ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 261 วางยาพิษ
“เอ่อ ได้เจ้าค่ะคุณ..ฮูหยิน” หลีมู่เกาศีรษะ “พูดผิดอยู่เรื่อยเลย”
“ไม่เป็นไร” ซูเหลียนอวิ้นหลับตาพัก “ก็แค่การเรียกแบบหนึ่งเท่านั้น”
“เรื่องที่ฮูหยินตั้งท้องจะให้เขียนจดหมายแจ้งนายท่านกับฮูหยินดีหรือไม่” น้ำหนักมือของหลีมู่ยังคงนุ่มนวลเหมือนเดิม จึงทำให้นึกคำถามหนึ่งขึ้นมาได้
“ท่านพี่และคนอื่นๆ…” ซูเหลียนอวิ้นพึมพำออกมา อันที่จริงแล้วต่อให้แต่งงานมาอยู่ที่นี่แล้วแต่นางยังคงการติดต่ออยู่กับตระกูลซูมาตลอด โดยก่อนที่นางจะออกไปตระเวนเที่ยวทั่วเมืองในตอนนั้น นางก็กลับไปเยี่ยมตระกูลซูอยู่บ่อยๆ
หากคนอื่นไม่รู้ล่ะก็ ต่อให้นางกลับไปที่บ้านแม่ทุกวัน ใครจะว่าอะไรนางได้ ถึงอย่างไรคนตระกูลซูก็ไม่มีใครว่านางอยู่แล้ว ซ้ำยังจะต้อนรับนางอย่างดีอีกด้วย
ส่วนต้วนเฉินเซวียนรู้สึกอย่างไรต่อการกลับไปตระกูลซูบ่อยๆ ของซูเหลียนอวิ้น ต้วนเฉินเซวียนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขายินดีที่ซูเหลียนอวิ้นจะกลับไปที่ตระกูลซูทุกวัน!
เพราะตามเหตุผลโดยทั่วไปแล้ว สตรีที่แต่งงานออกเรือนมาแล้ว ไม่มีผู้ใดที่จะกลับไปบ้านแม่ของตัวเองบ่อยๆ โดยไม่มีสาเหตุ ซูเหลียนอวิ้นเองก็รู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน ดังนั้นทุกครั้งที่ซูเหลียนอวิ้นแอบกลับจวนซู อันที่จริงแล้วนางก็แอบหวั่นใจอยู่ไม่น้อย
เช่นเดียวกับหน้าที่ของนักเรียนที่ต้องไปโรงเรียนทุกวัน แต่กลับพบจุดโหว่ของโรงเรียนจึงแอบโดดออกไปเล่นของนอก ส่วนต้วนเฉินเซวียนนั้นก็คือคนที่ดูแลโรงเรียนแห่งนั้นนั่นเอง
เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นต้วนเฉินเซวียนนางก็อดรู้ละอายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก…หลังจากนั้นไม่ว่านางจะทำอะไรนางก็เริ่มไม่มีความมั่นใจขึ้นมา
สามีภรรยาหากมีฝ่ายหนึ่งเป็นช้างเท้าหน้า อีกฝ่ายหนึ่งย่อมเป็นช้างเท้าหลัง เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นทำตัวเป็นช้างเท้าหลังขึ้นมาเช่นนี้แน่นอนว่าต้วนเฉินเซวียนต้องยินดีเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ว่าอะไรเรื่องที่ซูเหลียนอวิ้นกลับไปที่ตระกูลซู ถึงอย่างไรตอนค่ำก็ต้องกลับมาที่จวน..ขอเพียงไม่ค้างอยู่ที่นั่นก็พอแล้ว
และการเพิกเฉยต่อการแอบหนีกลับบ้านของซูเหลียนอวิ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นก็ทำให้ท่าทีของซูปั๋วชวนกับซูมั่วเยี่ยที่มีต่อเขาดีขึ้นมาก ดังนั้นพฤติกรรมยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเช่นนี้ แน่นอนว่าต้วนเฉินเซวียนยินดีออกมาจากใจจริง เขาจึงไม่ได้ว่าอะไรนาง
“รอให้ข้าหลับก่อนแล้วค่อยเขียนไปบอกก็ได้” ซูเหลียนอวิ้นพลิกตัวแล้วเอามือสัมผัสท้องของนางที่กำลังนิ่งสงบอยู่ในตอนนี้
“เพคะ ฮูหยินนอนเถิด”
ตอนที่ซูเหลียนอวิ้นตื่นขึ้นมานั้น นางตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกร้อย เมื่อนางพลิกตัวแล้วลืมตาขึ้น ผลคือนางเห็นใบหน้าใหญ่ๆ ของคนจ่ออยู่ตรงหน้าของนาง
“ตื่นแล้วหรือ” เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสีหน้าของต้วนเฉินเซวียนตอนนี้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่เมื่อเขาได้เจอหน้าซูเหลียนอวิ้น ความเหนื่อยล้าในดวงตาของเขาก็หายไปพลันเหลือเพียงความสดใส
“ตื่นแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นเอามือข้างหนึ่งประคองศีรษะตัวเองพลางเอ่ยว่า “ได้เบาะแสของเรื่องนั้นมาแล้วบ้างหรือไม่” หากยังไม่ได้เบาะแสอะไรแล้วกลับมาหานางที่นี่ นางจะโกรธเขาแน่เพราะถือว่าไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่แล้วยังกล้าทำเช่นนี้
“ก็ดี” ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยอย่างคลุมเครือ จากนั้นจึงเตรียมจะพลิกตัวลงจากเตียงไป “หิวแล้วหรือไม่ ตอนเที่ยงเจ้าแทบไม่ได้กินอะไรเลย ตอนที่ข้าไม่อยู่เจ้าได้กินอะไรไปบ้างหรือไม่ หากไม่ได้กิน ตอนนี้ควรลุกขึ้นมากินได้แล้ว”
“ท่านช่วยเล่ามาให้หมดได้หรือไม่” ซูเหลียนอวิ้นเชิดหน้าขึ้นพลางหรี่ตา “ก็ดีหมายความว่าอย่างไร หากไม่เล่ามาให้หมด ข้าคงไม่มีอารมณ์กินอะไรแน่” พูดอะไรครึ่งๆ กลางๆ ทำเอานางร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว…
“เอ่อ คือว่า…” ต้วนเฉินเซวียนหันกลับมาอย่างจนปัญญา จากนั้นจึงถอนใจแล้วเอ่ยว่า “หาคนที่ลงมือวางยาเจอแล้ว แต่คนผู้นี้…ค่อนข้างซับซ้อน เวลาเพียงสั้นๆ คงยากที่จะอธิบายให้เจ้าเข้าใจได้ง่ายๆ ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังหลวง”
เมื่อเห็นการพูดอย่างตะกุกตะกัก ทั้งยังมีความลังเลของต้วนเฉินเซวียน ซูเหลียนอวิ้นอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา นั่นก็คือองค์ชายสาม หนานกงหง
นางเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่าเรื่องนี้…จะต้องเกี่ยวกับหนานกงหงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เพราะช่วงที่นางนอนไม่หลับใรตอนบ่าย นางเพียงนอนหลับตาอย่างสงบแล้วก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา!
ผู้ใดกันที่จะกล้าลงมือวางยาในวังหลวงที่มีการคุ้มกันแน่นหนานี้ ผู้ใดกันที่จะรู้ว่าฝ่าบาทจะไปไหนต่อไหนและรู้ว่าวันนี้ฝ่าบาทจะกินข้าวกับเกาอู่เตี๋ย
จุดนี้เองที่ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่มีตำแหน่งใหญ่และมีอำนาจ เพราะมีแต่คนเช่นนี้เท่านั้นที่จะเข้ามาในวังหลวงได้อย่างไม่มีผู้ใดสงสัย อีกอย่างจะต้องเป็นคนที่มีอำนาจหน้าที่ในวังแห่งนั้นถึงขนาดที่จะทำให้คนรอบตัวยอมหลีกทางให้เขาได้
และในอีกประเด็นหนึ่งคือจะต้องเป็นคนที่มีสายสืบในวังหลวง การมีสายสืบในวังหลวงนั้นอาจจะฟังดูง่าย แต่หากต้องลงมือทำขึ้นมาจริงๆ…ก็จะพบว่าคนที่อยู่รอบๆ ตัวของฮ่องเต้และฮองเฮาล้วนเป็นคนที่ต้องรู้จักหัวนอนปลายเท้ามาตั้งแต่เด็กๆ มิเช่นนั้นแล้วจะวางใจให้อยู่รับใช้ข้างกายได้อย่างไร
และยังมีอีกประเด็นหนึ่งคือ หากจะวางยาจะต้องเข้ามาที่พระราชวังของฮองเฮา ในวังของฮองเฮามีแต่สตรี บุรุษแปลกหน้าอย่ามาแต่จะเข้าไปในครัวได้เลย ต่อให้เข้ามาเฉียดบริเวณใกล้ๆ ยังแทบจะเป็นไปไม่ได้
ซูเหลียนอวิ้นเคยคิดเอาไว้ว่าบางทีคนที่ลงมือทำเรื่องทั้งหมดนี้อาจจะเป็นสตรี เพราะสตรีทำให้คนไม่รู้สึกระแวดระวัง และหากจะเข้ามาที่วังของเกาอู่เตี๋ยก็จะไม่โดนขัดขวางอีกด้วย
ทว่า เหตุใดสตรีต้องลงมือวางยาลี่หยวนตี้ด้วย เรื่องนี้ออกจะไม่ค่อยมีเหตุผลนัก…เพราะหากลี่หยวนตี้ตาย ตำแหน่งฮ่องเต้ก็ไม่อาจตกเป็นของสตรีได้รวมทั้งสตรีที่มีศักดินาสูงอย่างเช่น…องค์หญิงหรือจวิ้นจู่
ในเมืองหลวงแห่งนี้ จวิ้นจู่ที่มีอำนาจอย่างแท้จริงก็คงจะมีเพียงหนานกงมู่เสวี่ยเท่านั้น แต่คนอย่างเช่นหนานกงมู่เสวี่ย ซูเหลียนอวิ้นกล้ายืนยันได้เลยว่า นางไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นคนที่จะลงมือก็คงมีเพียงตำแหน่งองค์หญิงเท่านั้นกระมัง
แต่ทางด้านองค์หญิงนั้น องค์หญิงในวังแห่งนี้ล้วนมีความสัมพันธ์กับเกาอู่เตี๋ยเพียงห่างๆ เท่านั้น ไม่ถือว่าไม่ดีแต่ก็พูดได้ว่าไม่อาจปล่อยเข้าวังมาได้ง่ายๆ โดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น อีกอย่างหากจู่ๆ องค์หญิงพวกนั้นมาเยี่ยมกะทันหันคนรอบตัวเกาอู่เตี๋ยจะต้องเตือนให้จับตาดูไว้อย่างแน่นอน เพราะหากไร้เรื่องร้อนใจไม่ถ่อไปวัด จู่ๆ คนที่ไม่คุ้นเคยมาเยี่ยมไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องทำให้คนเกิดความรู้สึกระแวดระวังขึ้นมาอย่างแน่นอน
“ต้วนเฉินเซวียน ท่านบอกข้ามาว่าเรื่องนี้…เกี่ยวข้องกับหนานกงหงด้วยหรือไม่!” ซูเหลียนอวิ้นจ้องต้วนเฉินเซวียนเขม็ง ราวกับนางจะไม่มีทางพลาดอากัปกิริยาแม้เพียงเล็กน้อยของต้วนเฉินเซวียนเด็ดขาด
ต้วนเฉินเซวียนเคยรับปากกับซูเหลียนอวิ้นเอาไว้แล้วว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่มีทางโกหกนางอย่างแน่นอน ดังนั้นในสถานการณ์เช่นนี้ ต้วนเฉินเซวียนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจพูดออกไป เพราะหากเขาโดนคิดบัญชีทีหลังนั่นคงไม่สนุกอย่างแน่นอน
“แน่นอนว่าเกี่ยวกับเจ้าหมูตอนนั่น” ดวงตาที่กำลังหรี่เล็กของต้วนเฉินเซียนปรากฏความโมโห เพราะเขาคิดไม่ถึงว่า หมูตัวหนึ่งจะกล้าลงมือจัดการฮ่องเต้เช่นนี้ได้