ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 235 มีสัญญาณครรภ์ (2)
นางจะจำในคำที่เขาบอกก่อนหน้านี้มิได้ได้อย่างไร หลายวันมานี้นางสบายใจเป็นเพราะเชื่อว่าเขาจะไม่เอ่ยพล่อยๆ ทว่ายามนี้ยังไร้ซึ่งข่าวคราว กระทั่งจดหมายแจ้งประหารก็ส่งมาแล้ว จะให้นางนั่งเฉยๆ อย่างไรไหว
นางครุ่นคิดไม่เอ่ยคำ ฝ่ามือกลับมีเหงื่อซึม หากในท้ายที่สุดแล้วไม่สำเร็จ ก็จำต้องใช้วิธีจนตรอกแล้ว…ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ฉิงเสวี่ยก็เข้ามารายงานว่า “เหนียงเหนียงเจ้าคะ องค์ชายสามเสด็จกลับมาแล้ว มายังเรือนหลักที่นี่เจ้าค่ะ”
กลับมาไวอย่างหาได้ยากนัก แม่นางหันเข้าจวนมายังไม่ถึงสองวัน เฮ่อเหลียนอวิ่นก็จวนจะมาถึงเมืองหลวงแล้ว ยามนี้พักอยู่ที่หอพักม้าในอำเภอเล็กๆ ที่ห่างจากเมืองหลวงออกไปกว่าหลายสิบลี้ หมู่นี้เขาจึงยุ่งจนมิได้กลับมา อวิ๋นหว่านชิ่นปรับอารมณ์ครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นสั่งว่า “เวลานี้คงยังมิได้เสวยกระมัง ยกมื้อกลางวันไปยังโถงเล็กด้านนอก ให้องค์ชายสามเสวยก่อน”
จนอวิ๋นหว่านชิ่นออกไปยังโถงเล็ก บนโต๊ะแปดเซียนมีอาหารและน้ำแกงหลายชนิด
ซย่าโหวซื่อถิงผลัดอาภรณ์ราชการออก ใบหน้าเจือความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ใต้ตายังมีรอยคล้ำจางๆ ประดับอยู่ พอเห็นว่านางมาแล้ว ริมฝีปากก็ปรากฏเป็นรอยยิ้ม ส่งสัญญาณให้นางนั่งลง
อวิ๋นหว่านชิ่นทานมาแล้ว นางนั่งลงมองเขาทาน ใช้ตะเกียบกลางคีบอาหารของเขาเป็นครั้งคราว พลางเอ่ยถามขึ้นว่า “จัดการเรื่องที่รัชทายาทจากแดนเหนือมายังเยี่ยจิงไปถึงไหนแล้วเจ้าคะ”
“อีกสามวันก็มาถึงแล้ว ถึงเวลานั้นข้ากับเยี่ยนอ๋องจะไปต้อนรับที่นอกประตูเมืองด้วยกัน เฮ่อเหลียนอวิ่นจะเข้าวังมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก่อน เจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองแคว้น คาดว่าคงต้องพักอยู่ที่นี่หลายวัน”
เข้าเฝ้าฮ่องเต้รึ อวิ๋นหว่านชิ่นนึกไปถึงการประชวรของฮ่องเต้ เพื่อไม่ให้เกิดคลื่นลม พระองค์ทรงแทบจะไม่พบใครทั้งนั้น แต่ไม่อาจหลบต่อไปและไม่พบหน้าใครต่อได้อีกแล้ว และไม่อาจมีม่านกั้นกลางได้อีกเช่นกัน เพื่อมิให้ชาวเป่ยเหรินเกิดความสงสัย เกรงว่าคงต้องปลุกใจให้ฮึกเหิมมีชีวิตชีวาเท่านั้น
