ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 123 ไม่ติดค้างกันอีกต่อไป
“ข้า…” ต้วนเฉินเซวียนอยากจะก้าวออกไปข้างหน้าอีกสักครึ่งก้าว แต่เมื่อเห็นสายตาหวาดกลัวและระแวดระวังของซูเหลียนอวิ้น ฝีเท้าของเขากลับหยุดชะงักอยู่ที่เดิม
เขาก้มหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโดดเดี่ยว “ข้า…ซูเหลียนอวิ้น ข้าขอโทษ”
“ห๊ะ?” ห๊ะ?!
ต้วน ต้วนเฉินเซวียนพูดว่าอะไรนะ? บอกว่าขอโทษ?! กำลังพูดกับนางหรือ?!
พระเจ้า นางต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ! เพราะว่าตอนนี้ท้องฟ้าก็มืดหมดแล้ว เฮ้อ ดูท่าแล้วช่วงนี้คงต้องกินยากล่อมประสาทเข้าจริงๆ เสียแล้ว
เพราะจะให้นางมานั่งฝันทุกวันแบบนี้ก็คงมิใช่เรื่อง! อีกอย่างควาฝันนี้นับวันก็ยิ่งเหมือนจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ดูสิ ตอนนี้นางรู้สึกเหมือนว่าเห็นต้วนเฉินเซวียนตัวเป็นๆ เลยทีเดียว
“ซูเหลียนอวิ้น” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นว่านางไม่สนใจตน จิตใจของเขาก็ร้อนรน จึงต้องเรียกนางขึ้นมาอีกรอบ “ซูเหลียนอวิ้น เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซูเหลียนอวิ้นคงมิได้ตัดสินใจว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกแล้วนับจากนี้ไปกระมัง? แต่กระมังที่เรียกว่าตัวเองทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลนั้น
ต้วนเฉินเซวียนเตรียมจะก้าวเท้าเพื่อเข้าไปดูซูเหลียนอวิ้นให้ละเอียดว่านางเป็นอย่างไรแล้วในตอนนี้ เพราะว่า…ซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ดูท่าแล้วให้ความรู้สึกเหมือนนางเซื่องซึมไปแล้ว? นางเพียงกระพริบตาปริบๆ และไม่มีปฏิกิริยาใดเกิดขึ้นตามมาอีก
“ท่าน ท่าน ท่าน อย่าเข้ามานะ!” ซูเหลียนอวิ้นเอามือกุมกระบี่ของตัวเองเอาไว้พลางเอ่ยขึ้น “ถอยไป! อยู่ห่างๆ ข้า! ไม่งั้นเราคงคุยกันไม่รู้เรื่อง”
เมื่อกี้นางลองหยิกตัวเองดูแล้วที่กลางฝ่ามือของตน และนางรู้สึกว่าเจ็บปวดมาก! อีกอย่างรอยแดงที่ปรากฏอยู่ไม่มีทางเป็นของปลอมได้
เช่นนั้นก็หมายความว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ ไม่ใช่ความฝันแต่เป็นความจริง! ต้วนเฉินเซวียนบุกมาหานางที่ห้องกลางดึก!
ต้วนเฉินเซวียน…เขาคงไม่ได้โดนผู้ใดวางยาสลบมากระมัง? หรือว่าเขาดื่มเหล้าเยอะเกินไป ดื่มเยอะไปกระมัง? เท้าของเขาเลยล่องลอยมาถึงที่นี่
มิเช่นนั้นซูเหลียนอวิ้นก็คงคิดคำอธิบายใดๆ ไม่ออกที่จะสามารถทำให้เข้าใจพฤติกรรมของต้วนเฉินเซวียนขณะนี้ได้
เพราะว่าคนอย่างต้วนเฉินเซวียน รู้จักขอโทษผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
ทั้งหมดที่ผ่านมาล้วนเป็นความผิดของผู้อื่นทั้งสิ้น ดีมาก เจ้าต้องขอร้องให้เขาอภัยให้ เป็นความผิดของเขาหรือ? ดียิ่ง เจ้าก็ต้องขอร้องให้เขาอภัยให้เช่นกัน เพราะหากดูจากนิสัยของต้วนเฉินเซวียนแล้ว สาเหตุเป็นเพราะเจ้าทำให้เขาไม่สบายใจเอง ดังนั้นเขาจึงต้องหาเรื่องเจ้าอย่างไรเล่า
อีกอย่างการที่เขาหาเรื่องเจ้า เจ้าต้องซาบซึ้งในตัวเขาจึงจะถูก ผู้อื่นอยากให้เขาจับผิดจะแย่ แต่กลับไม่ได้รับโอกาสนั้น
ดังนั้นเห็นได้ชัดเจนว่า สิ่งมีชีวิตที่ซูเหลียนอวิ้นเห็นอยู่ในตอนนี้ ผู้ที่ขอโทษเป็นผู้นี้คือต้วนเฉินเซวียน ดังนั้นระดับความประหลาดใจในตอนนี้จึงไม่ต่างไปจากความรู้สึกที่นางได้ยินว่าพ่อของนางกำลังตั้งท้อง!
