ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 263.4 สมรสพระราชทานร่วมกัน ปมในใจของแม่นางหัน (4)
“ยังจะมีใครอีกเล่าเพคะ” ชูซย่าจนใจ
อวิ๋นหว่านชิ่นก็เคยได้ยินมาเช่นกันว่าหรุ่ยจือนั่นตอนแรกก็ติดตามไปเขตปกครองส่านซีด้วยเช่นกัน ยามนี้ก็กลับมาแล้วด้วย
หลายวันก่อนตอนท่านอ๋องจัดการบรรดาสนมที่อยู่ในส่วนลึกของจวน ก็ถือโอกาสให้เกาจ๋างสื่อจัดการบั้นปลายชีวิตให้หรุ่ยจือเช่นกัน เห็นว่าหรุ่ยจือติดตามตนมานานแล้ว อายุอานนามก็ไม่น้อยแล้วเช่นกัน เตรียมคนไว้ให้นางไม่น้อย ปล่อยออกจากวังไป จะได้ไม่ชักช้า ใครจะไปรู้หรุ่ยจือคุกเข่าอยู่นอกพระที่นั่งเฉียนเต๋อให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมลุก อยากจะติดตามนายท่านเหมือนเมื่อก่อน
ความดื้อรั้นของหรุ่ยจือนั่นอวิ๋นหว่านชิ่นก็เคยสั่งสอนมาแล้ว ยามนี้กลับร้ายกาจกว่าเดิม คุกเข่าอยู่สามวันสองคืนไม่กินไม่ดื่ม ฝนตกลมพัดก็ไม่ลุก
ยามนี้ราชกิจของท่านอ๋องมากมาย ไหนเลยจะมีเวลาไปชักช้ากับนางอยู่ จะแต่งก็แต่ง ไม่แต่งก็ช่างมัน แล้วแต่นาง ไม่ได้ไปบีบบังคับนางอีก
เกาจ๋างสื่อจัดให้นางเป็นผู้ดูแลห้องหนังสือในตำหนักแห่งหนึ่งเป็นการชั่วคราว
“สตรีนางนี้ นิสัยตรงไปตรงมาเสียจริง เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะติดตามฝ่าบาทให้ได้” เมี่ยวเอ๋อร์ยิ้มพลางทอดถอนใจหยิบถ้วยลายครามขึ้นมาแล้วส่ายหน้า
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เอ่ยคำใด ยามนี้บุรุษและสตรีที่อยากจะติดตามท่านอ๋องมีแค่หรุ่ยจือคนเดียวเสียที่ไหน
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ในใจหรุ่ยจือก็น่าจะกระจ่างแจ้งแล้วว่า หากสามารถกลายเป็นสตรีข้างกายของท่านอ๋องได้ คงจะทำสำเร็จไปนานแล้ว ในสายตาของท่านอ๋อง สุดท้ายนางก็เป็นได้แค่มือซ้ายขวาของเขาเท่านั้น
แม้พูดไปแล้วจะเลือดเย็นไร้ปรานีอยู่บ้าง แต่สำหรับท่านอ๋องที่ยามนี้กลายเป็นฮ่องเต้แล้ว ก็คงไม่ขาดมือเท้านี้ไปแน่
นางเองก็น่าจะรู้ สิ่งที่กระตุ้นให้นางอยู่ต่อ ก็แค่ความจงรักภักดีต่อนายท่านที่เคยชินในใจเท่านั้น
ณ ตำหนักเซียงจวีของวังหลัง
คนรับใช้ที่กลับมาจากเขตส่านซีด้วยคุ้นชินกับความรุ่งโรจน์ของวังหลวงและการต้อนรับของบรรดานางกำนัล ทว่าก็อดทอดถอนใจส่ายหน้าให้กับนายหญิงไม่ได้
หลังจากพระสนมหันเข้าวังมา ไม่ได้พบหน้าฝ่าบาทเลยแม้แต่วันเดียว จนถึงตอนนี้ก็ใกล้จะถึงวันแต่งตั้งบรรดาศักดิ์แล้ว ตามหลักการแล้ว ก็ควรรีบตีสนิทกับฝ่าบาทหรือไม่ก็คนใกล้ชิดฝ่าบาทได้แล้ว แต่พระสนมหันกลับเอาแต่อุดอู้อยู่ในตำหนักเซียนจวีทั้งวัน องค์หญิงสองชันษากว่าๆ ที่อยู่ข้างกายนางก็ดูเหมือนจะไม่สนใจตำแหน่งอะไร คร้านจะไปเยื้อแย่ง
พระสนมพบว่าตัวเองตั้งครรภ์ระหว่างทางที่ทั้งจวนฉินอ๋องเดินทางไปยังเขตส่านซี พอถึงเขตปกครอง ฝ่าบาทก็ให้คนซ่อมแซมสวนไผ่ด้านหลังจวน ให้พระสนมย้ายเข้าไปดูแลครรภ์ที่นั่น แล้วหาแม่นมท้องถิ่นมากมายมาดูแลทำคลอดให้
ดูท่าแล้ว ฝ่าบาทก็น่าจะให้ความสำคัญต่อครรภ์นี้ของพระสนมมากนี่นา แต่องค์หญิงคลอดออกมาแล้ว พอคนรับใช้อุ้มไปหา ฝ่าบาททำแค่มองดูคราหนึ่งนิ่งๆ แม้จะกำชับให้คนในจวนดูแลองค์หญิงให้ดี อย่าได้ชักช้าลังเลแม้แต่น้อย ทว่าไร้ซึ่งความยินดีปรีดาของคนเป็นพ่อเลยสักนิด
ตวนเจี่ยร์เพิ่งจะคลอดได้ไม่นาน ฝ่าบาทก็หายตัวไปในหุบเขาบงกชหิมะ ไร้ร่องรอยอยู่ปีกว่า พ่อลูกจึงยิ่งไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันมากกว่าเดิม
ยามนี้พระสนมพาองค์หญิงกลับเมืองหลวงมา ฝ่าบาทไม่ได้พบพระธิดามานาน นึกไม่ถึงว่าก็ยังไม่ได้ให้อุ้มพระธิดาไปหาอีก
จนตอนนี้ กระทั่งชื่อจริงขององค์หญิงก็ยังไม่ได้ตั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉายานามเลย เพราะคลอดยามเทศกาลตวนอู่[1] จึงตั้งให้แค่ชื่อแรกเกิดที่ไม่เป็นทางการเรียกว่าตวนเจี่ยร์
กลางวันวันนี้ เสี่ยวเหมยแห่งตำหนักเซียนจวีทำตามที่หลี่ว์ชีเอ๋อร์กำชับให้ไปลองเยี่ยมๆ มองๆ ดูที่ตำหนักกระดิ่งทอง จากนั้นก็กลับมารายงานหลี่ว์ชีเอ๋อร์ว่า “แม่นางชีเอ๋อร์ ฝ่าบาทเลิกประชุมแล้ว แต่ว่า เหมือนจะไปหาอวิ๋นฮูหยินที่หอเหยาไถ”
เสี่ยวเหมยและสาวใช้คนอื่นๆ ต่างเป็นคนรับใช้จากเขตปกครองส่านซี แต่แม่นางชีเอ๋อร์ติดตามพระสนมมายังเขตปกครองจากเมืองหลวง ดังนั้นแม่นางชีเอ๋อร์จึงสูงกว่าขั้นหนึ่งท่ามกลางคนทั้งกลุ่ม เสี่ยวเหมยและสาวใช้คนอื่นๆ ของตำหนักเซียนจวีเชื่อฟังหลี่ว์ชีเอ๋อร์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
หลี่ว์ชีเอ๋อร์วางมาดคนเก่าคนแก่ใส่สาวใช้ใหม่ทั้งกลุ่มจนอิ่มตัวนานแล้ว ยามนี้ฟังจบกลับไม่แปลกใจ ทำเพียงโบกมือไล่เสี่ยวเหมยออกไปแล้วหันหลังเดินเข้ามา
