ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 111 ความลับ
ขณะที่ต้วนเฉินเซวียนกำลังจะก้าวขาเดินออกไปก็บังเอิญมีเงาคนสวมชุดขาวผ่านตรงหน้าของเขาพอดี
“ท่านแม่” ต้วนเฉินเซวียนรีบเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าจางชื่อ “ท่านแม่ ท่านไปก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะกลับจวนเลย”
จางชื่อหันหน้ามาอย่างไม่พอใจเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?! อยู่มาถึงตอนนี้แล้ว เจ้ากลับมาบอกว่าจะไม่กินข้าวแล้วและจะกลับจวนเลยรึ?” เพราะหากเลี้ยวไปอีกทางหนึ่งก็จะถึงเรือนด้านตะวันออกแล้ว
“ลูกมีเรื่องต้องกลับไปจัดการก่อน เชิญท่านแม่ตามสบาย” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเอ่ยจบก็เดินหนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้จางชื่อได้พูดเกลี้ยกล่อมใดๆ
จางชื่อโมโหจนกระทืบเท้า ลูกชายของนางนี่นะ! นับวันนางก็ยิ่งควบคุมไม่อยู่!
“โอ้โฮ ศิษย์น้อง ว่าอย่างไร เจ้ามาร่วมพิธีปักปิ่นของอวิ้นเอ๋อร์ด้วยหรือ?” เมื่อหรงซู่หันตัวกลับมาเห็นต้วนเฉินซวียนอยู่ด้านหลังก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร “ศิษย์พี่แปลกใจยิ่ง”
“ท่านมาได้แล้วทำไมข้าจะมาไม่ได้?” ต้วนเฉินเซวียนมองหรงซู่อย่างยั่วยุแล้วเอ่ยต่อว่า “อีกอย่าง…ท่านมาในวันนี้ ท่านไม่กลัว…?”
หรงซู่ยิ้มน้อยๆ พร้อมส่ายหน้า “ไม่กลัว อวิ้นเอ๋อร์กับหนานกงจวิ้นจู่ดูแล้วคงยังไม่สนิทสนมกันถึงขั้นนั้นกระมัง? ดังนั้นตอนนี้ข้าตั้งใจว่าจะไปหาอวิ้นเอ๋อร์ที่ห้อง ไม่ได้เจอกันนานแล้วพอดี ศิษย์น้องต้วน แล้วพบกันใหม่” หรงซู่หันตัวกลับไปด้วยท่าทีสบายๆ และไม่สนใจอีกว่าตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนจะหน้าบูดบึ้งขนาดไหน
ต้วนเฉินเซวียนเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นจึงก้าวเท้าต่อ “ท่านไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ หากมีคนเห็นว่าท่านเข้าไปในห้องสตรีโดยไม่ได้รับอนุญาต ท่านรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น! อีกอย่างมันเหมาะสมที่ท่านจะทำแล้วหรือ?”
“ข้ารับประกันว่าจะไม่มีผู้ใดมองเห็นแน่นอน อีกอย่างข้าไม่เหมาะแล้วเจ้าเหมาะงั้นหรือ? ศิษย์น้องต้วน เจ้าอย่าตามข้ามาอีกเลย”
“ข้าตามท่านซะที่ไหน! ข้าแค่ไม่ไว้ใจท่าน เลยเดินตามาด้านหลังก็เท่านั้น เรียกว่าข้ามาคอยจับตาดูท่านก็แล้วกัน!”
“อ้อ แล้วแต่ เอาที่ศิษย์น้องต้วนสบายใจก็พอ”
ณ สวนต้นสาลี่
เนื่องจากเช้าวันนี้หลินเหวินเสี่ยวตื่นเต้นที่จะได้มาบ้านซูเหลียนอวิ้น ดังนั้นจึงยังไม่ได้กินข้าวเช้ามา ถึงตอนนี้ท้องของนางหิวจนส่งเสียงร้องโครมคราม ดังนั้นนางจึงเดินตามฝูงชนไปยังเรือนด้านตะวันตกเพื่อกินข้าว โดยที่ไม่รอให้ซูเหลียนอวิ้นกล่าวเชิญ
ซูเหลียนอวิ้นเดินกลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง นางรีบเดินมาหยุดอยู่ตรงถังน้ำแข็ง จากนั้นจึงสูดเอาไอเย็นเข้าไป นางร้อนจะตายอยู่แล้ว! โชคดีที่ในห้องของตนไม่ร้อนเท่าใดนัก มิเช่นนั้นนางคงร้อนตายแน่ๆ!
