ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 106 เหิงชินอ๋อง
ตอนนั้นเอง มีรถม้าคันหนึ่งหยุดช้าๆ ลงที่หน้าจวนตระกูลซู จากนั้นจึงมีดรุณีน้อยนางหนึ่งเดินลงมาช้าๆ จากบนรถม้าสีทองนั้น รถม้าคันนั้นมองเพียงคราแรกก็เห็นถึงการตกแต่งที่ไม่ธรรมดา เพียงมองก็รู้ว่าคนที่อยู่ด้านในรถม้านั้นมีฐานะไม่ธรรมดา
“หนานกงจวิ้นจู่…” ซูเหลียนอวิ้นมองเห็นคนที่เดินลงมาจากรถม้าอย่างชัดเจนจึงรีบก้าวไปข้างหน้า แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตระหนก “เอ่อ จวิ้นจู่ เจ้าเหนื่อยหรือไม่? กระหายน้ำไหม? พวกเราเข้าไปดื่มชากันสักแก้วเถิด”
ซูเหลียนอวิ้นเบี่ยงตัวไปบังสายตาของหนานกงมู่เสวี่ย อย่าได้มองไปด้านหลังของนางอย่างเด็ดขาด! หากเกิดเรื่องขึ้นจริง…ไม่ๆ เอาเป็นว่าวันนี้อย่าได้เกิดเรื่องจะดีที่สุด!
มิน่าเล่าจึงรู้สึกว่าวันนี้หนังตากระตุกตลอด จะเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ด้วย!
หนานกงมู่เสวี่ยเลิกคิ้ว สายตาของนางบังเกิดความสงสัยและไม่เข้าใจ เพราะท่าทางของซูเหลียนอวิ้นตอนนี้ หากผู้ใดไม่สงสัยก็คงเป็นคนผิดปกติเต็มที!
หนานกงมู่เสวี่ยยื่นมือออกมาแล้วลากซูเหลียนอวิ้นไป ตอนที่เห็นองค์หญิงหย่วนเนี่ยนยืนอยู่ด้านหลังซูเหลียนอวิ้น แม้ว่าจะประหลาดใจไปบ้าง แต่ก็ยังพยักหน้าให้กันอย่างเป็นมิตรเพื่อแสดงควาทักทาย จากนั้นก็คุยไปยิ้มไปพลางลากซูเหลียนอวิ้นไปยังอีกด้านหนึ่ง
หนานกงจวิ้นจู่เป็นฝ่ายลากไปเองเช่นนี้ คนรอบข้างย่อมมิกล้าปริปาก ทำได้เพียงถอยออกห่างไปยืนยังด้านข้าง ดังนั้นต่อให้เป็นอันเพ่ยอิง แม้ว่าตอนนี้จะรู้สึกว่ากระกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมเท่าไหร่ แต่นางก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไป ด้วยเหตุนี้จึงทำได้เพียงจ้องมองซูเหลียนอวิ้นโดนลากออกไปแล้วหายลับไปในกลุ่มคน
ณ หัวโค้งตรงระเบียงทางเดิน
“ซูเหลียนอวิ้น เจ้ารู้อะไรมา?” หนานกงมู่เสวี่ยหยุดฝีเท้าแล้วหันตัวกลับมา ในสายตาของนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มแล้วเอ่ยปากเบาๆ ว่า “เมื่อครู่เจ้าไม่อยากให้ข้ามองเห็นองค์หญิงหยวนเนี่ยนหรือ เพราะอะไรกัน?”
ซูเหลียนอวิ้นเอามือลูบบริเวณข้อมูลที่โดนคว้าไว้เมื่อครู่ ถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะ “อะไร เปล่านะ! หนานกงจวิ้นจู่คิดมากเกินไปแล้ว…”
ซูเหลียนอวิ้นคิดว่าในความเป็นจริงนั้น เป็นตนต่างหากที่คิดมากเกินไป! ในบรรดาเชื้อพระวงศ์ ต่อให้เห็นอีกฝั่งแล้วไม่ชอบใจแค่ไหน ก็ไม่มีทางแสดงอารมณ์กันออกมาต่อหน้าผู้อื่นแน่!
ผลสุดท้ายเป็นเพราะความจุ้นจ้านของนางที่มากเกินไป จึงลากตัวนางเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย ช่างไม่รู้จักคิดหน้าคิดหลังเอาเสียเลย!
