ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 153 ทำขนมเข่ง
“นายท่านขอรับ นายท่าน! ” หลิวจือรีบวิ่งกลับไปยังเรือน ระหว่างทางใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มที่สดใสราวกับดอกไม้ผลิบาน
“มีเรื่องอะไร” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นหลิวจือยิ้มเช่นนั้น ก็ค่อยๆ รักษาระยะห่างระหว่างตนกับเขาให้มากยิ่งขึ้น “เก็บเงินได้รึ” ดีใจอะไรขนาดนี้ยิ้มจนแทบจะมองไม่เห็นลูกตา
“มิใช่ขอรับ มิใช่! ” หลิวจือส่ายหน้า ต่อให้เก็บเงินได้ก็คงไม่ยิ้มขนาดนี้! “นายท่าน! คุณหนูซูมีจดหมายมาถึงขอรับ! ” หลิวจือสะบัดจดหมายที่อยู่ในมือของตนจากนั้นจึงยื่นจดหมายให้ด้วยท่าทางสอพลอ
“จดหมายของคุณหนูซูหรือเอามาให้ข้าดูหน่อย” ต้วนเฉินเซวียนวางของในมือของตัวเองลง แล้วแย่งจดหมายฉบับนั้นมาแกะออกอย่างลวกๆ จากนั้นจึงเริ่มอ่าน
“นายท่าน จดหมายว่าอย่างไรบ้างขอรับ” หลิวจืออดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม เพราะอาการเช่นนี้ของนายท่านเรียกว่าดีใจหรือว่าไม่ดีใจกันแน่ประเดี๋ยวยิ้มกว้าง ประเดี๋ยวขมวดคิ้ว ดูท่าแล้วเหมือนคนที่กำลังเคียดแค้นขมขื่น
ต้วนเฉินเซวียนค่อยๆ พับจดหมายนั้นเก็บดังเดิมอย่างระมัดระวังแล้วนำจดหมายสอดไว้ในช่องระหว่างเสื้อของตน “ไม่มีอะไร นางแค่บอกว่า…อยากจะเชิญข้าไปพูดคุยกันเสียหน่อย”
คุยกัน? หลิวจือตกตะลึงทว่าเพียงครู่เดียวริมฝีปากของเขาก็ฉีกยิ้มกว้างคุยกันก็ดีน่ะสิ! คุยกันก็ดี คุยกันก็ดี! คุยกัน…คุยไปคุยมาก็คงจะเจรจาเรื่องงานมงคลสมรสกันใช่หรือไม่พร้อมคุยด้วยว่าจะย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อไหร่?
“แล้วนายท่านจะไปเมื่อใดขอรับ” บ่าวจะได้รีบไปเตรียมของที่ควรพกไปด้วยรวมทั้งเสื้อผ้าที่จะต้องใส่ไป เนื่องจากเรื่องราวในครั้งนั้นที่เขาเลือกของขวัญไม่ดีจนโดนคุณหนูซูไล่ตะเพิดกลับมายังคงติดตรึงอยู่ในใจของเขาอย่างมิอาจลืม!
“มิต้องเตรียมอะไร” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยปากเรียบๆ “ข้าจะยังไม่ไป”
?
หลิวจือคิดว่าตัวเองคงฟังผิดไปกระมัง “นายท่านบอกว่าไม่ไปหรือ! ” เขาจะต้องฟังผิดไปอย่างแน่นอน ใช่หรือไม่
คุณหนูซูอุตส่าห์เป็นฝ่ายเขียนจดหมายมาเชิญก่อนแล้ว นายท่านจะยังลีลาอยู่ทำไมเล่า! หากปล่อยเวลานานไปจนทำให้คุณหนูซูไม่ชอบใจ และโกรธจนไม่สนใจนายท่านเข้าจริงๆ ถึงเวลานั้นนายท่านคงจะร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาให้ร้อง!
“ช่วงเวลานี้ ยังไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ที่ข้ากับนางจะเจอหน้ากัน” ต้วนเฉินเซวียนก้มหน้าถอนใจที่ถูกต้องควรจะกล่าวว่า ไม่เพียงความไม่เหมาะสมที่จะเจอกันอย่างเดียวแต่คงต้องกล่าวว่าพวกเขาสองคนยังไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อกันเลย นั่นต่างหากถึงจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด!