ในขณะที่ครุ่นคิด นางก็อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ว่า “ฝ่าบาทยังประชวรอยู่ แล้วทีนี้จะพบแขกอย่างไรเจ้าคะ ได้ยินว่า…ไม่กี่วันก่อนทรงกลับมาจากไท่โจว อาการหนักขึ้นมาไม่น้อย ได้ยินว่ากระทั่งลงจากแท่นบรรทมยังยาก”
เขามองนางแวบหนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย “อืม ดังนั้นระยะนี้ฝ่าบาททรงกำลังเลือกนางกำนัลที่มีวิชาการแพทย์ มาเป็นแพทย์หญิงรับใช้ข้างกายพระองค์ เรียกเข้าไปในพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน ถวายการดูแลอย่างใกล้ชิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้แจ้งในเจตนาของพระองค์ การประชวรของฝ่าบาทร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ดังคาด เกรงว่าอาศัยแค่เมี่ยวเอ๋อร์กับเหยาฝูโซ่วปรนนิบัติดูแลข้างกายอย่างเดียวจะเอาไม่อยู่
ยามนี้ เกรงว่าฝ่าบาทคงต้องพักบำรุงพระวรกายให้ดีในช่วงที่เฮ่อเหลียนอวิ่นยังมาไม่ถึง หากอาการกำเริบ ก็ยังมีคนที่รู้วิชาแพทย์คอยดูแล ไม่ว่าอย่างไร ระยะนี้จำต้องฝืนทนไว้ ทว่าหมอหลวงในสำนักแพทย์หลวงเป็นขุนนางฝ่ายนอก มิใช่คนข้างกายของฮ่องเต้ เข้าๆ ออกๆ ไม่ได้พักอยู่ในวัง ผู้คนปากมากปากตำแย เกรงว่าข่าวจะหลุดรอดออกไป การเลือกคนที่มีวิชาแพทย์ภายในวังมาเป็นผู้ติดตามรับใช้ข้างกาย เข้าพักที่พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนเพื่อถวายการดูแล กลับเป็นสิ่งที่น่าวางใจอยู่ไม่น้อย
บางทีอาจเพราะราชกิจหนักหนาเกินไป ซย่าโหวซื่อถิงจึงไม่ค่อยอยากอาหารนัก เขาคว้าตะเกียบสองสามคราแล้วล้างมือบ้วนปาก ให้ฉิงเสวี่ยกับเจินจูมาเก็บออกไป
อวิ๋นหว่านชิ่นลุกขึ้น “ไม่ทานแล้วหรือ ยังทานไปได้ไม่เท่าใดเอง…” ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็สาวเท้าก้าวเข้ามาหา ยกมือขึ้นโอบเอวนาง อุ้มท่าเจ้าสาวไว้ในอ้อมแขน แล้วเดินเข้าไปในห้อง
ฉิงเสวี่ยกับเจินจูที่ถือถ้วยชามเอาไว้อยู่ยังไม่ทันจะได้ออกไปจึงเห็นเข้า ใบหน้าพลันแดงแจ๋ สาวเท้ายาวๆ ออกมา ซ้ำยังลากม่านปิดไว้ให้ ก็เจอเข้ากับชูซย่าที่เข้ามาพอดี เห็นพวกนางรีบร้อนกันจึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “ทำไมรึ มิใช่กำลังเสวยกันอยู่หรือ”
“ใช่ กำลังเสวยกันเลย…” ฉิงเสวยหน้าแดงแปร๊ด เอ่ยคำพูดสองแง่สองง่ามออกมา ชูซย่ากระจ่างแจ้ง ทั้งสามคนปิดปากหัวเราะกันคิกคัก รีบออกไปทันที
ภายในห้อง ชายชุดคลุมของเขาปลิวไสวไปตามลม ก้าวสองสามก้าวอุ้มนางเข้ามาในม่านมุ้ง ดวงหน้าหล่อเหลาไร้ซึ่งความเคร่งขรึมจริงจังอย่างเมื่อครู่ที่กำลังเสวย จมูกโด่งเป็นสันแดงเรื่ออย่างร้อนรนจนทนไม่ไหว ไม่ได้กลับมาแค่วันเดียว เพียงแค่คิดถึงนางก็ทนไม่ไหวแล้ว ยามนี้จึงหอบต่ำ “ที่รัก ข้าทนไม่ไหวแล้ว”
แค่วันเดียวก็ทนไม่ไหวแล้วรึ นี่มันสัตว์ประเภทใดกัน
หลังจากที่กินเนื้อ[1]ไปวันนั้น บุรุษผู้นี้ก็กลายเป็นสัตว์ร้ายที่ไม่อาจสนองความต้องการได้พออีกเลย อวิ๋นหว่านชิ่นเดิมทีคิดว่าคืนนั้นที่น้ำพุร้อน อาจจะเป็นแค่สถานการณ์ที่บังเอิญ ไม่ใช่ บุรุษทั้งใต้หล้าล้วนมีความใคร่กันหมด เขาไม่ใช่แน่นอน
วันที่สองจึงได้รู้ว่าตัวเองคิดผิดแล้ว กินโจ๊กจืดๆ มานานหลายปี พอได้มากินเนื้อ จะกลายเป็นสัตว์กินพืชอีกได้อย่างไร ก็เหมือนเคยฟุ่มเฟือยแล้วกลับไปประหยัด ยากนักที่จะทำได้!
หากมิใช่เพราะว่าถูกพิษเข้าจึงต้องระงับความใคร่ล่ะก็ เกรงว่าจะยิ่งเหมือนหมาป่าเหมือนเสือมากกว่าเดิม ยามนี้ในเมื่อมียาไว้รับมือแล้ว เขาก็เลยยิ่งเหมือนเสือโหยที่ออกจากกรง
วันนั้นร่วมรักไปอย่างราบรื่น ก็หมายความว่าสมุนไพรวัตถุดิบที่เสริมความอบอุ่นแช่ในน้ำพุร้อนได้อย่างเหมาะสม สามารถสมดุลกับฤทธิ์เย็นของลูกกลอนห้ามเลือดได้ ซ้ำยังไม่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาในการระงับพิษ หลังจากเรื่องนั้น หมออิงก็เอาสมุนไพรที่เป็นวัตถุดิบเสริมความอบอุ่นเหล่านั้นมาทำเป็นลูกกลอน ทานร่วมกับลูกกลอนห้ามเลือด ทานทุกคราก่อนร่วมรักเป็นพอ หลังจากทานลูกกลอนห้ามเลือดที่สกัดขึ้นมาใหม่สี่ห้าวันไปแล้ว เขาก็รู้สึกว่าทุกคราที่มีอารมณ์ เลือดลมในร่างกายเดินได้สะดวกมากโข ก่อนหน้านี้ทุกครั้งเวลาอารมณ์ไม่คงที่ ก็มักจะปวดกระดูกยากจะทน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องระหว่างชายหญิงเลย ยามนี้ต่อให้มิได้กินยาเอาไว้ก่อน ใช้เพียงกำลังภายในก็สามารถระงับไปได้บ้างแล้ว
จากที่หมออิงเคยพูด กินไปอีกสักสองสามระยะเช่นนี้ ก็ไม่ต้องกินยาลูกกลอนห้ามเลือดทุกครั้งที่จะร่วมรักแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หากเป็นสองวันก่อนก็ช่างมันเถิด วันนี้ไม่มีอารมณ์แม้แต่น้อย จึงจำต้องผลักเขาออก
เขาเห็นนางยู่ปากท่าทางไม่ชอบ จึงข่มความต้องการไว้ ทว่าคิ้วเข้มกลับขมวดมุ่น เหมือนเด็กน้อยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม “ทำไมรึ”
“การแจ้งการประหารของกรมยุติธรรมส่งมาแล้ว”
ที่แท้ก็ร้อนรนเพราะเรื่องนี้เอง ความร้อนแห่งอารมณ์ปรารถนาบนใบหน้าของซย่าโหวซื่อถิงพลันหายไป เขาลุกขึ้นนั่ง จัดแขนเสื้อและเข็มขัดให้เรียบร้อย ทำเหมือนว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน เอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยอย่างไม่ปิดบังว่า “ไม่ยากที่จะหานักโทษประหารมาแทน กระทั่งตัวตายตัวแทนข้าก็ให้ชูซย่าหามาไว้แล้ว หากไม่ได้ล่ะก็ จะจัดการเรื่องหัวอีกสองวัน”
หานักโทษประหารมาเปลี่ยนตัวก่อนการลงโทษที่ใกล้เข้ามา กลับมิใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด
ซย่าโหวซื่อถิงได้ฟังจึงหัวเราะโดยไร้เสียง
“เวลานี้ท่านอ๋องยังหัวเราะออกอีกหรือเจ้าคะ” นางโมโหขึ้นมานิดๆ แล้ว
ดวงตาเมล็ดซิ่งเป็นประกายแวววาวจ้องเขาจนจิตใจฟุ้งซ่าน หัวเราะเย้ยหยันตนเองเป็นวิธีที่บ้าบอนัก แต่เขาก็ยังคงยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องเปลี่ยนตัวนักโทษ ทำให้สะอาดหมดจดก็มิใช่ว่าจะทำมิได้ แต่เจ้าประกาศกร้าวว่าจะเที่ยงตรงเป็นธรรมไว้ต่อหน้าศาลแล้ว ทั้งหมดให้ดำเนินตามกฎหมาย ยามนี้ยังเจตนากระทำความผิดอีก เป็นการหลอกลวงผู้คน จิตใจเจ้าเองจะเป็นสุขหรือ”
“กระทั่งหงเยียนข้ายังปกป้องไว้มิได้ ยังจะให้เป็นนักปราชญ์อันใดอีก” น้ำเสียงนางร้อนรนขึ้น
เขาเห็นดวงตานางเป็นประกายวาบ ดวงใจกระตุก ไม่หยอกล้อนางอีก ดึงอาภรณ์ที่ยับย่นของนางให้ข้าที่เข้าทาง ตะโกนขึ้นว่า “เหยาอัน!”
ฝีเท้าใกล้เข้ามา ซือเหยาอันเข้ามาพลางขานรับอยู่นอกม่าน “องค์ชายสาม”
“หมออิงกลับจากห้องขังนักโทษหญิงของกรมยุติธรรมหรือยัง”
หมออิงไปห้องขังของกรมยุติธรรมรึ ไปห้องขังนักโทษหญิงรึ ใช่ห้องของหงเยียนหรือไม่
อวิ๋นหว่านชิ่นตะลึงงัน แต่กลับได้ยินเสียงซือเหยาอันรับคำว่า “กลับมาตั้งแต่ครึ่งชั่วยามก่อนแล้วขอรับ รอให้องค์ชายกลับจวนมาแล้วจะมารายงาน ยามนี้กำลังรออยู่ด้านนอกลาน จะให้เชิญหมออิงเข้ามาเลยหรือไม่ขอรับ”
“ไปเถิด”
ฝีเท้าเดินออกไป อวิ๋นหว่านชิ่นมองเขาอย่างประหลาดใจ
เขาจ้องมองนางพลางเอ่ยว่า “ให้นักโทษประหารมารับโทษแทน แม้ว่าจะรักษาชีวิตหงเยียนเอาไว้ได้ แต่จากนี้ไปนางจะพบใครมิได้อีก จะมีชีวิตเหมือนหนูเหมือนมด จะกลับมายังร้านเซียงหยิงซิ่วมิได้อีกแล้ว เกรงว่าเจ้าก็คงจะเจอนางได้ยากมากเช่นกัน จะไม่เป็นการได้ไม่คุ้มเสียหรือ”
———————————————-
[1] กินเนื้อ เปิดประสบการณ์แปลกใหม่