ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 105 องค์หญิง
ตอนนั้นเองที่สายตาของทุกคน ณ ที่นั้นได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
องค์หญิงหย่วนเนี่ยนเคยเป็นแขกคนสำคัญให้ผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! แค่ไปเข้าร่วมงานพิธีปักปิ่นก็ถือว่าน้อยมากเต็มทีอยู่แล้ว สามารถกล่าวได้ว่าพวกที่แอบหัวเราะเยาะซูเหลียนอวิ้นในใจพวกนั้น ตอนนี้พอเห็นองค์หญิงหย่วนเนี่ยนความคิดของพวกนางก็เริ่มเปลี่ยนไป
ซูเหลียนอวิ้นมองไปยังสตรีตรงหน้าที่กำลังยิ้มแย้มพูดคุยด้วยท่าทีเป็นกันเอง ตอนนั้นเองที่ความรู้สึกซับซ้อนบางอย่างได้เกิดขึ้นในหัวของนาง
องค์หญิงหย่วนเนี่ยน… ในตอนนั้นอันเพ่ยอิงยอมตายแต่ไม่ยอมบอกเด็ดขาดว่าแขกคนสำคัญในงานคือผู้ใดและยังบอกว่าเก็บไว้ให้นางได้ตื่นเต้นทีเดียวในวันจริง แต่เดิมทีซูเหลียนอวิ้นก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เนื่องจากสีหน้าสมความปรารถนาของอันเพ่ยอิงนั้นมีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ดูไม่ออก ดังนั้นเมื่อเห็นท่านแม่ของตนตื่นเต้นถึงเพียงนี้ ซูเหลียนอวิ้นก็พอเดาได้ว่า แขกคนสำคัญของงานจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
ทว่าซูเหลียนอวิ้นกลับคิดไม่ถึงว่า ผู้ที่มาในงานจะเป็นองค์หญิงหย่วนเนี่ยน?
“คารวะองค์หญิงหย่วนเนี่ยน” ซูเหลียนอวิ้นถอนสายบัวคารวะ
“ไม่ต้องมากพิธี” องค์หญิงหย่วนเนี่ยนพยุงซูเหลียนอวิ้นขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “วันนี้เจ้าเป็นคนสำคัญของงานนี้ต่างหาก ต่อให้เป็นตัวข้าเอง ข้าก็เป็นเพียงแค่ผู้ที่มาประดับอาภรณ์ให้เจ้าเท่านั้น อีกอย่างเมื่อสองวันก่อนฮองเฮาได้บอกกล่าวกับข้าไว้แล้วว่าเจ้าเป็นเด็กรู้กาลเทศะมากคนหนึ่ง แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ว่าตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดขนาดนั้น เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นบ้านของเจ้า หากเครียดเกินไปก็คงไม่ดีนัก” ระหว่างที่พูดองค์หญิงหย่วนเนี่ยนก็จัดระเบียบเสื้อผ้าของซูเหลียนอวิ้นไปในตัวด้วย
อาจกล่าวได้ว่าองค์หญิงหย่วนเนี่ยนเป็นเชื้อพระวงศ์ที่น่าใกล้ชิดเป็นกันเองมากคนหนึ่ง
ซึ่งแตกต่างจากหนานกงมู่เสวี่ยที่ให้ความรู้สึกเย็นชาและห่างเหิน ส่วนองค์หญิงหย่วนเนี่ยนเป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า
แม้อาจกล่าวได้ว่าหนานกงมู่เสวี่ยปฏิบัติต่อทุกคนอย่างอ่อนโยน ทว่าความอ่อนโยนนั้นกลับถูกจำกัดอยู่ในระดับหนึ่งเท่านั้น นั่นคือจำกัดอยู่ในระดับเชื้อพระวงศ์กับประชาชน
แม้ว่านางจะปฏิบัติกับคนอื่นอย่างเป็นมิตร แต่ก็ให้ความรู้สึกว่าเป็นเพียงตัวแทนของเชื้อพระวงศ์เท่านั้น แต่องค์หญิงหย่วนเนี่ยนกลับดึงตำแหน่งองค์หญิงของตัวเองลงมาและปฏิบัติพร้อมพูดคุยกับทุกคนราวกับมีศักดิ์เท่าเทียมกันและไม่ถือตัวเลยแม้แต่น้อย
คนประเภทนี้ก็เปรียบเหมือนกับพี่สาวข้างบ้านคนสนิทของเรา แม้ว่าเราจะไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับเขา แต่แน่นอนว่าเราไม่สามารถเหลียดคนประเภทนี้ได้อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ในหมู่ประชาชน องค์หญิงหย่วนเนี่ยนถือเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่ง