เนื่องจากในช่วงเวลานี้เยียลี่ว์เยี่ยนได้มาถึงต้าชั่วแล้ว ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดนี้เกรงว่าเขาจะต้องพิจารณาใหม่อีกรอบ อีกทั้งยังมีเหตุการณ์ยอดบุรุษช่วยโฉมงามที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันในคืนนั้นอีก โดยรวมแล้วก็พอจะยืนยันได้ว่าเยียลี่ว์เยี่ยนจับตามองมาที่เขาตลอด! มิเช่นนั้นจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นเชียว? ต้วนเฉินเซวียนไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่งหลิวจือ ช่วงนี้เจ้าช่วยไปสยบข่าวลือพวกนั้นในเมืองหลวงให้ด้วยข้าไม่อยากได้ยินเรื่องราวระหว่างข้ากับซูเหลียนอวิ้นในเมืองหลวงอีก เข้าใจหรือไม่ตอนนี้แม้เพียงคำเดียวก็ห้ามเอ่ย” แววตาของต้วนเฉินเซวียนเย็นเฉียบพร้อมเอ่ยกำชับเรียบๆ
“ขอรับ…” หลิวจือโค้งตัวด้วยท่าทีสุขุม”แล้วคุณหนูซูล่ะขอรับ…? ” เรื่องราวทั้งหมดของทั้งหมดที่ท่านทำ สุดท้ายแล้วทำไปเพื่ออะไรกันคนที่ต้องการให้คนทั้งเมืองพูดถึงเรื่องราวนี้ก็คือท่าน พอมาตอนนี้ห้ามมิให้ผู้ใดในเมืองเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกก็คือท่าน
นายท่าน ความคิดอ่านของท่าน…โลเลมากไปหน่อยกระมัง! บ่าวเดาไม่เอา เดาไม่ออกจริงๆ!
“ส่วนทางด้านซูเหลียนอวิ้น…” ต้วนเฉินเซวียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ส่งคนไปแจ้งกับนางว่า ข้าไม่มีเวลา อีกอย่างหากจวนจิ้งอันโหวกับจวนซู…มีธุระและอยากจะนัดพบกันให้เขียนจดหมายมาหาท่านแม่จะดีกว่า ไม่ต้องเขียนถึงข้า”
ตอนนี้ระหว่างพวกเขาทั้งสองจำเป็นต้องอยู่กันห่างกัน ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีที่สุด! เพราะหากเขาตัวคนเดียว เขาจะทำอะไรก็ได้ แต่ว่า…ซูเหลียนอวิ้นไม่รู้อะไรสักอย่างอีกทั้งยังไม่ได้เตรียมตัวรับมืออีกด้วยหากนางไปเข้าตาเยียลี่ว์เยี่ยนขึ้นมาเกรงว่าแม่ซื่อบื้อนี่คงถูกขายอย่างแน่นอนแถมจะขายได้ราคาดีเสียด้วย! เพราะคนอย่างเยียลี่ว์เยี่ยน…
“ขอรับ เช่นนั้นบ่าวขอตัวก่อน” หลิวจือพยักหน้า ดูท่าแล้วนายท่านคงมีแผนสำรองแล้วกระมังหวังว่านายท่านคงไม่บอกว่ากำลังบีบให้อีกฝ่ายยอมแพ้อยู่…เพราะหากเล่นไม่ระวังจนทำเสียเรื่องไป ในตอนสุดท้ายคงจะยากมากทีเดียว!
ณ สวนดอกสาลี่
“คุณหนูใหญ่มีจดหมายมาถึงเจ้าค่ะ”
“จริงรึเอามาให้ข้าดูหน่อย” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ เคลื่อนไหวร่างกายของตัวเองช้าลงแล้วหมุนคอเล็กน้อยก่อนจะรับจดหมายฉบับนั้นมาจากมือของผูหลิวพลางคิดในใจว่าการออกกำลังกายทำให้นางสบายตัวขึ้นเยอะ ทว่าที่น่าเสียดายก็คือ ในช่วงเวลาพิเศษเช่นนี้ ร่างกายท่อนล่างของนางกลับไม่สามารถออกกำลังกายได้…
ตอนนี้นางจึงรู้สึกว่าร่างกายท่อนบนกับท่อนร่างเป็นของคนละคนกันเสียแล้ว!
