ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 260.3 เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์อดีตชาติ (3)
คิดเช่นนี้ นางจึงได้วางใจลง หลับได้ลึกขึ้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดจึงได้สติคืนมาอีกครั้ง ครั้งนี้ นางไม่มีร่างเนื้อแล้ว นางรู้ว่าตัวเองได้ป่วยตายแล้ว
ร่างกายนางเบาลอยล่อง คล้ายวิญญาณที่ลอยไปมา รอแสงสว่างเบื้องหน้า รู้สึกว่าตัวเองทั้งไม่ได้กลับไปบนเตียงในหอเหยาไถ และไม่ได้กลับบนเตียงผู้ป่วยในจวนกุยเต๋อโหวด้วย
ไม่ว่าเรื่องทางโลกเรื่องใดล้วนไม่ข้องเกี่ยว นางไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน คล้ายหมอกควันล่องลอยอยู่บนอากาศ ชมดูไปตามธรรมชาติจะเป็นไป เหมือนดวงวิญญาณของคนที่เสียชีวิตใหม่ๆ ยังไม่ได้จากโลกมนุษย์ไป มาเยี่ยมหาคนเก่าในอดีต เดินตามร่องรอยเดิมๆ ครั้งเก่าก่อน
บุรุษคนหนึ่งผมยาวสยายนั่งยองๆ อยู่ในห้องขังเปียกชื้นซอมซ่อ นั่นคือมู่หรงไท่
มีพัศดีเดินเข้ามาแก้พันธนาการให้ บ่งบอกให้คนด้านหลังเข้ามา
ชายหนุ่มคนหนึ่งท่าทางคลุกฝุ่น ลมและน้ำแข็งเกาะเต็มใบหน้าเหมือนเพิ่งเดินทางมาไกล ด้านหลังมีสตรีนางหนึ่งที่คุ้นตาอย่างยิ่งเดินตามมา เป็นเฉินจื่อหลิง
มู่หรงไท่เห็นสีหน้าท่าทางของชายหนุ่มคนนั้น สีหน้าก็พลันเปลี่ยน เขาลุกขึ้นแล้วก้าวถอยหลังไป “เจ้าจะทำอันใด…”
ชายหนุ่มคนนั้นหิ้วเสื้อด้านหน้าของเขาขึ้น ชูหมัดเหล็กขึ้นมา ชกลงบนใบหน้าเขาหมัดแล้วหมัดเล่า แต่ละหมัดหนักหน่วงยิ่ง ไร้ปรานีแม้แต่น้อย
อวิ๋นหว่านชิ่นแทบจะได้ยินเสียงหมัดดังแหวกอากาศ
มู่หรงไท่ตั้งแต่ร้องไห้คร่ำครวญในตอนแรกไปจนถึงหายใจรวยริน เขาทำเพียงครวญครางว่า “ยะ…อย่าตี…อย่าตีเลย…” หยดเลือดบนใบหน้าไหลลงมา เปียกชุ่มเบาะหญ้าบนพื้นห้องขัง
“เจ้าบอกว่าหลังจากแต่งงานเจ้าจะดีต่อนาง เจ้าบอกว่าจะดูแลนางแทนข้า! แล้วเป็นอย่างไร…สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร…” แต่ละคำแฝงไว้ด้วยความเดือดดาลดั่งสายฟ้าอันน่าหวาดกลัว พูดไปเรื่อยๆ หมัดเหล็กก็ชกลง
พัศดีกลัวว่าจะถึงแก่ชีวิตแล้วจะรับมือต่อยาก จึงเดินเข้าไปห้ามไว้ เฉินจื่อหลิงก็ดึงเขาไว้เช่นกัน
ชายหนุ่มคนนั้นหยุดลง หมัดสุดท้ายดึงกลับไม่ทัน ต่อยลงในกำแพงข้างมู่หรงไท่
ปูนบนกำแพงค่อยๆ ร่วงลงมา เว้าเข้าไปเป็นหลุมตื้นๆ
“หากรู้แต่แรกว่าเจ้ามันเชื่อถือไม่ได้ ตอนนั้นข้าจะไม่ออกจากเมืองหลวงไป ต่อให้เจ้ามีเรื่องงานแต่งกับนางแล้ว ต่อให้นางมีใจให้เจ้า ข้าก็จะไม่ยอมถอยให้เจ้าเด็ดขาด!”