แต่ว่าสาเหตุที่ทำให้ซูเหลียนอวิ้นจิตใจปั่นป่วนนั้น ไม่ได้เป็นเพราะว่าองค์หญิงหย่วนเนี่ยนปฏิบัติกับผู้คนอย่างไร แต่สิ่งที่นางกำลังนึกถึงอยู่ก็คือ เรื่องลับๆ ที่นางได้แอบสืบรู้มาเมื่อชาติที่แล้ว
เรื่องราวความรักขององค์หญิงหย่วนเนี่ยน…
องค์หญิงหย่วนเนี่ยนผู้นี้แต่งงานกับลูกชายของอัครมหาเสนาบดีผู้หนึ่ง ทว่าไม่มีใครนึกถึงว่า หลังจากที่แต่งงานไปได้ไม่นาน ลูกชายของอัครมหาเสนาบดีผู้นั้นจะถูกตรวจพบว่าร่างกายของเขาติดเชื้อวัณโรค
โชคยังดีที่ในวันแต่งงานนั้นองค์หญิงหย่วนเนี่ยนเป็นรอบเดือน ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่ได้ใกล้ชิดกับลูกชายของอัครมหาเสนาบดีผู้นี้มากนัก จึงถือได้ว่าหลบเลี่ยงไปได้ ทว่าโรควัณโรคนั้นถือว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ทายาทของอัครมหาเสนาบดีผู้นั้น แม้ว่าจะพยายามรักษาโดยใช้ยาชั้นดีมากมายเพียงใด กลับต่อสู้อยู่ได้เพียงครึ่งปีก็มิอาจฝืนทนต่อไปได้อีก
หลังจากที่องค์หญิงหย่วนเนี่ยนต้องประสบกับเรื่องราวเช่นนี้ก็ได้รับการโจมตีอย่างหนัก เพราะแม้ว่าชื่อเสียงของนางจะดีมากเพียงใด แต่นางก็เป็นเพียงองค์หญิงจึงมิอาจควบคุมการวิพากวิจารณ์ของคนทุกคนได้
วันที่แต่งงานกลับตรวจเจอโรคร้ายอย่างวัณโรค? องค์หญิงหย่วนเนี่ยนคงจะเป็นตัวพาความอับโชคมาให้กับสามีของตนเอง…
แม้ว่าจะควบคุมข่าวลือดีเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องมีสักวันที่ข่าวลือเล็ดลอดออกไปถึงหูผู้อื่น
ทว่าลี่หยวนตี้มีพี่สาวแท้ๆ เพียงคนเดียว จะยอมให้ผู้อื่นมาใส่ความและว่ากล่าวเสียๆ หายๆ ได้อย่างไร? ด้วยเหตุนี้พวกที่พูดนินทาลับหลังให้เกิดความเสียหายทุกคนจะต้องโทษประหารชีวิต จึงไม่มีใครกล้าเอ่ยเรื่องนี้อีกเลย ทว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในใจของทุกคนจะมีใครเล่าที่รู้ได้
ด้วยเหตุนี้องค์หญิงหย่วนเนี่ยนจึงขอร้องลี่หยวนตี้ให้ประทานอนุญาตให้นางไม่ต้องแต่งงานกับใครอีกตลอดไปเป็นกรณีพิเศษ ลี่หยวนตี้เองก็เป็นห่วงน้องสาว แต่มิอาจขัดคำร้องขอนั้นได้ สุดท้ายจึงตบปากรับคำ เรื่องๆ นี้จึงจบลงแต่เพียงเท่านี้
อย่างน้อยในแบบฉบับที่คนทั่วไปรู้ จะเป็นเช่นนี้
แต่ซูเหลียนอวิ้นกลับรู้ดีว่า ความจริงของเรื่องราวนี้ไม่ได้เรียบง่ายเช่นนี้
ตอนนั้นที่องค์หญิงหย่วนเนี่ยนแต่งงานกับผู้อื่น ตรงกับช่วงเวลาที่ราชสำนักกำลังสั่นคลอน ลี่หยวนตี้จึงต้องการรักษาอำนาจตำแหน่งของเขาเอาไว้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นจำต้องบังคับให้น้องสาวของตนแต่งงาน
ทว่าองค์หญิงหย่วนเนี่ยนในตอนนั้น ไม่มีผู้ใดอยู่ในใจ ดังนั้นจะให้แต่งกับผู้ใด? แต่หากต้องการให้นางช่วยรักษาตำแหน่งฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ ตัวนางเองก็ไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาอะไร
แต่ปัญหาเกิดขึ้นหลังจากที่องค์หญิงหย่วนเนี่ยนได้แต่งงานไปแล้ว ความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวที่ผู้หญิงตัวคนเดียวต้องแต่งออกไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย ความรู้สึกไม่มั่นคงที่ตัวเองต้องโดดเดี่ยวไร้คนสนับสนุน ทั้งยังมีคำติฉินนินทาที่ถาโถมมาเข้าหูนางก่อให้เกิดเป็นความรู้สึกต่างๆ มากมาย