หนานกงมู่เสวี่ยเดินตามหลังมาช้าๆ นางจึงเงยหน้าขึ้นแล้วส่งสัญญานให้สาวรับใช้ไม่ต้องตามนางเข้ามาอีก สาวรับใช้เข้าใจท่าทางนี้เป็นอย่างดีจึงหันตัวกลับไปแล้วไปรออยู่ตรงทางเดินหน้าห้อง ไม่ตามเข้ามาอีก หลีมู่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก หลังจากที่หนานกงมู่เสวี่ยได้เข้าไปแล้วก็ปิดประตูให้ทั้งสองคนอย่างระมัดระวังและไม่ตามเข้าไปเช่นกัน นั่นเป็นเพราะในความรู้สึกของหลีมู่ ไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุใด เวลาที่นางเห็นหนานกงมู่เสวี่ยทีไรมักจะมีความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทุกที
ตอนนี้บรรยากาศภายในห้องจึงเหลือเพียงหนานกงมู่เสวี่ยและซูเหลียนอวิ้นเพียงสองคน
เมื่อซูเหลียนอวิ้นรู้สึกผ่อนคลายลงก็หันกลับมองหนานกงมู่เสวี่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างโต๊ะน้ำชาพลางมองมาทางนางแล้วยิ้มน้อยๆ ให้ นางจึงเริ่มแสดงอาการวางตัวไม่ถูก
เงียบเกินไปหรือเปล่า…ควรจะพูดอะไรกันหน่อยไหม?
“อื้ม” หนานกงมู่เสวี่ยกระแอมเพื่อทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ “ซูเหลียนอวิ้น เจ้ารู้จักกับหรงซู่ได้อย่างไร?” พอเอ่ยออกไปแล้ว หน้าของหนานกงมู่เสวี่ยพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง นางเป็นอะไรไปนะ ทำไมต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นก่อนด้วย?
“ห๊ะ? อ้อๆ” ซูเหลียนอวิ้นมีปฏิกิริยาตอบรับ จากนั้นจึงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ด้านข้างหนานกงมู่เสวี่ย “ถึงอย่างไร…คงจะเป็นความบังเอิญของโชคชะตากระมัง คือว่าท่านอาจารย์เคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้ครั้งหนึ่ง จากนั้นข้าก็ตามอ้อนวอนให้เขามาเป็นอาจารย์ของข้า นี่คือเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้จักกัน”
“อ้อ อย่างนี้เอง” พอหนานกงมู่เสวี่ยเห็นซูเหลียนอวิ้นพูดจาอย่างเปิดเผยก็รู้สึกเบาใจลงบ้างแล้วเอ่ยต่อว่า “อย่างนั้น ซูเหลียนอวิ้นเจ้ารู้ฐานะที่แท้จริงของหรงซู่หรือไม่?”
ซูเหลียนอวิ้นจัดแจงเสื้อผ้าแล้วทำท่าฟังอย่างตั้งใจ นางหันทั้งตัวเข้าหาหนานกงมู่เสวี่ย “ไม่บอกข้าได้หรือไม่?”
นางไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย! เมื่อก่อนยังดีที่นางไม่เคยคิดถึงประเด็นนี้มาก่อน แต่ตั้งวันนั้นที่หนานกงมู่เสวี่ยเริ่มพูดถึงเรื่องราวระหว่างหรงซู่ ต้วนเฉินเซวียนและตัวหนานกงมู่เสวี่ย ว่าพวกเขาทั้งสามคนเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน ตัวนางก็เริ่มแอบคาดเดาว่าสถานะของหรงซู่จะต้องไม่ธรรมดา จากนั้นนางจึงครุ่นคิดถึงปัญหานี้ทุกวัน
นางอึดอัดจะตายอยู่แล้ว!
“เจ้าไม่รู้หรอกหรือ…” หนานกงมู่เสวี่ยก้มหน้าเอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้านึกว่าเจ้ารู้เสียอีก เพราะว่าหรงซู่…”พูดได้เพียงครึ่งประโยค หนานกงมู่เสวี่ยก็ไม่เอ่ยอะไรต่ออีก
ท่านอาจารย์เป็นใครกันแน่! ซูเหลียนอวิ้นจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว! ทำไมถึงรู้สึกว่าคนรอบตัวนางชอบพูดจาครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้? เป็นโรคอะไรกันไปหมด!