ชายหนุ่มหอบหายใจคุกเข่าลงกับพื้น หมัดชกลงพื้น นิ้วทั้งห้ามีเลือดไหล น้ำเสียงเสียใจและโกรธตัวเองในสิ่งที่ไม่ได้กระทำอย่างยิ่ง
“ฮ่าๆ…” นึกไม่ถึงว่ามู่หรงไท่ที่โดนต่อยจนหน้าเละดูไม่ได้จะหัวเราะออกมา “ข้าก็แค้นหนักเช่นกัน ตอนนั้นหากเจ้ากล้าสารภาพความในใจ แย่งตัวนางไป นางก็คงไม่ต้องเข้าบ้านสกุลมู่หรงของข้ามาหรอก ข้าจะโดนนังแพศยานั่นทำร้ายเอาจนมีจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไร! คนขี้ขลาดอย่างเจ้า ถูกจำกัดด้วยจริยธรรม ไม่กล้าแย่งชิงมา มองพวกเราสองคนแต่งงานกัน ที่น่าขันก็คือทำได้แค่หลบหน้าออกจากเมืองหลวงไปรักษาแผลใจ! ถุย!”
ชายหนุ่มแหงนหน้ายืดอก จะพุ่งเข้าหาอีกครั้ง แต่ถูกเฉินจื่อหลิงร้องไห้กอดเอวเอาไว้ “พี่ใหญ่! ช่างเถอะ! ชิ่นเอ๋อร์ตายไปแล้ว! มู่หรงไท่ก็ไม่มีจุดจบที่ดีอันใดได้แล้ว! พี่ชกเขาให้ตายก็ไร้ประโยชน์!”
ชายหนุ่มหยุดฝีเท้าลงอย่างหดหู่ หันหน้ากลับยกเท้าขึ้นโดยพลัน แล้ววิ่งออกไปทางด้านนอกห้องขัง
เฉินจื่อหลิงเช็ดน้ำตาแล้วตามไป
นางในชาติที่แล้ว กลับไม่สนิทกับเฉินจ้าว กระทั่งยังคิดว่าคนผู้นี้แปลกประหลาด ไม่ค่อยชอบพูดชอบจา ได้พบปะกับเฉินจื่อหลิงในบางครั้ง นางถึงขั้นเอ่ยหยอกเล่นด้วยเจตนาสองสามคำ
ทุกครั้งเฉินจื่อหลิงก็จะหัวเราะแล้วบอกว่าพี่ใหญ่ป่วยจริงๆ นั่นแหละ
ยามนี้จึงได้รู้ว่านั่นคือโรคคะนึงหา
รอให้นางแต่งงานไปแล้ว เขาก็พาเฉินจื่อหลิงออกจากเมืองหลวงไปทางเหนือ
ส่วนตอนนี้ เหตุผลหนึ่งในนั้นที่ปรากฏตรงหน้านาง นึกไม่ถึงว่าจะทำให้นางพูดอะไรไม่ออก
เพื่อนางแล้วเฉินจ้าวจึงได้ออกจากเมืองหลวงไป
ตอนอายุได้แปดขวบเขาสัญญาว่าจะดูแลนาง ไม่เคยผิดคำพูดเลยสักนิด เพียงแค่ถึงช่วงอายุหนุ่มสาวแล้วเขาที่แอบปกป้องกันเงียบๆ ความรู้สึกที่มีต่อนางได้เปลี่ยนไป
เขาไม่ได้เป็นพี่ชายที่ปกป้องน้องสาวด้วยความบริสุทธิ์ใจต่อตนอีกแล้ว
ทว่าเผชิญหน้ากับนางที่ตกลงแต่งงานและมีว่าที่เจ้าบ่าวแล้ว อีกทั้งว่าที่เจ้าบ่าวยังเป็นคุณชายรูปงามแห่งจวนโหวด้วย เมื่อมู่หรงไท่ได้ครอบครองสตรีที่ตนพึงใจ ในที่สุดเขาจึงได้ยอมแพ้
ชายหนุ่มที่เกิดในตระกูลนักรบอนาคตไกล ทั้งชาติก่อนและชาตินี้ ไม่ว่าจะออกจากเมืองหลวงหรือว่าเข้าวังมา ทุกฝีก้าวล้วนทำเพื่อนางทั้งสิ้น
นางเพียงแค่มองเขาเป็นพี่ชายที่พูดน้อยไม่น่าสนใจทว่ากลับควรค่าแก่การพึ่งพิงคนหนึ่ง
ขอบตานางเปียกชื้น เจ็บปวดราวกับศีรษะจะแยกออกจากกัน ดวงตาทั้งสองข้างมืดมิด ภาพเบื้องหน้าค่อยๆ จางหาย จากนั้นก็เหมือนม่านบนเวทีปิดลงอย่างรวดเร็ว มืดมิดไป
ล่องลอยอยู่ในโลกโลกีย์ต่อไป
ภายในตำหนักอันเงียบสงบ นางเห็นบุรุษในชุดคลุมมังกรนั่งอยู่บนบันไดหินอย่างมั่นคง ฉีไหวเอินนั่งอยู่เบื้องล่างเขา คล้ายกำลังขีดเขียนบางอย่างอยู่
จากนั้น ฉีไหวเอินก็ถือกระดาษแผ่นนั้นยกขึ้นเบื้องหน้าให้เขาดู