เพิ่งจะเปิดม่านขึ้น เห็นหันเซียงเซียงนั่งอยู่บนตั่งใหญ่ใกล้หน้าต่าง กำลังปอกเปลือกเกาลัด ใช้ค้อนหยกทุบให้แตก แล้วป้อนให้ตวนเจี่ยร์ทีละนิด
“เฮ้อ นายหญิงเอ๋ย” หลี่ว์ชีเอ๋อร์เดินเข้าไปหา “ใกล้จะได้รับการแต่งตั้งแล้วแท้ๆ ยามนี้ฝ่าบาทพอเลิกประชุมก็วิ่งโร่ไปหอเหยาไถ ท่านดูสิ ท่านกลับเมืองหลวงมานานเพียงนี้แล้ว เรียกพวกท่านสองแม่ลูกเข้าเฝ้ายังไม่เคยจะมีสักครั้ง ผิดที่ท่านไม่มีความระแวดระวังเลยสักนิด ถึงตอนแต่งตั้งขึ้นมา หากแม่นางอวิ๋นนั่นได้บรรดาศักดิ์สูงกว่าท่าน ดูซิจะทำเช่นไร”
หันเซียงเซียงยังไม่หยุดมือ ยังคงป้อนลูกสาวอยู่ ทำเพียงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เดิมทีฝ่าบาทกับนางก็ครองคู่กันอยู่แล้ว ซ้ำยังไม่ได้พบกันนานเพียงนี้ ไปหอเหยาไถก็ปกติอยู่แล้วนี่นา นางตำแหน่งสูงส่งกว่าข้า ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ข้าไม่ริษยา ข้ามีตวนเจี่ยร์ก็พอแล้ว บรรดาศักดิ์ใด ความรักความโปรดปรานใด ข้าไม่อยากไปเยื้อแย่ง และไม่มีปัญญาไปแย่งด้วย”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ร้อนใจขึ้นมาแล้ว “เมื่อก่อนท่านตำแหน่งต่ำกว่าแม่นางอวิ๋น ทว่ายามนี้ไม่เหมือนกันแล้วนะ นางเข้าวังหลังของหลงชังฮ่องเต้แล้วด้วย กระทั่งองค์ชายก็คลอดแล้ว ท่านควรจะแย่งตำแหน่งสูงกว่านางสักหน่อย…”
“พอได้แล้ว” หันเซียงเซียงขมวดคิ้ว ระบายอารมณ์ออกมาอย่างหาได้ยากยิ่ง “ข้าแค่อยากใช้ชีวิตสุขสงบกับตวนเจี่ยร์ไปตลอดชีวิต เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว หากฝ่าบาทเย็นชากับข้าไปทั้งชาติ ข้าก็ไม่ไปเยื้อแย่ง หากเจ้าคิดว่านายอย่างข้าไร้สง่าราศี เจ้าก็ไปหานายคนอื่น ข้าไม่ห้ามอนาคตอันสวยงามของเจ้าหรอก!”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์มุมปากกระตุกเล็กน้อย คิดว่าข้าไม่อยากหรือไร แต่ยามนี้ในวังนอกจากเจ้าแล้ว ใครจะมีอนาคตที่สวยงามได้อีก หากเป็นไปได้ ข้าก็ยอมไปขอพึ่งแม่นางอวิ๋น นางทำเรื่องไม่ดีได้มากกว่าเจ้าเสียอีก มิเช่นนั้นจะเอาฮ่องเต้ทั้งสองอยู่หมัดได้อย่างไร ทว่าไหนเลยจะรับนางไว้…หลี่ว์ชีเอ๋อร์จำต้องคลายน้ำเสียงลง เอ่ยว่า “นายหญิงพูดอันใดกันเจ้าคะ บ่าวไม่ติดตามท่านแล้วจะติดตามใครได้ เอาล่ะ ในเมื่อนายหญิงบอกว่าตวนเจี่ยร์ เช่นนั้นก็คือตวนเจี่ยร์ องค์หญิงที่ถูกต้องถูกหลักทำนองครองธรรม ฝ่าบาทยังไม่มองสักครั้ง โอรสของคนอื่น ฝ่าบาทกลับอุ้มเอาไว้ในมือทั้งวัน รักใคร่เสียเต็มประดา ท่านเองไม่รู้สึกไม่เป็นธรรม บ่าวกลับรู้สึกเจ้าค่ะ”