ไม่เพียงความรู้สึกหวาดกลัวและเหนื่อยล้าของขององค์หญิงหย่วนเนี่ยนเท่านั้น แต่การปรากฏตัวของคนผู้หนึ่งในเวลานี้ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตขององค์หญิงหย่วนเนี่ยนไปตลอดกาล
เหิงชินอ๋อง
ชายผู้หนึ่งที่ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมและไม่ค่อยได้พบเจอกับองค์หญิงหย่วนเนี่ยนมากเท่าใดนัก ทว่าตอนที่องค์หญิงหย่วนเนี่ยนออกไปเที่ยวนอกจวนครั้งแรกหลังจากที่แต่งงานไปแล้ว คนสองคนที่เดิมทีไม่เคยใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก่อนกลับได้มาข้องเกี่ยวอยู่ด้วยกันอย่างไม่ยอมหลีกเลี่ยง
เหิงชินอ๋องถือว่าเป็นแบบอย่างของผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ อย่างน้อยที่สุดก็ในสายตาขององค์หญิงหย่วนเนี่ยน การใส่ใจดูแล การให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทำให้หัวใจที่อ้างว้างไร้ความสุขในทุกๆ วันขององค์หญิงหย่วนเนี่ยน ถูกกระทบจนค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย
ทว่าเหิงชินอ๋อง นอกจากเรื่องที่เขามีศักดิ์เป็นลุงขององค์หญิงหย่วนเนี่ยนแล้ว ตัวเขาเองก็ได้แต่งงานมีภรรยาและลูกไปแล้ว ก่อนที่องค์หญิงหย่วนเนี่ยนจะแต่งงานด้วยซ้ำ ทั้งในตอนที่เขาเกี่ยวพันอยู่กับองค์หญิงหย่วนเนี่ยนนั้น หนานกงมู่เสวี่ยก็เติบโตจนสูงเท่าเอวขององค์หญิงหย่วนเนี่ยนแล้ว
ต่อมาแม้ว่าอัครมหาเสนาบดีผู้นี้จะลาโลกไปแล้ว สิ่งคับข้องใจเพียงสิ่งเดียวของทั้งสองคนนี้ดูเหมือนว่าจะหมดไปแล้ว ทว่าองค์หญิงหย่วนเนี่ยนกลับสาบานกับลี่หยวนตี้ไปเสียแล้วว่าชาตินี้จะไม่ขอแต่งงานเป็นครั้งที่สอง
เนื่องจากนางเป็นถึงองค์หญิงของแผ่นดิน ศักดิ์ศรีขององค์หญิงยังคงค้ำคออยู่ นางเองจึงไม่มีทางใฝ่ต่ำไปเป็นอนุภรรยาของใคร แต่ก็ไม่มีทางแต่งงานอีกเป็นครั้งที่สอง
ลี่หยวนตี้รับรู้ถึงเรื่องราวของพวกเขาทั้งสองมาตั้งแต่แรก เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องราวนี้จะต้องยุ่งยาก ทว่ากลับไม่คิดเลยว่าองค์หญิงหย่วนเนี่ยนจะตัดสินด้วยตัวเองไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ด้วยเหตุนี้ลี่หยวนตี้จึงรู้สึกโล่งใจไม่น้อย แม้ว่าเขาจะประทานอนุญาตตามคำขอนี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในใจของลี่หยวนตี้กลับรู้สึกลำบากใจต่อองค์หญิงหย่วนเนี่ยน เขาได้แต่คิดว่าบางทีสักวันองค์หญิงหย่วนเนี่ยนอาจจะคิดได้เอง และบางทีอาจจะเลิกหมกมุ่นกับเรื่องนี้ได้
อีกอย่างเหิงชินอ๋องผู้นี้ ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาเป็นคนทีรักความเป็นส่วนตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใด แต่หลังจากเรื่องราวระหว่างเขากับองค์หญิงหย่วนเนี่ยนเกิดขึ้น เขาจึงตระหนักได้ถึงความจริงบางอย่างจึงหย่ากับอนุภรรยาในเรือนทั้งหมด เหลือไว้เพียงภรรยาหลวงคนเดียว หลังจากนั้นก็ไม่แต่งใครเข้ามาเพิ่มอีก
ด้วยเหตุนี้ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นเห็นองค์หญิงหย่วนเนี่ยนเป็นครั้งแรก นางพลันนึกถึงเรื่องราวของนางกับเหิงชินอ๋องที่ผ่านมาในอดีต และนั่นทำให้นางนึกถึงคนอีกคนหนึ่งที่จะมาในงานพิธีปักปิ่นวันนี้ นั่นก็คือ หนานกงมู่เสวี่ย
ตอนที่สองคนนี้พบหน้ากัน คงจะไม่ทะเลาะกันกระมัง?