ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 134 แววตา
“บ่าวรับคำสั่งคุณหนูใหญ่!” หลานเย่ว์กล่าวจบอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงรีบเข้าร่วมผสมโรงการต่อสู้
หนึ่งคนต่อสองคน แถมตนยังมีบาดแผลอีกด้วย ไม่นานนัก ต้วนเฉินเซวียนจึงพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้
หลานเย่ว์ยื่นมืออกไปขวางแส้ของผูหลิวเอาไว้ จากนั้นจึงส่ายหน้า แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของต้วนเฉินเซวียนกับคุณหนูใหญ่เป็นอย่างไรเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ตอนนี้การจะต่อสู้กับคนที่มีสถานะอย่างต้วนเฉินเซวียน พวกเขาจำต้องรั้งมือไว้บ้าง
“แค่กๆ แค่กๆ” ต้วนเฉินเซวียนกอดหัวไหล่ของตนเอาไว้แล้วกลืนของที่มีรสชาติหวานหอมนั่นลงไป จากนั้นจึงมองไปที่ซูเหลียนอวิ้นพร้อมริมฝีปากที่หยักยิ้มขึ้น “ทำไมรึ ทำร้ายข้าไม่ลงใช่หรือไม่?” คำโบราณว่าไว้มิผิด แสร้งเจ็บเป็นแผนการที่ได้ผลที่สุด
“ท่านคิดซับซ้อนเกินไปแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ เดินลงมาจากระเบียงช้าๆ น้ำเสียงของนางเย็นเฉียบราวกับมีดคมๆ ด้ามหนึ่ง “จากฐานะของท่านแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็มิอาจฆ่าท่านได้ แต่ทำให้บาดเจ็บ?หรือพิการ? คงจะไม่เป็นปัญหาอะไร”
“อีกอย่าง คำพูดนี้ข้าจะพูดอีกเพียงครั้งเดียว ต้วนเฉินเซวียน หากครั้งหน้าท่านยังกล้าเข้ามาที่เรือนของข้าโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตอีกแม้แต่ก้าวเดียว กระบี่ในมือของหลานเย่ว์เล่มนั้นและแส้ที่อยู่ในมือของผูหลิวจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หากท่านกล้าก็ลองดู”
เมื่อกล่าวจบซูเหลียนอวิ้นก็ค่อยๆ พยุงผูหลิวขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เพื่อดูว่านางได้รับบาดเจ็บรุนแรงอะไรหรือไม่ เพราะในความทรงจำของซูเหลียนตอนนั้น ต้วนเฉินเซวียนลงมือกับนางโดยไม่ยั้งมือ
ต้วนเฉินเซวียนเฝ้าสังเกตท่าทางของซูเหลียนอวิ้นที่พยุงผูหลิวขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เขาจึงบังเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาอย่างฉับพลัน ในใจของเขาพลันรู้สึกถึงความขมขื่น เขา…
“หลานเย่ว์ ส่งคุณชายกลับจวนจิ้งอันโหวด้วย”
ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ดังนั้นแม้ว่าหลานเย่ว์จะเป็นผู้เชิญเขาออกไป แต่ระหว่างทางเขากลับไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
“คุณหนูใหญ่…” เมื่อผูหลิวเห็นซูเหลียนอวิ้นสำรวจนางซ้ายทีขวาทีเช่นนี้ก็อับจนคำพูด “คุณหนูใหญ่ บ่าวมิได้รับบาดเจ็บเจ้าค่ะ” นั่นเป็นเพราะตอนที่คนผู้นั้นประลองกับนาง เขาก็ไม่ได้ออกแรงแต่อย่างใด อีกอย่างแม้ว่าดูจากท่าทางภายนอกแล้วจะดุดัน แต่เมื่อถึงช่วงสำคัญเขากลับออมแรงเอาไว้ ดูแล้วอาจจะดูน่ากลัวไปหน่อย แต่ได้รับบาดเจ็บหรือไม่นั้น? ในความเป็นจริงแล้วไม่มีเลยด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้า “เอาล่ะ ตอนนี้ก็นอนได้จริงๆ เสียที กลับไปเถิด กลางดึกกลางดื่นแล้ว”
“เจ้าค่ะ” ผูหลิวพยักหน้ารับ องครักษ์ที่ดี เจ้านายว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น เรื่องอะไรที่ควรรู้ เรื่องอะไรที่ไม่ควรรู้ ผูหลิวเข้าใจเรื่องราวพวกนี้เป็นอย่างดี
แต่เข้าใจก็อยู่ส่วนเข้าใจ แต่ในใจของนางยังแอบครุ่นคิด คุณชายต้วน…คุณหนูซู…คงไม่?