“เจ้ารู้เรื่องราวของพ่อข้ากับองค์หญิงหย่วนเนี่ยนงั้นหรือ?” หนานกงมู่เสวี่ยไม่อยากจะอ้อมค้อมกับนางจึงตัดสินใจถามออกไปตรงๆ “ที่แท้เรื่องนี้มีคนรู้เรื่องมากขนาดนี้เชียวหรือ? คนพวกนั้นคงคิดว่าตัวเองปิดบังได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว สุดท้ายขนาดคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างเจ้ายังรู้” น้ำเสียงขึ้นๆ ลงๆ ของหนานกงมู่เสวี่ย แสดงออกราวกับว่าสิ่งที่พวกเขากำลังวิจารณ์กันอยู่นั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตัวนางเลย
ซูเหลียนอวิ้นรีบโบกมือ “ไม่ใช่ๆ! ไม่ได้มีคนรู้มากขนาดนั้น!” ถ้าคนรู้มากขนาดนั้นคงไม่ดีกระมัง? เรื่องราวตื่นเต้นของเชื้อพระวงศ์เช่นนี้ หากเผยแพร่ออกไปจนทุกคนรู้จริงๆ เกรงว่าคนในเมืองหลวงนี้คงจะพูดถึงกันทุกวันอย่างไม่จบไม่สิ้นกระมัง
เพราะเรื่องราวซุบซิบเช่นนี้ทุกคนต่างชอบทั้งนั้น เรื่องราวลับๆ ของเชื้อพระวงศ์? นั่นยิ่งเป็นความรักที่ยิ่งกว่ารักเสียอีก!
“เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไร?” หนานกงมู่เสวี่ยเอามือมาเล่นผม น้ำเสียงของนางแฝงแววเย้าแหย่ “อย่ามาบอกข้าว่าหรงซู่บอกเจ้านะ หรงซู่ไม่ได้เป็นคนน่าเบื่อขนาดนั้น อีกอย่างข้าเชื่อว่า เขาเองก็คงจะไม่รู้กระมัง?” เนื่องจากเรื่องนี้มีนางเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย หรงซู่จะเสียเวลามาฟังเรื่องแบบนี้ทำไมกัน
“เอ่อ…” ซูเหลียนอวิ้นค่อยๆ ปิดปากลง เอาล่ะ ความคิดของนางเมื่อครู่นี้ คือตั้งใจเอาเรื่องๆ นี้โยนไปให้ท่านอาจารย์
“เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ ช่างบังเอิญจริงๆ…” ซูเหลียนอวิ้นเช็ดหน้าผากตัวเอง เพราะนางรู้สึกว่าตอนนี้หน้าผากของตนปรากฏเหงื่อแห้งๆ ขึ้นมาสองสามเม็ด
เวลาสนทนากับคนฉลาด มันช่างน่าเหนื่อยใจจริงๆ!
“เจ้ารู้ก็รู้ไปเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็เชื่อว่าเจ้าไม่มีทางเอาไปพูดต่อแน่ เพราะหากพูดกับคนอย่างหรงซู่ ข้าเองก็ควรวางใจ” หนานกงมู่เสวี่ยพูดไปพลางนั่งลงบนคานไม้ตรงระเบียงทางเดิน “อีกอย่างเจ้าไม่ต้องคิดมากเกินไป สำหรับองค์หญิงหย่วนเนี่ยน…ข้ารู้สึกว่าข้าต้องขอบคุณนาง ฮ่าๆ หากไม่มีนาง พ่อของข้าจะเลิกกับอนุภรรยาทั้งหมดในจวนแล้วเหลือเพียงแม่ข้าคนเดียวได้อย่างไร นางถือเป็นผู้มีพระคุณของข้าด้วยซ้ำ”
ซูเหลียนอวิ้นมิได้เอ่ยอะไร เพราะว่านางไม่รู้ควรจะเอ่ยว่าอย่างไรดี…ปลอบใจหนานกงมู่เสวี่ยหรือ? นางคิดว่าไม่มีความจำเป็น เพราะว่าตัวนางเองดูท่าแล้วไม่ได้ถือสาอะไร แล้วเช่นนั้นตนจะพูดไรสาระแบบนั้นไปทำไมกัน
“จะว่าไปแล้ว ซูเหลียนอวิ้น เจ้ารู้สึกอย่างไรกับองค์หญิงหย่วนเนี่ยน”
“เอ๊ะ?” ซูเหลียนอวิ้นกระพริบตาปริบๆ ทำไมหัวข้อสนทนาถึงมาตกอยู่ที่นางได้?