หันเซียงเซียงชะงักมืออยู่กลางอากาศ วางเกาลัดไว้ในถาด ดวงตาสองข้างจ้องมองใบหน้าอ่อนนุ่มของอีกฝ่าย ดวงตาเป็นประกาย “อย่างนั้นรึ ตวนเจี่ยร์เป็นองค์หญิงที่ถูกต้องถูกหลักทำนองครองธรรมอย่างนั้นรึ…”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ตกใจจนหน้าถอดสี ปิดปากนางไว้ “ท่านอย่าได้พูดเหลวไหลออกมาสิ ตวนเจี่ยร์มิใช่องค์หญิงที่ถูกทำนองครองธรรมแล้วจะเป็นอะไร ถุย ถุย ถุย อย่าได้พูดเพ้อเจ้ออีก”
หันเซียงเซียงกลับปัดมือนางออก หัวเราะกึ่งเย้ยหยันกึ่งเย็นชาว่า “อย่าพูดรึ ไม่พูด แล้วสามารถหลอกตัวเองและคนอื่นได้หรือไร คิดว่าฝ่าบาทไม่รู้จริงๆ น่ะรึ ข้ากับฝ่าบาทไม่เคย…”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์กลัวว่ากำแพงมีหูประตูมีช่อง รีบเอ่ยขึ้นว่า “จะไม่เคยได้อย่างไร ระหว่างทางไปเขตส่านซี บ่าวตามหาหมอเพื่อจะเอายาไปตามทางไม่ใช่หรือไร วันนั้นฝ่าบาทเป็นลม ไม่ใช่ว่าพระสนมกับฝ่าบาท…”
ตอนนั้นเพิ่งจะเดินทางไปได้ไม่เท่าใด พระสนมก็รู้ตัวว่าท้อง หลี่ว์ชีเอ๋อร์ปรีดาอย่างยิ่ง กำลังจะไปบอกฝ่าบาท แต่ถูกนางดึงไว้ เห็นสีหน้าตื่นตระหนกของนางก็แปลกใจ แล้วได้ยินนางพูดว่า ให้ตนคิดหาวิธีใดก็ได้รีบหาทางให้ตนได้นอนค้างคืนกับฝ่าบาท ก็คาดเดาได้หลายส่วนแล้ว ไล่ต้อนถามต่อ หลี่ว์ชีเอ๋อร์จึงได้รู้ว่า ที่แท้หันเซียงเซียงไม่เคยได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับฉินอ๋องเลย ในเมื่อไม่เคยนอนด้วยกัน แล้วเด็กในครรภ์มาจากไหน!
หันเซียงเซียงกัดฟันแน่นไม่พูดถึงตัวการที่แท้จริงของครรภ์นี้ หลี่ว์ชีเอ๋อร์ก็ไม่มีเวลามาถามมาก หากไม่รีบจัดการ พระสนมได้จบเห่แน่ ตัวเองก็จะจบสิ้นไปด้วย นางคิดหาทุกวิธีทำยานอนหลับออกมา แล้วไปยังห้องหนังสือเอาใส่ไว้ในน้ำให้ฉินอ๋องดื่ม รอให้ยาออกฤทธิ์พอประมาณแล้ว ค่อยให้พระสนมไปส่งมื้อดึกให้ เรื่องดีๆ ก็จะสำเร็จ
———————–
[1] เทศกาลตวนอู่ เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง