ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 232 วิธีการ
“ไม่มีอะไร” ต้วนเฉินเซวียนขยับคอเล็กน้อยน้ำเสียงของเขาคล้ายไม่รู้ตัวว่าได้แสดงความลังเลออกไปและยังแสดงให้เห็นอีกว่าเขายังไม่ค่อยตื่นเท่าไหร่นัก “ข้าจะออกไปทำธุระนิดหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หลิวจือหากเจ้ายังนอนไม่อิ่มก็กลับไปนอนต่อเถิด”
เมื่อกล่าวจบต้วนเฉินเซวียนก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า ท้องฟ้ายังไม่ทันจะสว่างเลย! ท้องฟ้าฤดูร้อนยังคงไม่สว่างนัก ตอนนี้ถือว่าเช้าพอแล้วหรือไม่
“ฮะ?” หลิวจือขยี้ตาตัวเอง เพราะไม่เข้าใจความหมายของต้วนเฉินเซวียนเท่าไหร่นัก “นายท่านบอกว่าไม่ต้องตามนายท่านไปก็ได้หรือ” ไม่ต้องตาม นั่นแสดงว่าคงไม่ใช่ภารกิจที่อันตรายอะไรมากนักกระมัง ช่วงนี้ไม่ว่านายท่านจะทำอะไรล้วนทำให้เขาคลำหาต้นตอไม่เจอทั้งสิ้น!
“อืมๆๆ” ในปากของต้วนเฉินเซวียนยังคงมีเกลืออยู่ในนั้นจึงไม่สามารถพูดอะไรได้มาก เขาจึงเพียงอู้อี้ตอบรับ พักใหญ่เขาถึงได้บ้วนน้ำที่อยู่ในปากออกมาแล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะ ข้าไม่คุยกับเจ้าต่อแล้ว เวลานี้ข้าควรไปได้แล้ว” หากยังไม่ไปอีกอาจจะไปไม่ทันได้? อันที่จริงแล้วเขาเป็นถึงเจ้าของร้านอู่เซียงเก๋อเชียวนะ!
ดังนั้นหากพูดถึงความเลือดร้อนของเขา ตัวเขาเองก็มีข้อจำกัดเช่นกัน! หากยังมัวแต่เสียเวลาอยู่อย่างนี้ เกรงว่าเขาอาจจะไปไม่ทันจริงๆ!
“ได้ๆๆ” หลิวจือเองก็ไม่ได้รั้นจะขอตามไปด้วย เพราะถึงอย่างไรเจ้านายของเขาก็ออกปากมาตามตรงขนาดนี้แล้ว ดูท่าแล้วคงไม่มีอะไรน่ากังวลกระมัง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ขอกลับไป หาโจวกงก่อนก็แล้วกัน! เพราะโลกภายใต้ผ้าห่มนั้นเป็นสถานที่ที่สวยงามยากจะทำใจลุกจากมามากที่สุด
“น้องชาย เจ้าก็มาต่อแถวซื้อของที่ร้านอู่เซียงเก๋อด้วยหรือ”
ต้วนเฉินเซียนเงยหน้าจึงเห็นสายตาของคนผู้หนึ่งที่กำลังพูดกับเขาอยู่พอดี
“อืม ใช่”
เดิมทีเขาเป็นคนที่ไม่ชอบพูดคุยกับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว ดังนั้นคำสองพยางค์นี้สำหรับเขาถือว่ามากเกินพอแล้ว
เพราะโดยปกติแล้วเขาจะไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมามองคนประเภทนี้เลยด้วยซ้ำ เช่นนั้นยิ่งการสนทนายิ่งไม่ต้องพูดถึง