“เป็นจดหมายที่มาจากจวนจิ้งอันโหวเจ้าค่ะ” ผูหลิวพยายามอย่างยิ่งที่จะบังคับน้ำเสียงของตัวเองให้เงียบสงบ ไม่ปรากฏอารมณ์ความตื่นเต้น แม้ว่านางจะควบคุมน้ำเสียงของตัวเองได้ทว่าสายตา…ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็มิอาจควบคุมได้! นางจ้องไปที่ซูเหลียนอวิ้นอย่างไม่ละสายตาแล้วจ้องเขม็งเสียเกือบทำให้จดหมายขาดเป็นรู้ได้เลยทีเดียว!
“หึหึ…” เมื่ออ่านตั้งแต่ต้นจนจบ ซูเหลียนอวิ้นก็ขยำจดหมายฉบับนั้นแล้วฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ดีมาก ต้วนเฉินเซวียน สุดท้ายก็หายป่วยแล้วสิท่า? ซูเหลียนอวิ้นแค่นยิ้มหากย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้านี้ ทั้งหมดทั้งมวลคือการปั่นหัวนางเล่นใช่หรือไม่? หรือว่าคนอย่างต้วนเฉินเซวียนน่ารังเกียจมาโดยกำเนิดอยู่แล้ว?
เวลาที่นางไม่สนใจ เขากลับตามติดนางพอนางเขียนจดหมายไปเพราะอยากจะถามให้รู้เรื่องรู้ราว เขากลับทำกับนางเช่นนี้อีก?
หวังว่าความสัมพันธ์ของพวกเราทั้งสองจะไม่สนิทสนมกันถึงขั้นนั้น เพราะระหว่างหญิงชาย หากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเกินไปจะทำให้ชื่อเสียงของทั้งสองฝ่ายเสื่อมเสีย?
ต้วนเฉินเซวียน ในเมื่อท่านรู้อยู่แล้ว แล้วทำไมท่านต้องทำให้ชื่อเสียงของนางเสื่อมเสียด้วยเล่า?! ประสาทจริงๆ!
“คุณหนูใหญ่? ” ผูหลิวกระพริบตา ทำไมท่าทางของคุณหนูถึงดูผิดปกตินักเพราะโดยทั่วไปแล้ว หลังจากได้อ่านจดหมายประเภทนี้ หากไม่ร้องไห้เสียใจก็จะต้องดีใจจนสติแตก แต่สำหรับคุณหนูใหญ่แล้วเหตุใดถึงมีท่าทางเหมือนอยากจะฆ่าคนเช่นนั้น
ซูเหลียนอวิ้นสูดหายใจลึกพยายามอย่างยิ่งที่จะปรับอารมณ์ของตัวเองให้สงบลงโดยเร็ว เพราะหากนางโกรธ ก็จะเกิดผลกับร่างกายของนางเอง และหากนางปวดท้องขึ้นมา คนที่ทรมานก็คือตัวนางเองเช่นกัน
“ข้าไม่เป็นไร” ซูเหลียนอวิ้นยิ้มขึ้น “ข้าเพียงอยากกินขนมเข่งก็เท่านั้น” นางอยากจะทำขนมเข่ง[1]เพื่อระบายความโกรธของตนเอง! เพราะถึงอย่างไรนางคงจะจัดการต้วนเฉินเซวียนตัวเป็นๆ ไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้…นางคงทำได้เพียงใช้ของกินมาเป็นที่ระบายโทสะของตนไปก่อน! มิเช่นนั้นอีกประเดี๋ยวนางจะต้องอึดอัดใจตายอย่างแน่นอน!
“อ้อๆ เจ้าค่ะ” เมื่อผูหลิวเห็นรอยยิ้มเช่นนั้นของซูเหลียนอวิ้น จึงแอบกลืนน้ำลาย “ในเมื่อคุณหนูใหญ่อยากกินข้าก็จะไปบอกกล่าวแก่หยาเอ่อร์ให้เจ้าค่ะ บ่าวขอตัวก่อน ! ” สีหน้าของคุณหนูใหญ่ดูน่ากลัวอย่างยิ่ง! แม้ว่าจะกำลังยิ้ม! แต่ว่า…! เนื้อหาด้านในจดหมายจะเขียนว่าอย่างไรนั้น ผูหลิวได้แต่แสดงท่าทีราวกับว่านางเป็นแมวที่กำลังเกาหูข่วนแก้ม[2]เท่านั้น!
——
[1] กระบวนทำขนมเข่งในสมัยก่อนจะต้องมีการตีหรือทุบแป้งก่อน
[2] หมายถึง ท่าทีที่แสดงความร้อนใจและเป็นกังวล