ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 167 น้องชาย
“น้องหญิง วันนี้….เจ้าอย่าไปเลยดีหรือไม่” ซูมั่วเยี่ยมองไปยังซูเหลียนอวิ้นที่ตอนนี้กำลังส่องกระจกแต่งตัว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “น้องหญิง งานเลี้ยงของวังหลวงเป็นเรื่องไร้สาระ! ต้องนั่งเฉยๆ ตั้งหลายชั่วยาม น้องหญิงอย่าไปเลย…”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นจัดแจงทรงผมของตัวเองแล้วค่อยๆ หันหน้ามามองซูมั่วเยี่ย จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “แต่ทำไมครั้งนี้ท่านพี่ถึงยืนกรานที่จะขัดขวางไม่ให้น้องไปร่วมงานเลี้ยงของวังหลวงเช่นนี้ หรือว่าท่านพี่จะมีจุดประสงค์อื่น ที่ผ่านมาท่านพี่ไม่สนใจเรื่องราวเช่นนี้เป็นที่สุด”
นางกับซูมั่วเยี่ยเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ดังนั้นในใจของซูมั่วเยี่ยคิดอะไรอยู่ นางย่อมรู้ความคิดนั้นดีที่สุด แต่เป็นเพราะว่ารู้ดีเกินไปจึงทำให้มีบางคำพูดที่ไม่อาจพูดออกไปตามตรงได้
“ท่านพี่วางใจเถิดเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นลุกขึ้นยืนแล้วเกาะแขนของซูมั่วเยี่ยไว้ไม่ยอมปล่อยมือราวกับตอนที่นางยังเป็นเด็กเมื่อหลายปีก่อนแล้วพูดอย่างออดอ้อนขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าองค์ชายเยียลี่ว์ผู้นั้นหน้าตาหล่อเหลา ท่านพี่จึงกลัวว่าน้องจะชอบเขาขึ้นมาใช่หรือไม่
“แต่ขอท่านพี่โปรดวางใจ เพราะในใจของอวิ้นเอ๋อร์ ท่านพี่คือคนที่หล่อที่สุดแล้ว! อีกอย่างอวิ้นเอ๋อร์ยังเด็กอยู่ อย่างมากเขาก็ทำได้แค่มองเท่านั้น เรื่องการแต่งงานอะไรนั่น…ข้ายังอยากจะอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อ ท่านแม่และท่านพี่ให้นานกว่านี้ ดังนั้นข้าไม่มีทางรีบแต่งงานอย่างแน่นอน! ” น้ำเสียงของซูเหลียนอวิ้นน่ารักสดใสราวกับเด็กเล็กๆ กำลังเจรจา
เพราะตัวนางเองรู้ดีว่าพี่ชายของนางกำลังกังวลว่าหากนางเจอหน้าต้วนเฉินเซวียนจะทำให้นางคิดเรื่องไร้สาระต่างๆ ขึ้นมาอีก แต่ซูเหลียนอวิ้นกลับคิดว่าพี่ชายของตนกำลังคิดมากเกินไป!
ตอนแรกที่นางได้ยินเยียลี่ว์เยียนบอกว่านางจะแต่งงานกับต้วนเฉินเซวียนนั้น แน่นอนว่านางรู้สึกเศร้าและเจ็บใจ ทว่าเวลาคือยารักษาแผลที่ดีที่สุด ดังนั้นนางในตอนนี้พอย้อนนึกกลับไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น นางเพียงรู้สึกเสียดายเท่านั้น เสียดายที่วันนั้นตัวเองพูดคำพูดเช่นนั้นออกไป!
อะไรคือการที่บอกไปว่าตัวเองเป็นคนปล่อยข่าวลือพวกนั้น ไม่ใช่สักนิด!
ช่างเถิด เสียดายไปก็เปล่าประโยชน์ ซูเหลียนอวิ้นแอบถอนใจ เพราะยิ่งนางคิดซ้ำไปซ้ำมามากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกเสียดายมากขึ้น ดังนั้นตอนนี้จึงต้องตั้งสติอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้าจะดีกว่า! “ไร้สาระอย่างยิ่ง! ” ซูมั่วเยี่ยมองไปยังมือที่เกาะกุมแขนของตัวเองเอาไว้พลันรู้สึกว่าน่าขัน “พอเริ่มโตหน่อย วันๆ เจ้าก็เอาแต่คิดว่าจะแต่งงานอย่างไรแล้วรึ! ” ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของอวิ้นเอ๋อร์ ซูมั่วเยี่ยย่อมฟังออก ดูท่แล้วอวิ้นเอ๋อร์คงจะไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับต้วนเฉินเซวียนจริงๆ
อย่างนั้นก็ดี ถึงอย่างไรคนที่ไม่ชอบน้องสาวของเขาต่างหากคือฝ่ายที่สูญเสียเอง
……
“เหลียนอวิ้น! นั่งๆ ….นั่งตรงนี้มา…” หลินเหวินเสี่ยวเรียกเบาๆ พลางโบกมือส่งสัญญาณให้ซูเหลียนอวิ้น เนื่องจากครอบครัวของพวกนางล่วงหน้ามารอที่งานเลี้ยงก่อน ดังนั้นจึงมีโอกาสก่อนในการเลือกที่นั่งดีๆ ดังนั้นตอนที่มองลงไปเห็นซูเหลียนอวิ้น หลินเหวินเสี่ยวจึงรีบโบกมือไหวๆ เป็นการส่งสัญญาน
“ท่านแม่เราไปนั่งตรงนั้นกันเถิดเจ้าค่ะ” ซูเหลียนอวิ้นดึงแขนเสื้อของอันเพ่ยอิงเบาๆ แล้วชี้ไปยังทิศทางที่หลินเหวินเสี่ยวนั่งอยู่ จากนั้นจึงหันไปพยักหน้าให้หลินเหวินเสี่ยวเล็กน้อยเพื่อเป็นสัญญาณบอกนางว่าตนเห็นนางแล้ว เพราะนางรู้สึกว่า หากนางไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบรับหลินเหวินเสี่ยวเลย มือของหลินเหวินเสี่ยวคงโบกให้นางไปเรื่อยๆ จนกว่านางจะเดินไปถึงที่นั่ง!
“แล้วแต่เจ้า” อันเพ่ยอิงยิ้ม “นั่งตรงไหนก็เหมือนกันเพราะวันนี้พวกเราเป็นเพียงแขกที่มาร่วมงานเท่านั้น แต่พอเห็นท่าทางของเพื่อนเจ้าตอนนี้คงรอไม่ไหวเต็มทีแล้วกระมัง พวกเราคงต้องรีบไปกันหน่อยแล้ว”
หลังจากที่นั่งเรียบร้อยแล้ว หลิวเหวินเสี่ยวก็รีบมากระซิบข้างๆ หูทันที “ทำไมพี่ชายของเจ้าถึงมานั่งกับพวกเราด้วยเล่า”
“นี่เป็นเรื่องปกติมิใช่หรอกหรือ” เมื่อซูเหลียนอวิ้นได้ยินหลินเหวินเสี่ยวเอ่ยเช่นนี้พลันรู้สึกขบขัน “คนครอบครัวเดียวกันจะให้แบ่งนั่งสองโต๊ะเลยหรือ อีกอย่างนี่เป็นงานเลี้ยงของวังหลวง มิใช่งานเลี้ยงส่วนตัว ดังนั้นจึงไม่ต้องแบ่งโต๊ะชายหญิงหรอก สรุปคือพี่ชายของข้าย่อมต้องนั่งโต๊ะเดียวกับพวกเราอยู่แล้ว”
“อ้อ” หลินเหวินเสี่ยวหรี่ตามองซูมั่วเยี่ยสองสามครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าซูมั่วเยี่ยไม่ได้สังเกตมาที่พวกนางจึงเอ่ยขึ้นอย่างเบาใจว่า “ข้ามักจะรู้สึกว่าพี่ชายของเจ้าดุไปเสียหน่อย…ข้าออกจะกลัวเขา! “