คนผู้นั้นชอบใจ จึงยิ้มแผยให้เห็นฟันเหลืองๆ แล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นน้องชายมาช้าเกินไปแล้ว เจ้าดูสิว่าแถวยาวมาถึงข้าแล้ว ดังนั้นหากเจ้าคิดจะต่อแถวเพื่อซื้อขนมบัวหิมะอะไรนั่น ข้าแนะนำให้เจ้ารีบถอดใจแต่เนิ่นๆ เถิด! กว่าจะถึงเจ้า ขนมก็คงถูกขายไปหมดแล้ว!”เนื่องจากตอนนี้ฟ้ายังคงมีความมืดปกคลุมอยู่ มีเพียงด้านทิศตะวันออกเท่านั้นที่ปรากฏแสงสีขาวสว่าง ดังนั้นผู้ที่เข้ามาสนทนากับต้วนเฉินเซวียนผู้นี้จึงไม่ได้สังเกตการแต่งกายของต้วนเฉินเซวียน เขาเพียงเห็นว่าคนผู้นี้ดูมีสง่าราศีแตกต่างจากคนทั่วไป จึงอยากจะเริ่มบทสนทนาแลกเปลี่ยนกับเขาสักหน่อย
ต้วนเฉินเซวียนฟังจนจบอย่างเงียบๆ คิ้วของเขาขมวดเข้าเป็นปมเล็กๆ “เจ้าบอกว่าแถวยาวมาถึงเจ้าตรงนี้แล้วหรือ”เวร! เขาเข้าใจว่าคนผู้นี้ยืนอยู่ตรงนี้เพื่อขายซาลาเปาเสียอีก! ตอนนั้นเขายังนึกจะบอกให้คนผู้นี้หลีกทางให้เขาผ่านไปก่อน แต่ผู้ใดจะคิดเล่าว่าอันที่จริงแล้วแถวยาวมาถึงตรงที่เขายืนอยู่ตรงนี้แล้ว ดังนั้นนี่คือเหตุผลที่คนผู้นี้ยังยืนอยู่ตรงนี้?!
นี่เขามาเข้าแถวช้าเกินไปอีกแล้วหรือ
เส้นเลือดดำบนหน้าผากของต้วนเฉินเซวียนแทบจะแตกออกมาแล้ว มันเต้นตุบๆ ไม่หยุด เขาควรจะกลับจวนหรือเขาควรจะต่อแถวต่อไปอย่างไม่เห็นแม่น้ำหวงโหไม่หลั่งน้ำตาดี?
เดินหน้า ตอนนี้เขาคงถอยไม่ได้แล้ว! ตอนนี้เริ่มมีบางคนที่ทนไม่ไหวแล้วเดินออกจากแถวไปเงียบๆ แล้ว ดังนั้นความยาวของแถวนี้ก็ค่อยๆ เขยิบขึ้นไปข้างหน้า! อีกอย่างวันนี้เขาตื่นเช้าขนาดนี้ หากทำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง ตอนเขากลับไปจะบอกกับหลิวจือว่าอย่างไร
อีกอย่างหากวันนี้เขาซื้อกลับไปไม่ได้ พรุ่งนี้เขาก็ต้องตื่นแต่เช้าแบบนี้อีก? เขาขอไม่เอาด้วยอีกแล้ว! ให้เขาอดหลับอดนอนเขายังพอทน แต่ให้ตื่นเช้าเช่นนี้? รสชาตินี้ที่เขาต้องลิ้มรสไม่ใช่รสชาติที่ทุกคนจะอดรนทนได้!
แต่หากยังไม่กลับ…คำพูดเมื่อครู่นี้และจากสายตาของเขาก็บอกให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า แถวแถวนี้ยาวจนมองไม่เห็นหัวแถวเลยด้วยซ้ำ!
นี่จึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่การเข้าแถวครั้งนี้ของเขาจะสูญเปล่า และจะต้องกลับมาใหม่อีกครั้ง!
ต้วนเฉินเซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกัดฟันทน เขาตัดสินใจจะยืนต่อไป เพราะ…บางที บางทีพอเขาถึงหัวแถวแล้วอาจจะยังเหลือถึงเขาก็ได้?
