝีปากของตัวเองพลางเอ่ยว่า “จดหมายฉบับนั้น…เจ้าอย่าไปเชื่อมันนะ! ” เหตุใดจู่ๆ เขาจึงรู้สึกกระหายน้ำ? จะทำอย่างไรดีแถมยังอยากจะ…
“ท่านไม่ได้เป็นคนเขียนหรอกหรือ” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้วขึ้น นี่ต้วนเฉินเซวียนแกล้งโง่กระมังลายมือของเขาจะมีผู้ใดคุ้นเคยไปมากกว่านางอีก? นางดูเพียงคราเดียวก็ดูออกว่านั่นเป็นลายมือของเขาเอง!
“อย่างไรก็ไม่ใช่ข้าแน่…”
“คุณหนูใหญ่ หลับไปหรือยังเจ้าคะ” ต้วนเฉินเซวียนกำลังจะอธิบายต่อ ทว่ากลับมีเสียงของผูหลิวดังเข้ามาจากด้านนอก
ผูหลิวกลับมาแล้ว! ตอนนั้นเองที่ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่านางมีที่พึ่งแล้ว นางจึงเลิกผ้าห่มออกแล้ววิ่งพุ่งไปที่ประตูเตรียมจะตะโกนเรียก
“ผู…อุ๊ย! “
คำพูดที่เหลือต่อจากนี้ซูเหลียนอวิ้นไม่ทันได้พูดออกไป แน่นอนว่าไม่ใช่ว่านางไม่อยากพูด แต่เป็นเพราะเวลานี้ต้วนเฉินเซวียนพุ่งเข้ามาจูบที่ริมฝีปากของนางนางจึงไร้หนทางที่จะส่งเสียงใดๆ ออกมา