“หากได้สัมผัสไปนานเข้าก็จะเข้าใจพี่ชายของข้าเอง” ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือของตนตบไปที่มือของหลินเหวินเสี่ยวเบาๆ แล้วพูดปลอบใจว่า “ปกติแล้วพี่ชายของข้ามีลักษณะเป็นเช่นนั้น เพราะท่านพี่มักจะอยู่แต่ในค่ายทหารกระมัง เวลาท่านพี่อยู่ที่เรือนก็ไม่ค่อยชอบยิ้มเท่าไหร่ แต่พี่ชายของข้าถือเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนผู้หนึ่ง! “
“อืม…” หลินเหวินเสี่ยวเองก็รู้ว่าตัวเองอาจจะแสดงอาการเกินจริงไปหน่อย เพราะจะว่าไปแล้วตัวนางเองก็ถือว่าเกิดมาจากตระกูลนักรบเช่นกัน ดังนั้นจึงรู้สึกคุ้นเคยกับบรรดาแม่ทัพนายกองพอสมควร ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เวลาที่นางเห็นซูมั่วเยี่ย นางจะเริ่มระมัดระวังตัวขึ้นมาและเริ่มรู้สึกกลัวเขา
“อาจจะเป็นเพราะคนในครอบครัวข้าไม่มีใครมีลักษณะเช่น…พี่ชายเจ้า? ” หลินเหวินเสี่ยวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงได้ข้อสรุปนี้ออกมา จากนั้นจึงยื่นมือออกไปดึงเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างๆ นางมาตั้งแต่ต้นแล้วเอ่ยว่า “เหลียนอวิ้น เจ้าดูนี่สิ นี่คือน้องชายของข้า หลินจือถัง”
“เอ่อ สวัสดี” เด็กชายที่นั่งตัวตรงอยู่ด้านข้างมาโดยตลอด เมื่อถูกหลิวเหวินเสี่ยวคว้าตัวมาอย่างกะทันหันเช่นนี้จึงมีท่าทางปรับตัวไม่ค่อยได้ ด้วยเหตุนี้จึงติดอ่างอยู่ครู่หนึ่งถึงจะเริ่มแนะนำตัวเอง “สวัสดีพี่เหลียนอวิ้น ข้ามักจะได้ยินพี่สาวของข้าพูดถึงท่านอยู่บ่อยๆ ข้าเป็นน้องห้าของพี่สาวข้า ข้ามีนามว่าหลินจือถัง”
“สวัสดี…” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นหลินจือถังมองมาที่ตนด้วยท่าทางตื่นตระหนกเช่นนี้ ตอนนั้นนางจึงรู้สึกเกร็งขึ้นมา “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าพบหน้าเจ้า…”
“เจ้าพบหน้าเขาครั้งแรกเสียที่ไหนเล่า! ” หลินเหวินเสี่ยวเอ่ยขึ้น “ครั้งที่แล้วในงานพิธีปักปิ่นของเจ้า มิได้พบหน้ากันครั้งหนึ่งแล้วหรือ”
ใช่หรือ ทำไมถึงไม่มีอยู่ในความทรงจำของนางเลย…
“อย่างนั้นเองหรือ…” ซูเหลียนอวิ้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า เนื่องจากคนประเภทนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่ขี้อาย! ทว่าสำหรับคนประเภทนี้…โดยปกติแล้วนางจะจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่!
“เอาล่ะ จือถังเมื่อกี้ข้าเพียงลากเจ้าให้มาทักทายเหลียนอวิ้นเท่านั้น ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าแล้ว หากมีเรื่องอะไรข้าจะเรียกเจ้าเอง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องมองมาทางนี้แล้ว! ” เมื่อหลินเหวินเสี่ยวเห็นท่าทางประหม่าของซูเหลียนอวิ้น ตอนนั้นนางจึงรีบผลักน้องชายของตัวเองกลับไปอย่างสมน้ำหน้าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ที่ข้าดึงน้องชายข้ามาก็เพียงเพราะต้องการบอกว่าครอบครัวของข้าก็มีผู้ชายเช่นกัน! แต่ไม่รู้ทำไมตามที่เจ้าบอกก็เขาก็เติบโตมาคล้ายๆ กัน แต่เพราะเหตุใดถึงได้แตกต่างกันมากขนาดนี้? “