หากเป็นคนที่ชอบข่าวซุบซิบนินทา จะต้องคิดว่ามีอะไรบางอย่างอย่างแน่นอน
“นายท่าน!” เดิมทีหลิวจือวางแผนว่ากลางดึกจะออกไปเข้าห้องน้ำ เพื่อไปจัดการเรื่องอย่างว่าให้ตัวเอง แต่ในช่วงที่กำลังจะออกจากเรือนกลับเห็นเจ้านายของตัวเองอยู่ในสภาพเลือดโชกและอิดโรยเป็นอย่างมากจนแทบจะล้มไปกองกับพื้น?
“นายท่านๆๆ!” หลิวจือพยุงร่างท่อนบนของต้วนเฉินเซวียนขึ้นมาแล้วเขย่า “นายท่าน ตื่นก่อนขอรับ ตื่นก่อน! ท่านอย่าเพิ่งหลับ!”
เมื่อต้วนเฉินเซวียนถูกหลิวจือจับตัวเขย่าอย่างรุนแรงเช่นนี้จนในรู้สึกสับสนไปหมด จึงพยายามฝืนลืมตาขึ้นแล้วมองตาขวาง “เจ้านายของเจ้า…ไม่มีทางตาย!” เรื่องราวที่เขายังจัดการในชาตินี้ยังมีอีกมากมายนักจะให้รีบตายได้อย่างไร? นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากทำ
“เช่นนั้นนายท่าน…” เมื่อได้ยินต้วนเฉินเซวียนบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร จิตใจของหลิวจือจึงสงบขึ้น
เจ้านายของเขาเป็นอะไรคนประเภทใดกัน ทั้งโดนพิษ โดนฟันและยังสามารถกลับไปรบกับผู้อื่นได้อีกสามร้อยรอบ ตอนนี้…ดูเหมือนว่าเลือดของเขาไหลออกมามากเกินไปหน่อยหรือไม่? แต่ก็ดูเหมือนว่าเป็นเพียงแผลภายนอกไม่มีอะไรรุนแรง
ยิ่งเป็นห่วงมากกลับยิ่งวุ่นวาย! ตอนที่เขาเห็นเจ้านายของตัวเองล้มลงตรงขอบประตู ตอนนั้นเขากลับคิดว่าต้วนเฉินเซวียนคงจะ….
“พยุงข้าเข้าไป” ต้วนเฉินเซวียนคล้องคอของหลิวจือเอาไว้แล้วลุกขึ้น “พาข้าไปใส่ยาก็พอแล้ว”
“อ้อ ขอรับ” หลิวจือพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง จากนั้นเขาจึงนำต้วนเฉินเซวียนวางลงบนเบาะนุ่มด้านข้าง จากนั้นจึงหันตัวกลับไปเพื่อหายา แต่เมื่อดูจากท่าทางของเขาที่หอบเอายามา…คล้ายว่าเขาจะทายาให้ต้วนเฉินเซวียนทั่วทั้งตัว!
“หลิวจือ…” เสียงของต้วนเฉินเซวียนคล้ายคนหมดแรง “มีแค่หัวไหล่ของข้าที่ได้รับบาดเจ็บ เอามาแค่ขวดเดียวก็พอแล้ว…” ส่วนอื่นๆ ของร่างกายเขามีเพียงแค่บาดแผลเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แม้ว่าจะมีเลือดออกนิดหน่อยแต่ก็เป็นเพียงแผลถากผิวหนังตื้นๆ เท่านั้น แทนที่จะทายาให้มันมิสู้ปล่อยให้มันตกสะเก็ดไปเองจะดีกว่าถือว่าเป็นการรักษาอีกแบบเช่นกัน
“แต่นายท่านขอรับ บาดแผลนี้…เกิดขึ้นได้อย่างไรหรือ?” หลิวจือตัดผ้าพันแผลผืนเดิมที่พันอยู่ที่หัวไหล่ของต้วนเฉินเซวียนออกจนกระทั่งเห็นบาดแผลทั้งหมดจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
แผลนี้…คล้ายโดนกระบี่ฟันแต่พอดูอีกทีก็กลับไม่คล้าย? เพราะหลิวจือไม่เคยเห็นกระบี่ทิ้งรอยไว้แบบนี้ แต่หากบอกว่าเป็นพลังกระบี่ล่ะก็ หากว่ากันตามเหตุผลแล้วพลังกระบี่ไม่น่าจะรุนแรงเพียงนี้? เพราะรอยแผลนี้ที่มีความลึกขนาดนี้…เพียงดูปริมาณเลือดที่ไหลออกมาก็รู้แล้วว่าในตอนนั้นมีการลงมืออย่างโหดร้ายมากแค่ไหน!
“เจ้าจะถามเยอะแยะไปเพื่ออะไร” การทำแผลแบบรุนแรงของหลิวจือทำเอาเหงี่อเม็ดใหญ่ของต้วนเฉินเซวียนหยดลงมา “รีบทายาให้เสร็จๆ ซะ จะได้จบสักที!” นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อวานเขาถึงกัดฟันทนแล้วใส่ยาให้ตัวเอง! เพราะฝีมือเช่นนี้ยังมีหน้าใฝ่ฝันว่าตัวเองจะกลายเป็นแพทย์ผู้มีชื่อเสียงอีก? ช่างน่า…เฮ้อ
เนื่องจากในด้านการรักษาหรือช่วยผู้ป่วยนั้นเขาไม่สามารถทำได้เลยสักนิด ตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนเพียงทายาและเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขาเท่านั้น แต่น้ำหนักมือของเขาทำเอาต้วนเฉินเซวียนเจ็บจนแทบทนไม่ได้ หากให้หลิวจือต้องไปจัดการด้านอื่นๆ อีก…ต้วนเฉินเซวียนคิดว่าปล่อยคนไข้พวกนั้นไปจะดีกว่า
อาการป่วยนั้นไม่ได้เป็นกันได้บ่อยๆ และหากยังต้องมาเจอกับหมออย่างหลิวจืออีก? เกรงว่าคนไข้คงจะก้าวข้ามความเจ็บปวดต่างๆ แล้วกลับบ้านทันที
“นายท่านเสร็จแล้วขอรับ! หลิวจือมองไปยังผลงานชิ้นเอกของตัวเองอย่างพอใจ “นายท่าน ข้าพันแผลได้ไม่เลวเลยใช่หรือไม่?” ที่ด้านบนเขายังผูกหูกระต่ายเอาไว้ด้วย แม้ว่าดูแล้วจะไม่ค่อยเข้ากับนายท่านสักเท่าไหร่แต่ความขัดกันแบบนี้กลับให้ความรู้สึกที่ดีกว่ามิใช่หรือ?”
ต้วนเฉินเซวียนมองไปยังหูกระต่ายอันใหญ่ที่ไหล่ของตัวเอง เขาเกือบจะเอากรรไกรตัดปมทั้งสองนั้นออก แต่เมื่อเห็นสายตาของหลิวจือที่เต็มไปด้วยการรอคอยและมีความหวัง…ต้วนเฉินเซวียนจึงตัดสินใจรั้งมือตัวเองเอาไว้
“ทำ ทำได้ไม่เลวเลย ข้าไม่มีธุระอื่นแล้ว เจ้าไปได้แล้ว” แม้ว่าจะมิอาจเอามาเปรียบเทียบกันได้ แต่แววตาเมื่อครู่นี้ของหลิวจือคล้ายกับสายตาของซูเหลียนอวิ้นในตอนนั้นไม่มีผิด
แววตาที่ระแวดระวัง หยั่งเชิงและร้องขอคำชมเชยจากเขา แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะสามารถหักใจปฏิเสธได้ แต่ตอนนี้…ต้วนเฉินเซวียนกลับรู้สึกว่า เขากลัวที่จะไม่ได้เห็นแววตาแบบนั้นอีกแล้วมากกว่า