“ท่านอาจารย์เป็นใครแน่?” ซูเหลียนอวิ้นหันไปจ้องหนานกงมู่เสวี่ย “หนานกงจวิ้นจู่ เจ้าบอกข้าเถอะ!” อย่าปฏิเสธข้าเลย มิเช่นนั้นคืนนี้นางต้องนอนไม่หลับอย่างแน่นอน
“แต่…หากข้าตอบคำถามของเจ้า ข้าจะได้อะไร?” หนานกงมู่เสวี่ยเงยหน้า แววตาปรากฏความสับสน “อีกอย่างหากข้าบอกความลับแก่เจ้าออกไปง่ายๆ แบบนี้ ข้ามิเสียเปรียบรึ?”
“ไม่เสียเปรียบ ไม่เสียเปรียบ!” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าราวป๋องแป๋ง “พวกเรามาแลกเปลี่ยนความลับกันดีหรือไม่? หากจวิ้นจู่มีคำถามอะไรที่อยากรู้ เจ้าถามข้าได้เลย ข้าจะต้อง…”
มิถูก เสียงของซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ เบาลง หากเป็นเช่นนี้เท่ากับว่าทรยศท่านอาจารย์? อีกอย่างนี่มันจะมีความหมายอะไร? ขายท่านอาจารย์เพื่อแลกข่าว? นี่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่…
เมื่อหนานกงมู่เสวี่ยเห็นซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ เงียบไปก็ไม่รีบร้อนอะไร ตรงกันข้ามนางกลับรู้สึกชื่นชมด้วยซ้ำ ปากแข็งดียิ่ง จุดๆ นี้เป็นเรื่องที่ต้องชื่นชม แต่…
“ตอนนี้หรงซู่ก็มิได้อยู่ตรงนี้ ที่นี่มีเพียงเราแค่สองคน บ่าวของเราก็ไม่อยู่ เจ้ายังกลัวว่าเรื่องจะหลุดลอดออกไปได้อีกหรือ?” หนานกงมู่เสวี่ยจัดแขนเสื้อของตัวเองพลางเอ่ยขึ้นช้าๆ
จริงด้วย ท่านอาจารย์ก็มิได้อยู่ตรงนี้ ตอนนั้นซูเหลียนอวิ้นเริ่มได้สติ แล้วนางจะยังกลัวอะไรอีก!
“ก็ได้ อย่างนั้นตอนนี้พวกเราก็สามารถผลัดกันพูดได้แล้ว!” ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตาปริบๆ ส่งสัญญาณให้หนานกงมู่เสวี่ยรีบพูดเรื่องหรงซู่ออกมา
“อืม แต่เจ้าต้องพูดก่อนถึงจะถูก เพราะเจ้าถามข้าก่อน ถูกหรือไม่?” หนานกงมู่เสวี่ยก้มหน้า สายตาของนางปรากฏความเจ้าเล่ห์ น่าเสียดายที่ซูเหลียนอวิ้นมิได้เห็นสายตานี้
เพราะหากเห็นสายตานี้แล้ว ซูเหลียนอวิ้นจะได้พึงระวังตัวเอาไว้บ้าง เพราะสายตาเช่นนี้ของหนานกงมู่เสวี่ย สำหรับหรงซู่กับต้วนเฉินเซวียนแล้วเห็นมาไม่น้อย นี่ถือเป็นสัญญานที่เผยออกมาก่อนที่นางจะจัดการใครสักคน!
“ได้! จวิ้นจู่ถามมาเลย ข้าจะต้องพูดทั้งหมดที่รู้ เรื่องไม่รู้จะไม่พูด” ซูเหลียนอวิ้นนั่งตัวตรงแล้วเอ่ยขึ้นเพื่อยืนยัน
“ตกลง” หนานกงมู่เสวี่ยเลิกคิ้ว “เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าว่า เจ้าเคยเห็นผู้หญิงคนไหนเคยไปหาหรงซู่หรือไม่?”
“ไม่มี” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าหนักแน่น “อย่างน้อยๆ ข้าก็ไม่เคยสตรีนางใดปรากฏตัวอยู่กับท่านอาจารย์ ดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงหญิงสาวเลย”