ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 256.3 อุ้มลูกตามรถ คำแรกของเด็กน้อย (3)
ทั้งสองคนโกรธกริ้ว เตรียมจะหุบปากก็ยิ่งตื่นตระหนก นึกไม่ถึงว่าปากจะหุบลงมิได้แล้ว เหมือนกับข้อมือที่ยังอยู่ในท่าเดิม แข็งค้างไปแล้ว!
คนอื่นๆ ตกใจยกใหญ่ รีบเข้าไปหา “เป็นอย่างไรบ้าง…” แล้วมองไปยังชายชรา ทว่ากลับไม่กล้าเข้าไป กลัวว่าจะเป็นเหมือนสหายสองคนนั้น ทำเพียงอู้อี้ว่า “เจ้าทำอันใดพวกเขา…”
“ไม่ตายหรอก เป็นหินมีชีวิตสักครู่เท่านั้น” ชายชราอาภรณ์ครามหัวเราะออกมายกใหญ่ สายตาหันไปเห็นคนด้านในเลิกม่านห้องไม้ไผ่ออกมา แผ่นหลังหันไปทางประตูด้านข้างอีกด้านของร้านอาหารคล้ายจะใช้ประตูด้านข้างเดินออกไป
ชายชราอาภรณ์ครามไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับบุรุษเหล่านั้นอีก รีบเดินตามไป
บรรดาคุณชายโดนคำพูดของชายชราคนนั้นทำเอาตกอกตกใจจนหน้าถอดสี รู้ว่าเจอดีเข้าให้แล้ว ไหนเลยจะยังกล้าไปถือสาหาความอีก หามสหายสองคนที่ปากเบี้ยวตาเขชูข้อมือไว้เพราะวางลงมิได้ขึ้นมา แล้วเดินออกไปทั้งน้ำตานองหน้า
ชูซย่าฉงนขึ้น มองอวิ๋นหว่านชิ่นแวบหนึ่ง เห็นนางไม่ได้สนใจพวกคุณชายที่หนีไปอย่างอกสั่นขวัญกระเจิง เอาแต่จ้องตามแผ่นหลังชายชราอาภรณ์ครามไป
ร้านอาหารลูกค้ามากมาย เงาร่างนั้นแทรกผ่านกลางฝูงชน จงใจก้มหน้าไว้ ผ้าคลุมผืนใหญ่สีดำที่ใช้กันลมราตรีปกคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า อย่าว่าแต่รูปร่างเลย กระทั่งเป็นชายหรือหญิงก็ยังแยกไม่ออก
พอผ้าม่านประตูข้างเลิกขึ้น เงาร่างนั้นก็หายลับไปท่ามกลางร้านอาหารที่ลูกค้าเข้าออกคึกคัก ชายชราอาภรณ์ครามคนนั้นก็ตามออกไปแล้วเช่นกัน
อวิ๋นหว่านชิ่นลุกพรวดโดยสัญชาตญาณ กระทั่งลูกชายก็ไม่มีเวลาส่งไปให้คนข้างๆ นางอุ้มบัวลอยน้อยออกจากที่นั่งไป
“ฮูหยิน” ชูซย่าตกใจ เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นวิ่งออกไปทางประตูข้างอย่างคาดไม่ถึง ไม่มีเวลาเรียกเฉินจ้าวและฉีไหวเอิน นางวางเงินไว้แล้วตามไปทันที
อวิ๋นหว่านชิ่นเลิกม่านประตูข้างขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง วิ่งออกมานอกร้าน เสียงจอแจชนแก้วพลันเงียบลง นภาสีหมึก ข้างหูเงียบงัน
ประตูข้างของร้านอาหารเป็นที่ว่างเปล่า นางหันหลังให้ถนนสายหลักและไร้แสงสว่าง อาศัยแสงเดือนพอจะเห็นรถม้าที่พ่วงด้วยม้าตัวเดียวคันหนึ่งจอดอยู่เบื้องหน้า
คล้ายมีคนเพิ่งจะขึ้นรถไป ผ่านม่านโบกไหว ชายชราอาภรณ์ครามในร้านอาหารเมื่อครู่นั่งตำแหน่งพลขับ กำลังยกแส้ขึ้น
“นายหญิง…” ชูซย่าหอบหายใจตามออกมาจากประตู
ม่านหน้าต่างห้อยลงโบกไหวท่ามกลางลมฤดูร้อน ในชั่วขณะนั้นเอง ก็สะท้อนเป็นเงาร่างคนภายในหน้าต่าง
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกว่าใจเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน คล้ายบัวลอยน้อยในอ้อมอกก็สัมผัสอารมณ์ของผู้เป็นมารดาได้ เขาหยุดร้องและขยับ กลายเป็นเงียบงันเป็นพิเศษ
“ไป…” ชายชราอาภรณ์ครามสะบัดแส้ ควบไปยังเบื้องหน้าอันว่างเปล่าหันหลังให้แก่ประตูข้างของร้านอาหาร
อวิ๋นหว่านชิ่นได้สติขึ้น อุ้มบัวลอยน้อยไว้แน่น ตามรถม้านั้นไป “หยุด…หยุด…หยุดก่อน…”
รถม้าไหนเลยจะมีทีท่าหยุดลง พอได้ควบแล่นแล้วก็ทิ้งห่างสองแม่ลูกเบื้องหลังโดยพลัน ไม่ได้ยินเสียงเลยแม้แต่น้อย ยังคงวิ่งไปเบื้องหน้า
อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่รู้เช่นกันว่าตัวเองเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน อุ้มลูกชายไว้แน่น ทุ่มสุดชีวิตตามรถเบื้องหน้าไป เสียงเจี๊ยวจ๊าวจอแจไม่ไกลกันนั้นและเสียงควบของเกือกม้ากลบเสียงเรียกให้หยุดของนางมิด ใบหน้าบัวลอยน้อยมีลมโกรกพัดหวิวๆ เขาทำเพียงดึงเสื้อของมารดาไว้อย่างเชื่อฟัง เป็นเด็กดีซุกอยู่ในอ้อมอกนั้น ไม่เพิ่มความยุ่งยากให้คนเป็นแม่
รถม้าควบมาถึงถนนกว้างที่สองข้างทางเป็นป่า แสงจันทร์ส่งลอดเงาไม้กระทบบนถนน ชายชราอาภรณ์ครามจึงได้พบว่าเบื้องหลังมีคนตามมา ตกอกตกใจดึงบังเหียนไว้ให้รถม้าช้าลง ได้ยินเสียงจากห้องโดยสารด้านหลังดังมาว่า “ไม่ต้องหยุด”
น้ำเสียงไม่ต่างกับยามปกติ เย็นชาโดดเดี่ยวดั่งน้ำพุกระทบก้อนหิน ฟังอย่างละเอียดแล้วกลับระงับความสั่นเอาไว้ไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าจะเป็นการระงับอดทนที่ชายชราไม่เคยได้ยินมาก่อน
ชายชราอาภรณ์ครามได้รับคำสั่ง แส้ม้าสะบัดลงไปดังเพี้ยะอีกครั้ง
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นรถม้าตรงหน้าค่อยๆ ช้าลง ในใจก็ปรีดายิ่ง กำลังจะเร่งฝีเท้าตามไป กลับเห็นรถม้าเร่งความเร็วขึ้นมาอีกครั้ง ควบเร่งไปอย่างรวดเร็วกว่าก่อนหน้านี้อย่างไม่คาดคิด
สภาพจิตใจนางแตกยับเยิน แต่ไม่ได้ทดท้อใจ ฟันขาวกัดแน่น ตามไปยังเบื้องหน้าต่อ เสียงลมโบกพัดหวีดหวิวอยู่ข้างหู รองเท้าปักพื้นบางเสียดสีจนขาดไปนานแล้ว มือและข้อศอกที่อุ้มลูกชายปวดเมื่อยจนจะขาดใจ แต่ไหนเลยจะเร็วเท่ารถม้า ไม่ทันไร รถม้าเบื้องหน้าก็เล็กลงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เห็นรถม้าใกล้จะถึงทางแยก นางก็ร้อนใจ เท้าที่เหนื่อยล้าจนชาดิกไปนานแล้วเหยียบโดนก้อนหิน หลบไม่พ้นในระยะเวลาอันสั้น ทั่วทั้งร่างล้มลงไปข้างหน้า ในชั่วขณะที่ล้มลงนั้น นางรีบเอาลูกแนบไว้กับท้อง ตัวโน้มไปด้านล่าง ไม่ให้ลูกมีโอกาสโดนพื้น
“โอ๊ย…” นางรู้สึกว่าข้อมือที่ยันพื้นไว้เจ็บแปลบขึ้นมา จึงครางเครือขึ้น ไม่มีเวลามาสนใจตัวเอง นางฝืนยันตัวขึ้น รีบตรวจดูบัวลอยน้อยว่าไม่ได้ล้มลง โชคดีที่ลูกเกาะคอนางไว้ จึงไม่ได้รับบาดเจ็บใด แต่พอเห็นแม่ล้มลงก็เหมือนจะได้รับความตกใจ เบิกตากว้างโตอยู่นาน จู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมายกใหญ่
“ขอโทษลูก เป็นแม่ที่ไม่ดีเอง…” อวิ๋นหว่านชิ่นกอดลูกชายไว้ ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาลูกให้แห้ง เจ็บปวดใจเจียนตาย ทั้งรู้สึกผิดที่เกือบทำให้ลูกได้รับบาดเจ็บ จิตใจนางขื่นขม สะอึกสะอื้นขึ้นมาอย่างไม่อาจหักห้ามใจได้ ตัดสินใจไม่อุ้มลูกตามรถม้าต่อแล้ว
นางลุกขึ้นอย่างขวัญเสีย กำลังจะหันหลังกลับไป ไม่ไกลกันนั้นกลับมีแสงไฟส่องมา ทีละนิด ทีละนิด สว่างมากขึ้นเรื่อยๆ
พร้อมกับแสงไฟที่ใกล้เข้ามาคือเสียงเกือกม้า
ใจนางกระตุก อุ้มลูกชายมองไป นึกไม่ถึงว่ารถม้าม่านครามคันนั้นจะกลับมา
ชายชราอาภรณ์ครามตรงหัวรถเห็นสองแม่ลูกล้มลงจนมีสภาพเช่นนี้ ก็โศกเศร้าอาดูรอย่างไม่อาจห้ามใจได้ หันหน้าไปมองภายในห้องโดยสาร ถอนหายใจออกมา หากนางไม่ล้มลง รถม้าก็คงไม่ได้หันหัวกลับหรอก
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นรถม้าควบมา ยามนี้กลับไม่กล้าเข้าไปหา กลัวว่าตื่นเต้นไปยกใหญ่ สุดท้าย คนในรถจะมิใช่คนผู้นั้นที่ตนอยากจะเห็น แล้วจะดีใจเก้อ
ชายชราอาภรณ์เขียวชูโคมข้างหัวม้าขึ้น เอ่ยว่า “ฮูหยินและคุณชายน้อยไม่เป็นอันใดกระมัง บาดเจ็บหรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นพยายามอย่างสุดกำลังที่จะข่มเสียงไว้ไม่ให้สั่น เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร”
ภายในห้องโดยสาร ลมหายใจกระสับส่ายเมื่อครู่ค่อยๆ มั่นคงลง
“ข้าเห็นฮูหยินตามเรามาตลอดทาง มีธุระใดหรือ” ชายชรามองนางนิ่ง น้ำเสียงตกใจยิ่ง คล้ายโดนการกระทำของอวิ๋นหว่านชิ่นทำให้ตกใจอย่างไรอย่างนั้น
มีธุระใดอย่างนั้นหรือ หรือให้นางพูดเรื่องที่นางเห็นคนในรถม้ามาช่วยนางสองคนแม่ลูกในร้านอาหารเมื่อครู่ วิธีที่ผู้ติดตามใช้อย่างการกดจุดลมปราณทำให้คนแข็งทื่อไม่ขยับไหว เหมือนกับที่เขาเล่นงานแม่ชีจิ้งอี้ที่อารามฉางชิงในตอนนั้น ทำให้นางนึกถึงเขาอย่างยากจะอธิบาย นึกไม่ถึงว่าจะวิ่งไล่ตามมาเหมือนคนบ้าเพื่อจะดูว่าคนแปลกหน้าผู้นี้เป็นเขาหรือไม่!
ยามนี้ถูกถาม นางจึงรู้สึกว่าตนน่าขันนัก คนเขาไหนเลยจะทำเพื่อตน ไม่แน่ว่าอาจจะเพราะโดนชายปากเหม็นพวกนั้นโวยวายจนรำคาญจึงได้ไปสั่งสอนก็ได้ ส่วนเรื่องลมปราณ คนที่ทำเป็นมีน้อยๆ เสียที่ไหนเล่า
“ขะ…ข้าอยากจะขอบคุณนายท่านของเจ้าที่ช่วยข้าในร้านอาหารเมื่อครู่” นางมองห้องโดยสารที่เงียบงันท่ามกลามราตรีแวบหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอ่ยขึ้นอย่างไรดี หรือจะให้บอกว่าเจ้าเลิกม่านขึ้นได้หรือไม่ ข้าอยากเห็นผู้เป็นนายของเจ้าว่าใช่สามีข้าหรือไม่อย่างนั้นรึ
ชายชราสีหน้าชะงักค้าง แล้วยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนี้นี่เอง ฮูหยินไม่ต้องวิ่งตามเพื่อมาขอบคุณหรอกขอรับ” กล่าวพลาง สายตาตกลงบนหลังมืออวิ๋นหว่านชิ่น ผิวเนียนนุ่มถลอกปอกเปิก ล้มจนได้เลือดเข้าแล้ว ดูท่าจะกระแทกโดนหินเข้า ชายชรารีบตอบว่า “มือฮูหยินล้มจนถลอกแล้ว ไม่เป็นไรหรือ”