ลิขิตกลกาล - ตอนที่ 37 หอนางโลม
ดูท่าแล้ว หยางเกิ่งรั่งคงจะนำสมบัติล้ำค่าพวกนั้นแปลงสภาพเป็นโบราณวัตถุที่หาได้ยากกระมัง ก็นับว่าถูก ของประเภทโบราณวัตถุยากต่อการตามสืบ อีกทั้งต่อให้ตามสืบได้ก็ยังสามารถอ้างได้ว่าเป็นของปลอมทั้งหมด
เมื่อครุ่นคิดถึงตรงนี้ ต้วนเฉินเซวียนก็ยิ้มหยันในใจแล้วเอ่ยออกมาว่า “ทำทุกเรื่องเหมือนพวกเราทุกคนเป็นคนโง่เขลา”
เขาคงมิได้คิดว่าการลงมือทำการใดๆ ของเขาล้วนไม่มีผู้ใดตามสืบได้กระมัง หรืออาจจะคิดว่าตระกูลของตนส่งสตรีผู้หนึ่งเข้าวังจนสามารถมัดใจโอรสสวรรค์ได้แล้วจะปั่นหัวเขาเล่นอย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือ ช่างน่าขันยิ่ง หรืออาจถึงขั้นน่าอนาถใจเลยด้วยซ้ำ
หันชิงอวี่พยักหน้าและถามขึ้นตามรูปการณ์ว่า “เช่นนั้นควรจัดการอย่างไรดี จะให้เข้ารวบเลย หรือว่า…”
“เหตุใดพวกเราต้องเอาตัวเข้าไปเกี่ยวพันมากมายเช่นนั้นด้วย เรื่องต่อจากนี้ พวกเราไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งแล้ว” กล่าวถึงตรงนี้ ต้วนเฉินเซวียนก็เดินไปยังอีกด้านหนึ่งของห้องเพื่อรินชาให้กับตัวเองจอกหนึ่ง “ถ้าหากทุกเรื่องราวใต้หล้า พวกเราล้วนเข้าไปจัดการทั้งหมด เช่นนั้นแล้วตำแหน่งฮ่องเต้จะไม่สบายเกินไปหน่อยหรอกหรือ เพียงแค่นำเรื่องนี้กราบทูลรายงานสักหน่อยก็พอแล้ว เจ้าเองก็จะมีเวลาพักผ่อนมากขึ้นอีกระยะหนึ่ง”
ท่าทีการพูดอย่างผ่อนคลายของต้วนเฉินเซวียนคล้ายเขาไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสมในคำพูดตน คำว่าตำแหน่งฮ่องเต้นั้น…เกรงว่าต่อให้เป็นฮ่องเต้เอง ก็คงจะไม่กล้าเรียกอย่างส่งเดชเช่นนี้
หันชิงอวี่ไม่เห็นด้วยนัก อีกอย่างเรื่องของเขาก็รายงานจนหมดแล้ว เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย แต่เมื่อเขาเห็นหว่างคิ้วของต้วนเฉินเซวียนยังคงขมวดแน่นก็ไม่เข้าใจว่าเกิดจากสาเหตุใด
พี่ต้วนคงไม่ได้กำลังหงุดหงิดใจด้วยเรื่องนี้หรอกกระมัง
หันชิงอวี่เป็นแบบอย่างของคนประเภทที่เรียกว่าเมื่อแผลหายดีแล้วก็ลืมความเจ็บปวดทั้งสิ้นไป ตอนนี้บรรยากาศเพิ่งจะผ่อนคลายลง เขากลับอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกไปอีกว่า “พี่ต้วน วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่านหรือ เห็นชัดว่าในใจของท่านร้อนรุ่ม ความร้อนรุ่มนี้หากสะสมไว้ในใจนานเข้าโดยไม่ได้ระบายออก นั่นอาจจะเป็นเหตุให้ท่านป่วยหนักได้ เช่นนั้นมิสู้ท่านบอกเล่ากับน้องชายอย่างข้าจะไม่ดีกว่าหรอกหรือ อย่างน้อยข้าอาจช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง ตอนนี้ดูจากสีหน้าท่านแล้วคล้ายมีผู้ใดติดเงินอยู่ก็มิปาน”
ต้วนเฉินเซวียนวางถ้วยชาลงแล้วหมุนตัวไปตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าเองกลับมิเคยรู้ แม่ของข้าไปให้กำเนิดเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หรือว่า…ที่จริงแล้วใต้เท้าหันไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของเจ้า ดังนั้นจุดประสงค์ที่เจ้ามาในวันนี้คือมาเพื่อเข้าเป็นคนของตระกูลข้า” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยต่อว่า “แต่หากวันนี้เจ้าจะเข้าเป็นคนในตระกูลข้า เจ้าก็คงมาผิดที่แล้ว ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าหน้าตาดีเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง โฉมหน้าอย่างเจ้า…ควรจะลองไปหาที่บ้านแม่เฒ่าหม่าดู อาจจะพอหาเบาะแสได้บ้าง”
บ้านแม่เฒ่าหม่านั้นเลี้ยงชีพด้วยการขายเต้าหู้ เต้าหู้ของบ้านนี้อร่อยเป็นที่หนึ่ง แต่สำหรับโฉมหน้าค่าตานั้น…อย่าเอ่ยถึงจะดีกว่า ถึงอย่างไรหากขึ้นชื่อว่าเป็นลูกหลานของบ้านนี้ก็ล้วนได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมสำคัญข้อหนึ่งมา มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ได้ทำออกมาอย่างส่งๆ
จมูกแบนราบ ตาโบ๋ลึก
ผู้ใดพบเห็นจะต้องมีความสามารถเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง คือเพียงเห็นผ่านตาก็ไม่อาจลืมเลือนได้
เมื่อหันชิงอวี่โดนต้วนเฉินเซวียนว่ากล่าวโดยไร้คำหยาบเช่นนี้ ความคิดของเขาจึงชะงักไป จากนั้นจึงเดินย่ำเป็นวงอยู่หลายรอบ สุดท้ายจึงเอ่ยว่า “ข้าทำคุณบูชาโทษโดยแท้! ข้ามีใจอยากช่วยเหลือท่าน แต่ท่านกลับเป็นเช่นนี้ ข้าชักรู้สึกเหลือทนแล้วเช่นกัน”
“ไม่ต้องหรอก” ต้วนเฉินเซวียนเหลือบมองคราหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “หากไม่มีเรื่องใดแล้วก็รีบหายตัวไปให้พ้นหน้าข้าเถิด เจ้าคิดอะไรอยู่ในใจมีหรือที่ข้าจะไม่รู้”
หันชิงอวี่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของต้วนเฉินเซวียนก็หัวเราะออกมา เพราะเรื่องที่สามารถทำให้พี่ต้วนเกิดความรู้สึกรุนแรงเช่นนี้ได้…เขาต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน!
“พี่ต้วน เหตุใดต้องเกรี้ยวกราดเช่นนี้ด้วยเล่า” หันชิงอวี่โพล่งออกไปด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “วันนี้ไม่มีธุระใดพอดี เช่นนั้นพวกเราไปเที่ยวปลดปล่อยข้างนอกกันดีหรือไม่ ได้ยินมาว่า เร็วๆ นี้หอชิงฮวนมีสาวๆ มาใหม่ เป็นนางรำมาจากเปอร์เซียกลุ่มหนึ่งเชียวนะ ทั้งเอวคอด สายตาและหน้าอกหน้าใจนั้น เมื่อพี่ต้วนเห็นแล้วจะต้องลืมความกลัดกลุ้มต่างๆ หมดสิ้นแน่ ท่านจะไปหรือไม่” หันชิงอวี่ไม่เชื่อว่า เมื่ออยู่ท่ามกลางสุราและนารี ต้วนเฉินเซวียนจะยังมีความลับปิดบังอะไรอีก ถึงเวลานั้นก็คงจะปิดบังไว้ไม่ไหว แถมยังจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียดอีกต่างหาก
หันชิงอวี่เป็นผู้มีใบหน้าเยาว์วัยไร้เดียงสา แม้ว่าเวลานี้จะพูดจาลามก แต่ด้วยรูปโฉมแล้วกลับข่มความหยาบคายเหล่านั้นหายไปมากทีเดียว หากผู้อื่นเห็นเขาคงรู้สึกว่านี่เป็นท่าทางของเด็กน้อยที่พยายามจะเป็นผู้ใหญ่จึงพยายามทำตัวคุ้นเคยเรื่องราวทางโลกีย์เท่านั้น ซึ่งนี่ทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าขัน
“ออกไป” ต้วนเฉินเซวียนบีบถ้วยชาในมือแน่นราวกับกำลังอดทนกับบางเรื่องอย่างถึงขีดสุดแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ดูแล้วช่วงนี้เจ้าคงว่างมากสินะ ข้าคิดว่าถึงเวลาที่ข้าต้องคุยกับใต้เท้าหันสักหน่อยแล้ว เจ้าเองก็มิใช่เด็ก ควรเข้ารับราชการเสียที”
ไปหอนางโลม…นี่เขาดูเป็นคนดิบเถื่อนเช่นนั้นเลยหรือ ในหัวของหันชิงอวี่คงมีแต่น้ำเข้าไปเต็มหมดแล้วกระมัง ต้วนเฉินเซวียนคิดว่าการที่ตนยังไม่จับเขาโยนออกไปถือว่าเมตตากับเขามากแล้ว
“อย่าๆๆ พี่ต้วนๆ มาคุยกันดีๆ ก่อน อย่าไปหาพ่อข้าเลย กว่าท่านพ่อจะไม่หาเรื่องข้าอย่างเช่นตอนนี้นั้นไม่ง่ายเลย ท่านช่วยทำให้ข้าได้เก็บช่วงเวลาดีๆ เช่นนี้เอาไว้ก่อนเถิด”
หันชิงอวี่ยอมแพ้ทันที หากต้วนเฉินเซวียนต้องการจะไปหาท่านพ่อของเขาจริงๆ เรื่องนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้น แค่ไปพบพ่อของเขา ผลที่ตามมาคงจะทำให้ผู้คนต่างขนพองสยองเกล้า! เขาเคยสัมผัสกับความน่าสยดสยองนั้นมาแล้วด้วยการจัดการของต้วนเฉินเซวียน
จะท้าทายอีกหรือ เขาเกรงว่าชะตาของตนคงไม่ได้แข็งขนาดนั้น
ต้วนเฉินเซวียนฟังความนัยที่อยู่ในเสียงของเขาออก แล้วถามว่า “ทำไมหรือ ช่วงนี้บิดาเจ้ายุ่งอยู่หรืออย่างไร หรือจะบอกว่าเป็นเพราะพี่ใหญ่ของเจ้า”
หันชิงอวี่เกิดในตระกูลของอัครมหาเสนาบดี ในอดีตคนในครอบครัวของเขาล้วนรับราชการทั้งสิ้น แต่เมื่อถึงยุคของหันชิงอวี่ เขากลับไม่สนใจในเรื่องการปกครองบ้านเมืองและการรับราชการ แต่กลับเอนเอียงไปสนใจในการทำธุรกิจหาเงินมากกว่า
เมื่อบิดาของหันชิงอวี่เข้าสู่ช่วงวัยกลางคน นิสัยก็ยิ่งดื้อรั้นและคร่ำครึมากขึ้น ชีวิตเขายอมรับเพียงอาชีพรับราชการเป็นขุนนางเท่านั้น เป็นขุนนางที่ดีต้องมือสะอาด ไม่ควรละโมบจนเกินไป อีกทั้งยังได้เปรียบเทียบอีกว่า บัณฑิต เกษตรกร คนงานและพ่อค้า พ่อค้าถูกจัดอันดับอยู่ท้ายสุด เพราะเป็นงานที่คนดูถูกกันมากที่สุด ตระกูลของอัครเสนาบดีเองก็ไม่ได้ขัดสนเงินทอง เหตุใดต้องไปสนใจงานเช่นนั้นด้วยเล่า”
แต่เรื่องราวกลับตรงกันข้าม ตระกูลของเขากลับมีบุตรชายที่ชอบข้องเกี่ยวกับเงินทองอย่างเป็นชีวิตจิตใจจนทำให้เขารู้สึกขายหน้า เมื่อเห็นหน้าหันชิงอวี่ก็โกรธจนจมูกไม่เป็นจมูก ตาไม่เป็นตาขึ้นทันใด แต่ยังดี หันชิงอวี่แม้ดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง แต่ในหัวของเขายังคงเห็นแก่พี่ชายใหญ่ของเขา พี่ชายใหญ่ของเขากลับเป็นคนที่ทำเรื่องราวใดๆ อยู่ในกฎในระเบียบตลอดมา ดำเนินรอยตามเส้นทางที่ใต้เท้าหันปูทางไว้ให้ ไม่เคยปรากฏความผิดพลาดแม้แต่น้อย
เมื่อมีของล้ำค่าอยู่ตรงหน้า แม้ว่าหันชิงอวี่จะดื้อรั้น แต่ตระกูลหันก็ไม่ได้มีทางเดียวให้เลือกเดิน บวกกกับปกติแล้ว เขายังมีต้วนเฉินเซวียนคอยดูแลอยู่ข้างหลัง นี่จึงทำให้เขาพอมีอิสระอยู่บ้าง
ทว่าหากถามว่าเพราะเหตุใดใต้เท้าหันจึงใกล้ชิดกับต้วนเฉินเซวียนและลูกชายของตนเช่นนี้ เขาเองกลับไม่มีคำปฏิเสธใด…
คำอธิบายคงมีเพียงว่า แม้ว่าใต้เท้าหันจะเป็นคนคร่ำครึโบราณ สายตาฝ้าฟางไปบ้าง แต่สายตาในการมองคนของเขา เขากินข้าวมาแล้วกว่าครึ่งชีวิตย่อมต้องมีสายตาที่แหลมคมกว่า สิ่งใดเป็นหนอนสิ่งใดเป็นมังกร เขาล้วนมองเห็นและแยกแยะได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ถึงแม้ว่าชื่อเสียงของต้วนเฉินเซวียนในเมืองตอนนี้จะขึ้นชื่อว่าเป็นคนเหลวไหลและเอาแต่ใจตัวเองก็ตาม