“อืม…เพราะว่าองค์หญิงหย่วนเนี่ยนถือเป็นผู้ที่ลุ่มหลงกับความรัก และข้าก็จำได้ว่าตอนนั้นตอนที่เจ้าวิ่งไล่ตามต้วนเฉินเซวียนต้อยๆ เช่นนั้น ดูท่าทางแล้วก็เป็นผู้ที่ลุ่มหลงในความรักเช่นกัน” หนานกงมู่เสวี่ยเอ่ยปากราวกับไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดมีสิ่งใดผิด
“ข้าเปล่านะ!” ซูเหลียนอวิ้นนั่งลงตรงหน้าหนานกงมู่เสวี่ยด้วยท่าทีโกรธขึงแล้วจ้องตาของหนานกงมู่เสวี่ย “ข้าเปล่านะ! ข้าไม่เคยวิ่งไล่ตามต้วนเฉินเซวียนต้อยๆ เข้าใจหรือไม่? อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่คนที่ลุ่มหลงในความรัก”
“อ้อ” หนานกงมู่เสวี่ยพยักหน้าอย่างเชื่อมั่น “ไม่มีก็ไม่มี แต่ว่าท่าทางเจ้าเป็นแบบนี้ มันดูเหมือนอยากจะปิดแต่ปิดไม่มิด และไม่อยากจะอธิบายให้ข้าฟังมากกว่า”
ซูเหลียนอวิ้น “…” พอเถอะ พวกเราไม่ต้องพูดเรื่องนี้กันแล้วล่ะ!
“ข้าไม่มีความคิดเห็นอะไรกับองค์หญิงหย่วนเนี่ยนทั้งนั้น…นั่นเป็นสิ่งที่นางตัดสินใจเอง คนรอบข้างไม่มีสิทธิ์แทรกแซง ทำได้มากสุดก็เพียงแนะนำเท่านั้น ในเมื่อตัวนางเองยืนยันจะทำแบบนั้น ก็เปรียบเสมือนปลูกอะไรก็ได้ผลเช่นนั้น ถึงเวลาก็อย่าโทษฟ้าโทษฝนก็พอ” ซูเหลียนอวิ้นเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจ “อีกอย่างนางในตอนนี้ ก็ถือว่าไม่เลวเลย?” เพราะในตอนนี้องค์หญิงหย่วนเนี่ยนก็ไม่ได้มีพฤติกรรมลุ่มหลงในความรักราวกับสตรีแรกรุ่น หรือโทษฟ้าโทษดินอะไรเช่นนั้น”
ไม่ว่าจะตัดสินใจถูกหรือผิดก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจและปล่อยวางได้
หากสามารถยืนหยัดทำแบบนี้ต่อไปได้ ความประทับใจของซูเหลียนอวิ้นที่มีต่อนางก็ถือว่าไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่ได้รู้สึกดูถูกอะไร
แม้ว่าเรื่องราวขององค์หญิงหย่วนเนี่ยนจะเป็นเรื่องราวความรักที่น่าประทับใจเพียงใด แต่ไม่ว่าจะทำให้คนประทับใจมากขึ้นเท่าไหร่ นั่นก็คงเป็นเพียงเรื่องราวที่สวยงามแต่เพียงเปลือกนอก ใจความหลักของเรื่องนี้ก็เป็นเพียงแค่เรื่องราวของฮูหยินที่ออกเรือนแล้วนางหนึ่งกับชายผู้เป็นพ่อที่แต่งงานมีลูกแล้วเท่านั้น
แม้ว่าซูเหลียนอวิ้นจะรู้สึกว่าองค์หญิงหย่วนเนี่ยนจะเป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง แต่คนที่น่าสงสารจะต้องมีจุดที่น่ารังเกียจอยู่ด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้เห็นใจนางมากนัก
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับองค์หญิงหย่วนเนี่ยนแล้ว คนที่น่ารังเกียจยิ่งกว่ากลับกลายเป็นเหิงชินอ๋อง! ทั้งๆ ที่ตัวเองก็แต่งงานไปแล้ว! ตัวเขาเองก็ได้กลายเป็นพ่อคนที่มีลูกแล้ว! ยังจะควบคุมตัวเองไม่ได้และไปก่อเรื่องเย้าแหย่คนอื่นอีก ผลสุดท้ายในตอนนี้องค์หญิงหย่วนเนี่ยนถึงขั้นสาบานไม่ขอแต่งงานรอบสอง แล้วเหิงชินอ๋องได้ทำอะไรบ้างเล่า?
แค่หย่ากับอนุภรรยาเท่านั้น!
ภาพลักษณ์ของเขาก็ยังคงเป็นท่านอ๋องผู้เป็นบิดาของลูกชายและลูกสาวทั้งสองคน พอเทียบกันเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไร องค์หญิงหย่วนเนี่ยนก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายมากกว่าอยู่ดี?”