ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 244 พิธีแต่งงาน (2)
“อวิ้นเอ๋อร์มิต้องร้องไห้” อันเพ่ยอิงป้อนข้าวพลางเอ่ย “ร้องไห้จะทำให้หน้าที่แต่งเอาไว้หมดสวย! วันนี้ช่างแต่งหน้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอวิ้นเอ๋อร์เป็นสตรีที่สวยที่สุดตั้งแต่ที่นางเคยเห็นมา! หากร้องไห้จนเครื่องสำอางเลอะเทอะหมดสวย คงไม่ดีแน่ๆ!”
“เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นที่อยู่ใต้ผ้าคลุมศีรษะสุดท้ายก็อดกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป นางจึงร้องไห้อยู่ในมุมที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น หยดน้ำตาค่อยๆ ล่วงหล่นลงบนพื้นและก็ระเหยไปโดยไม่เหลือร่องรอย
“ใช่แล้ว วันมหามงคลเช่นนี้ ต้องดีใจจึงจะถูก มา ขึ้นเกี้ยวได้แล้ว” อันเพ่ยอิงพยุงแขนของซูเหลียนอวิ้นเอาไว้แล้วค่อยๆ เดินทีละก้าวไปส่งนางขึ้นเกี้ยว
ช่วงเวลาที่ม่านปิดลงนั้น แม้ว่าคนที่ควบคุมตัวเองได้ดีด้วยสีหน้าท่าทางไร้ความรู้สึกมากที่สุดอย่างซูปั๋วชวน สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมา
อวิ้นเอ๋อร์ของพวกเขาคล้ายว่าเพิ่งจะออดอ้อนเขาอยู่เมื่อวานอยู่เลย แต่ตอนนี้ราวกับว่าพวกเขาเพียงหมุนตัวนางก็เติบโตเป็นสาวสะพรั่งพร้อมแต่งงานไปแล้ว
บนเกี้ยว ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ เคี้ยวข้าวช้อนนั้นที่อันเพ่ยอิงเพิ่งจะป้อนนางไป เดิมทีข้าวนั้นนุ่มและมีรสหวาน แต่ตอนนี้หลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นได้ชิมเข้าไปแล้วกลับรู้สึกว่าในปากของนางเหลือเพียงรสชาติของน้ำตาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“คุณหนูเจ้าคะ” บนเกี้ยว หลีมู่เอ่ยเรียกนางเบาๆ “อยากเช็ดน้ำตาหน่อยหรือไม่” ตอนนี้เส้นทางกว่าจะไปถึงจวนจิ้งอันโหวนั้นยังอีกห่างไกลนัก ขบวนเกี้ยวยังต้องอ้อมผ่านไปตามเส้นทางอีกเกือบครึ่งเมืองถึงจะไปถึงจวนจิ้งอันโหวได้
กว่าจะผ่านตามเส้นทางจนครบก็ใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว หากภายในระยะเวลาครึ่งชั่วยามนี้ คุณหนูของนางนั่งร้องไห้ไปตลอดล่ะก็ ตอนเข้าห้องหอใต้แสงเทียนนั้น ตาของนางคงจะปูดโปนเป็นเม็ดถั่วแน่!
“อืม เอามาสิ” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือออกมารับไว้ แล้วเช็ดน้ำตาที่อยู่ตามขอบตาเบาๆ
“คุณหนูเจ้าคะ ยังดีที่คุณชายต้วนเตรียมน้ำแข็งไว้บนเกี้ยวเยอะเช่นนี้” หากไม่เอ่ยอะไรเลยก็ไม่ถือว่าไม่ดีอะไร เพราะการไม่พูดอะไร บางทีอาจจะ…ผู้ใดจะรู้ว่าอีกประเดี๋ยวคุณหนูของตนจะคิดฟุ้งซ่านอะไรขึ้นมาอีก ดังนั้นนางจึงเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาเพื่อทำลายบรรยากาศเองดีกว่า ไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไรก็ขอให้พูดออกมาก่อน! อย่างน้อยๆ ก็เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของนางไปด้วย
“อืม ก็ถือว่าไม่ร้อนมากนัก” เดิมทีนางได้เตรียมตัวว่าจะต้องทนร้อนตลอดเวลาครึ่งชั่วยามนี้ แต่ผลสุดท้ายกลับคิดไม่ถึงว่าบนเกี้ยวนี้จะเย็นอย่างไม่คาดฝันเช่นนี้
จริงๆ หากเป็นไปได้ซูเหลียนอวิ้นคงอยากจะแต่งงานในฤดูหนาวมากกว่า! เพราะชุดแต่งงานนั้นมีหลายชั้น ทุกชั้นล้วนหนาแถมยังต้องนั่งอยู่บนเกี้ยวเช่นนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อน อันที่จริงแล้วนี่ก็ถือว่าเป็นบททดสอบหนึ่งเช่นกัน!
แต่ยังดีที่ชุดเจ้าสาวที่ต้วนเฉินเซวียนเลือกให้นางนั้นแม้ว่าเมื่อมองครั้งแรกแล้วจะรู้สึกว่าค่อนข้างหนาไม่ได้แตกต่างจากชุดเจ้าสาวทั่วๆ ไป แต่เมื่อได้ใส่แล้วจึงจะรู้ว่าวัสดุด้านในใช้ผ้าใยบัว อีกทั้งวัสดุด้านในแต่ละชั้นยังใช้ด้ายที่บางเบาที่สุดตัดเย็บขึ้นมา ดังนั้นแม้ว่าจะดูหนาเป็นชั้นๆ แต่ในความเป็นจริงนั้นเมื่อสวมใส่ดูแล้วกลับไม่รู้สึกหนักแต่อย่างใด
เพราะผ้าใยบัวนั้นมีคุณสมบัติขจัดความร้อนในตัวเองอยู่แล้ว เมื่อรวมกับอากาศบนเกี้ยวที่มีน้ำแข็งอยู่ด้วยนั้น ต่อให้อากาศภายนอกจะร้อนแค่ไหนก็ไม่มีผลอะไร เพราะอากาศด้านในเกี้ยวนั้นเย็นสบาย
แต่เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว…จู่ๆ ซูเหลียนอวิ้นก็เกิดความรู้สึกสงสารต้วนเฉินเซวียนขึ้นมา!
เพราะต้วนเฉินเซวียนต้องขี่ม้าเป็นเวลานานเช่นนั้น! ด้านนอกดวงอาทิตย์ลอยสูงแถมยังไม่มีอะไรที่สามารถใช้มาบังเป็นร่มเงาเพื่อหลบร้อนได้ เมื่อคิดดังนี้แล้ว นอกจากนางจะไม่โดนแดดแล้ว นางยังอยู่ในเกี้ยวที่มีน้ำแข็งที่สบายกว่ามากนัก!
เวลาครึ่งชั่วยามอาจจะฟังดูนานแต่ระหว่างทางนี้ ซูเหลียนอวิ้นกับหลีมู่พูดคุยหยอกล้อแก้เบื่อกันไปตลอดทาง สุดท้ายจึงไม่รู้สึกว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่นักก็ถึงจวนจิ้งอันโหวแล้ว
เมื่อเกี้ยวหยุดลง ซูเหลียนอวิ้นก็รู้ว่าถึงที่หมายแล้ว ไม่นานนักก็มีมืออวบๆ ขาวๆ ยื่นเข้ามาเพื่อเปิดม่าน นี่คือสาวน้อยเปิดเกี้ยวนั่นเอง
สาวน้อยเปิดเกี้ยวผู้นี้คือใคร ตอนนี้ซูเหลียนอวิ้นยังไม่รู้จักเช่นกัน เนื่องจากที่จวนของนางเองก็ไม่มีหญิงใดที่เหมาะสม ดังนั้นจึงไม่อาจเลือกใครมาทำหน้าที่นี้ได้
ส่วนทางด้านต้วนเฉินเซวียนนั้น หากจะหาคนที่เป็นสายเลือดโดยตรงก็คล้ายว่าจะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามี ส่วนสายเลือดทางอ้อมนั้น…หากจะเลือกลูกสาวอนุภรรยา แน่นอนว่าฐานะย่อมไม่เหมาะสมเท่าใดนัก ดังนั้นเรื่องการเลือกสาวน้อยเปิดเกี้ยวผู้นี้ทำให้ทั้งสองตระกูลต่างปวดหัวอยู่ไม่น้อยเช่นกัน!
แต่หลังจากนั้นก็คล้ายว่าต้วนเฉินเซวียนหาตัวเลือกที่เหมาะสมได้ แต่ยังปิดบังเป็นความลับอยู่ทำเอาซูเหลียนอวิ้นสงสัยใคร่รู้อย่างมาก แต่เพื่อรักษาหน้าของตัวเองนางจึงทำเป็นไม่ถามอะไร!
ดังนั้นเมื่อเห็นมือขาวอวบของสาวน้อยเปิดเกี้ยว ความคลางแคลงใจของนางในตอนแรกก็กลับมาอีกครั้ง
รูปร่างขาวอวบเช่นนี้…เห็นชัดๆ ว่าต้องมิใช่ลูกสาวอนุภรรยาอย่างแน่นอน! แต่ลูกสาวคนโตในเมืองหลวงแห่งนี้มีบ้านไหนที่มีลูกสาวรุ่นราวคราวเดียวกันเช่นนี้อีก แถมยังมีความสัมพันธ์อันดีกับต้วนเฉินเซวียนถึงขั้นที่ว่าเพียงเขาเอ่ยปากขอก็ส่งตัวมาให้ทันทีอีก?
แม้ว่าสมองของซูเหลียนอวิ้นจะคิดวุ่นวายไปต่างๆ นานา แต่นางก็ยังไม่ลืมว่าจะต้องปฏิบัติตัวเช่นไรบ้าง เช่น การเดินข้ามตะเกียงและประเพณีอื่นๆ นางก็ยังคงปฏิบัติได้อย่างสมบูรณ์แบบ
พิธีการด้านนอกต่างดำเนินมาถึงจุดเสร็จสิ้น ตอนนี้สิ่งที่นางต้องทำต่อก็คือการเข้าห้องหอ รอให้ต้วนเฉินเซวียนดื่มสุราเลี้ยงฉลองกันให้เสร็จสิ้นก่อนแล้วค่อยกลับมาดื่มสุราจอกสุดท้าย นั่นคือสุรามงคล!
“คุณหนูเหนื่อยแย่เลยกระมัง” หลีมู่เปิดผ้าคลุมหน้าออกอย่างระมัดระวังแล้วสำรวจมองใบหน้าของซูเหลียนอวิ้นอย่างละเอียด เมื่อพบว่าไม่มีคราบเครื่องสำอางก็ถอนใจอย่างโล่งอก “คุณหนูเจ้าคะ นายท่านบอกว่า คุณหนูไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า เช่นนั้นรีบกินเสียตอนนี้เถิดเจ้าค่ะ”
หลีมู่เปิดกล่องอาหาร แล้วนำของด้านในออกมาวางทีละอย่างตรงหน้าของซูเหลียนอวิ้น
ซูเหลียนอวิ้นยกตะเกียบขึ้นแล้วเริ่มกินอาหาร “ใช้ได้” นางคิดไม่ถึงว่าอาหารในกล่องนี้แม้ว่ารสชาติจะจืดไปหน่อยแต่ล้วนเป็นอาหารประเภทที่นางชอบกินเป็นที่สุด นางไม่เคยรู้เลยว่าต้วนเฉินเซวียนจะจดจำเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ด้วย
“เป็นอาหารที่คุณหนูชอบกินทั้งนั้นเลยเจ้าค่ะ” หลีมู่จัดแจงพลางเอ่ยออกมาอย่างประทับใจ “นายท่านใส่ใจรายละเอียดนักถึงได้รู้ว่าช่วงนี้คุณหนูชอบทานอาหารรสชาติอ่อนๆ หากกินอาหารมันๆ เข้าไปมีหวังคงทำให้ลำไส้ปั่นป่วน และอาหารพวกนี้มิใช่เป็นเพียงอาหารรสจืดแต่ยังเป็นอาหารที่คุณหนูชอบอีกด้วย!”
“บางทีอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้!” แม้ว่าจะพูดออกมาเช่นนี้แต่ซูเหลียนอวิ้นกลับยิ้มไม่ยอมหุบแล้วคีบอาหารเข้าปาก แม้ว่ารสชาติจะจืดแต่ถือว่าเป็นอาหารรสชาติเลิศรส