ผลที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ ซูเหลียนอวิ้นรู้สึกว่านางเพียงตกใจเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกดีใจ!
“ซูเหลียนอวิ้น ข้าขอโทษ” ต้วนเฉินเซวียนถอยไปข้างหลังอย่างว่าง่าย จากนั้นยังคำนับให้ซูเหลียนอวิ้นอีกทีแล้วเอ่ยว่า “ซูเหลียนอวิ้น เรื่องราวในอดีตทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า! เจ้าช่วยอภัยให้ข้าได้หรือไม่!”
“ฮะ? เอ่อ…” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าเบาๆ ในใจของนางกำลังคลุ้มคลั่ง ดูเหตุการณ์แล้วท่าทางจะไม่ปกติจริงๆ!
ตอนนี้นางหวังเพียงว่าต้วนเฉินเซวียนจะพูดให้จบโดยเร็ว จากนั้นก็รีบกลับไปซะ แล้วก็กลับไปนอนตื่นใหญ่ๆ สักตื่น ให้การนอนครั้งนี้เป็นการนอนติดต่อกันไปสองวันจนลืมเรื่องราวทุกอย่าง เพราะหากเขากลับไปเป็นปกติอีกครั้ง แล้วนึกได้ว่าตัวเองเคยมีช่วงเวลาที่น่าขายหน้าเช่นนี้เกรงว่าจะกลับมาหาเรื่องนางอีกรอบ
เรื่องนี้ไม่ว่าจะคิดอย่างไรล้วนไม่ดีต่อนางทั้งนั้น?! เพราะนางไม่ได้ทำอะไรให้เขาสักหน่อย!
“เจ้าเอ่ยอย่างนี้ แสดงว่าให้อภัยข้าทุกอย่างแล้วหรือ?” แววตาของต้วนเฉินเซวียนปรากฏความเจ้าเล่ห์ขึ้นพลางเอ่ยปากถาม
“เปล่า” ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าแล้วตอบตามความจริง “ข้าเพียงตอบรับไปส่งๆ เท่านั้น” ยิ่งไปกว่านั้นการที่คนอายุมากกว่านางอย่างเขาลดตัวลงมาขอโทษขอโพยนางเช่นนี้…คิดๆ ดูแล้วคงเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ดังนั้นหากเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา นางจะยอมใจอ่อนให้กับการขอโทษแบบพื้นๆ เช่นนี้หรือ? อีกอย่างเป็นเพราะเขาขอโทษอย่างหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ทำให้จิตใจของนางรู้สึกหวาดผวาจนได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ตอนนี้ความแค้นใหม่กับความแค้นครั้งเก่าจึงหลอมรวมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
“เช่นนั้นข้าต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะยอมขอโทษข้า” ต้วนเฉินเซวียนกอดอก น้ำเสียงของเขาแสดงออกถึงความได้เปรียบ
ซูเหลียนอวิ้นส่ายหน้าในใจ เป็นอย่างที่คาดไว้ ต้วนเฉินเซวียนในตอนนี้ต่างหากถึงจะปกติหน่อย แม้ว่าดูๆ แล้วจะยังคงมีท่าทางยอมให้นางตบตีเขาอยู่ แต่จะอย่างไรก็มีท่าทางคล้ายเขาในตอนปกติอยู่ดี!
ดีกว่าท่าทางเป็นคนดีของเขาเมื่อกี้ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า!
“เช่นนั้นท่านต้องบอกมาก่อนว่า ท่านขอโทษข้าด้วยเรื่องใด” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องตรงไปที่ต้วนเฉินเซวียน “คงไม่ได้หมายความว่าท่านเอ่ยคำขอโทษแล้วข้าจะต้องยอมรับกระมัง? เพราะต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็คงจะไม่ทำอะไรแบบนี้เช่นกัน?” นั่นเป็นเพราะว่าฮ่องเต้ไม่เคยขอโทษ ดังนั้นจึงไม่มีทางทำแบบนี้…
ทว่าสิ่งที่ซูเหลียนอวิ้นคิดไม่ถึงก็คือ เดิมทีนางคิดว่าประโยคนี้เป็นการเยาะเย้ยที่เจ็บแสบ แต่ภายหลังนางจะมีโอกาสได้เห็นว่าฮ่องเต้ก็ขอโทษเป็น…
แม้ว่าจะไม่ได้ขอโทษนาง
“ข้า…” ความคิดของต้วนเฉินเซวียนแล่นอย่างว่องไว เพื่อเสาะหาเหตุผลดีๆ สักข้อ เพราะเขารู้สึกว่าหากเอ่ยออกไปโดยตรง ด้วยนิสัยของซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้แล้วจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น! และจากนี้เป็นต้นไปนางจะพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาเข้าไว้เพื่อหลบหน้าหลบตาเขาให้พ้นๆ
เพราะซูเหลียนอวิ้นในตอนนี้ก็เริ่มหลบหน้าเขาแล้ว หากปล่อยให้ซูเหลียนอวิ้นรู้อีกว่าเขารู้ความลับสำคัญของนางแล้ว…
เขาเกรงว่าซูเหลียนอวิ้นจะเอ่ยออกมาว่ายอมรับคำขอโทษของเขาจากนั้นก็พูดต่อว่า ต่อจากนี้พวกเราสองคนไม่ติดค้างอะไรกันอีก เนื่องจากเขาได้สำรวจเรื่องราวเมื่อชาติก่อนอย่างละเอียดแล้ว ดังนั้นเขาย่อมรู้ดีและพร้อมรับมืออยู่แล้ว
แต่หากหาเหตุผลไม่ให้ได้ คงจะ…
“ข้าขอโทษสำหรับเรื่องราวที่ข้าปฏิบัติต่อเจ้าทั้งหมดในงานพิธีปักปิ่นวันนั้น”ต้วนเฉินเซวียนเอ่ยขึ้นด้วยสายตาสัตย์ซื่อ “เหตุการณ์ในวันนั้น ข้าได้…ทำให้เจ้าหวาดกลัวหรือไม่? ซูเหลียนอวิ้นข้าขอโทษเจ้าจริงๆ เจ้าให้อภัยข้าได้หรือไม่?”
เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดในวันงานพิธีปักปิ่นอีกแล้วหรือ? สายตาของซูเหลียนอวิ้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หรือว่า…คงจะไม่…ต้วนเฉินเซวียนในตอนกลางวันกับกลางคืนอาจจะเป็นสองคนที่แตกต่างกัน? ความรู้สึกนึกคิดและลักษณะที่แตกต่างกัน?
เพราะถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้วเหตุใดตอนเช้าถึงมีท่าทางอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อคน แต่ตอนนี้กลับมีท่าทางอ่อนแอ สายตาของเขาให้ความรู้สึกน่าสงสารราวกับลูกแกะตัวน้อยตัวหนึ่งเช่นนั้น?
สุดท้ายแล้ว…แม้ว่าจะผ่านมาสองชาติแล้ว เขาก็ยังเข้าใจต้วนเฉินเซวียนน้อยอยู่ดี!
“หากท่านกำลังพูดถึงเรื่องนี้ ข้าสามารถอภัยให้ท่านได้” ซูเหลียนอวิ้นพยักหน้าด้วยสายตาเป็นมิตร
นี่ไม่ได้เป็นเพราะว่านางกลัวหรือระแวงต้วนเฉินเซวียนจนไม่กล้ามีเรื่องกับเขาอีก แต่เหตุผลสำคัญคือนางคิดว่าการมีเรื่องอะไรประเภทนี้…เป็นเรื่องที่วุ่นวายอย่างยิ่ง! เพราะตอนนี้นางไม่อยากข้องเกี่ยวกับต้วนเฉินเซวียนเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นตอนนี้สะสางปัญหาให้จบไปก็ดีเหมือนกัน
อย่างน้อยๆ ดูผิวเผินแล้วพวกเขาทั้งสองคล้ายไม่ติดค้างอะไรกันอีกแล้ว? อืม เช่นนั้นตอนนี้ก็ต่างคนต่างแยกย้ายได้แล้ว
“เจ้ายังมีเรื่องอื่นใดจะพูดอีกหรือไม่?” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นว่าแววตาของซูเหลียนอวิ้นเริ่มจืดจางลงไปเรื่อยๆ เขาก็รู้สึกร้อนใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้อยากจะพูดกับข้าเลยหรือ?”