บางทีนะ…”ร้านอู่เซียงเก๋อเปิดแล้ว!” มีเสียงดังขึ้นโดยไม่รู้ว่าต้นเสียงคือผู้ใด
ทว่าเสียงตะโกนร้องนี้กลับเปรียบเหมือนมีคนเอาช้อนตักน้ำมันเดือดๆ ในหม้อสาดใส่ เพียงชั่วครู่แถวก็เกิดความโกลาหลขึ้น ผู้คนที่มีท่าทางสะลึมสะลือจนแทบจะยืนหลับกันอยู่เมื่อครู่นี้ ตอนนี้กลับเริ่มเคลื่อนไหวอย่างตื่นตะหนกและกลับมามีเรี่ยวแรงเช่นเดิม
ต้วนเฉินเซวียนเบิกตากว้างมองไปยังเหตุการณ์รอบๆ ตัว กล่าวได้ว่าต่อให้เป็นเขา เหตุการณ์ตอนนี้ก็เปรียบเหมือนการเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ เพราะการที่เขาต้องเบียดไปเบียดมากับชาวบ้านเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องที่อันตรายสำหรับเขาเช่นกัน
“โอ๊ย…!” ทันใดนั้นต้วนเฉินเซวียนก็อุทานออกมา ใครเหยียบเท้าของเขา?
โชคยังดีที่รองเท้าที่เขาใส่วันนี้เป็นรองเท้าที่เขาไม่ได้โปรดปราณมากนัก ดังนั้นต่อให้โดนเหยียบจนเลอะเขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรมากมาย แต่ไม่เสียดายก็ไม่ได้หมายความว่าไม่เจ็บเสียหน่อย! คนเมื่อครู่นี้เหยียบเท้าของเขาเต็มแรงจนเขารู้สึกว่าเท้าของเขาชาไปหมด!
“ด้านหลังน่ะ พวกเจ้าอย่าดันข้าได้หรือไม่!”
“คนข้างหน้า ใครดันเจ้ารึ เจ้าต่างหากที่เดินช้าแล้วมาว่าพวกเราว่าดันเจ้า ขาตัวเองก้าวชักช้ายังไม่รีบออกจากแถวไปอีก! อย่ามายืนเกะกะอยู่ตรงนี้ให้เสียเวลาผู้อื่นเลย!”
ตอนนนั้นต้วนเฉินเซวียนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นปิดหูของตัวเองเอาไว้เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงบาดหูพวกนั้น น่าเสียดายที่ตอนนี้ อย่าว่าแต่จะให้เขายกมือขึ้นปิดหูเลย แค่ให้เขายืนตรง เขายังแทบจะต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของตัวเองเพื่อให้ทรงตัวอยู่ได้
นั่นเป็นเพราะแถวนี้ยาวเกินไปกระมัง ถึงได้ทำให้มีคนบางคนอยากจะเดินหน้าไปเร็วๆ จึงต้องใช้ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง
ทว่าถึงอย่างไรก็ไม่กล้าออกแรงหรือใช้วิธีที่ชัดเจนเกินไป เพราะที่นี่คือร้านอู่เซียงเก๋อ ที่ผ่านมาก็ไม่ได้ไม่เคยเกิดกรณีตัวอย่างมาก่อน เนื่องจากผู้ที่ใช้วิธีการสกปรกเพื่อจะเบียดขึ้นไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด ผลที่เขาได้รับคือผู้ที่เห็นเหตุการณ์เอาไปฟ้องร้านอู่เซียงเก๋อ หลังจากนั้นผู้ที่ใช้วิธีนี้ก็ถูกขึ้นบัญชีดำของร้านอู่เซียงเก๋อ และไม่สามารถส่งใครมาเข้าแถวแทนเพื่อซื้อขนมได้อีก
หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปแล้วก็ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงได้เห็นอย่างชัดเจนถึงวิธีการของร้านอู่เซียงเก๋อ นั่นก็คือพูดจริงทำจริง กฎระเบียบใดๆ ที่ร้านตั้งขึ้นมา หากคิดจะแหกก็ลองทำดู ถึงเวลาก็จะรู้เองว่าผลสุดท้ายเป็นอย่างไร
ทว่าสติปัญญาของมนุษย์ไร้ขอบเขต แอบทำก็ได้ไม่ใช่หรือ นั่นก็คือใช้วิธีการเดิมๆ โดยทำให้ไม่มีผู้ใดเอาไปฟ้องได้ว่าก่อเรื่องอะไรไปบ้าง