นางเห็นอย่างชัดเจน มันคือหนังสือหย่าฉบับหนึ่ง ชายหญิงทั้งสองฝ่ายที่หย่าร้างนั้นคือนางกับมู่หรงไท่ มีลายนิ้วมือสีแดงของนางกับมู่หรงไท่ประทับอยู่ด้วย
“หนังสือหย่าร้างส่งไปจวนโหวแล้ว แม่นางอวิ๋นกับจวนโหวก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องใดกันอีก” ฉีไหวเอินทูลบอก “ถึงเวลานั้นก็รับแม่นางอวิ๋นเข้ามาในบัญชีรายชื่อชายาสนมของวังหลัง ศพของแม่นางอวิ๋น อีกสองสามวันกระหม่อมจะส่งคนแอบไปย้ายเข้ามาในสุสานนางใน…เฮ้อ แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงปรารถนาเช่นนี้ แต่ก็นับว่าได้ทำตามความปรารถนาของนางก็แล้วกัน อย่างไรเสียนางก็นับว่ามีคุณูปการ นึกไม่ถึงว่าจะจับพลัดจับผลูช่วยฝ่าบาทหาวิธีแก้พิษได้”
เขาไม่เพียงตอบรับคำขอของนางเท่านั้น ยังให้นางที่ตายไปแล้วได้หย่าร้างกับมู่หรงไท่อย่างเป็นทางการอีก โยนการแต่งงานที่นางอยากฝากฝังทิ้งไปโดยสมบูรณ์
นางโล่งอกอย่างมาก
ที่สำคัญก็คือชาตินี้ของเขาจะไม่หมดลมไปไว
กลีบปากนางหยักยกขึ้นเล็กน้อย ความเจ็บปวดเมื่อครู่หายไปไม่น้อย แย้มยิ้มดั่งพฤกษา
คล้ายมีปฏิกิริยาโต้กลับบางอย่างในความมืดมิด บุรุษบนบันไดหินพลันเงยหน้าขึ้นมองไปบนตำหนักใหญ่โดยรอบ ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกาย เหมือนกำลังหาบางอย่างอยู่ ในที่สุดก็หยุดลงตรงจุดหนึ่ง ตกลงบนร่างนาง นึกไม่ถึงว่าริมฝีปากบางจะแย้มออกเป็นรอยยิ้ม
ไอมังกรพวยพุ่ง ความแข็งแกร่งของบุรุษเพศเปี่ยมล้น วิญญาณของนางคล้ายว่าจะกล้ำกรายกลิ่นอายนี้ไม่ได้ นางเริ่มปวดหัวเหมือนจะแตกร้าวขึ้นอีกครั้ง กุมขมับไว้ นั่งยองๆ ลง เบื้องหน้ามืดมิด ตกสู่ราตรีสีมืด
“ชิ่นเอ๋อร์…”
“นายหญิง…”
“เหม่ยเหริน…”
ยังมีเสียงร้องไห้ของบัวลอยน้อยด้วย
เสียงจอแจข้างหูดังก้องมา ดังเสียจนนางรู้สึกไม่สงบ ดวงใจกลับสงบนิ่ง นิ้วมือขยับ ครางเบาๆ ว่า “อืม…”
“ฟื้นแล้ว นายหญิงฟื้นแล้ว!” เป็นเสียงทั้งตกใจและยินดีปรีดาของชูซย่า
เจี่ยไทเฮาก็ลุกพรวดขึ้นมาเช่นกัน ตรัสอย่างยินดีว่า “ให้ข้าดูหน่อยเร็ว!”
หม่าซื่อดีใจพลางถือโอกาสประจบว่า “โชคดีที่ไทฮองไทเฮาบุญหนัก อวิ๋นเหม่ยเหรินจึงไม่โดนภูติผีวิญญาณร้ายมากล้ำกราย ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว!”
เหยาย่วนพั่นให้ไทฮองไทเฮารอดูสถานการณ์ก่อนอย่าเพิ่งวู่วาม แล้วเข้าไปในม่านกับหมอหญิงสองสามคน จับชีพจรไปครั้งหนึ่งแล้วให้ชูซย่ายกยามาให้นางดื่ม เขาพูดคุยสองสามคำ ก็รู้ว่านางปลอดภัยดีแล้ว
หลังจากฟื้นขึ้นมา อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้รู้ว่าตัวเองสลบไปห้าหกวัน ส่วนใหญ่ล้วนไร้การตอบสนอง ระหว่างนั้นก็มีสติสั้นๆ แต่ก็แค่หลับตาแน่น ละเมอเหมือนเจอฝันร้ายออกมาไม่กี่คำ
ช่วงเวลานี้ เจี่ยไทเฮาจะพาหม่ามอมอมายังหอเหยาไถทุกวัน อุ้มบัวลอยน้อยมานั่งอยู่ข้างเตียงนางสักพักหนึ่ง
องค์ชายสามยามนี้กลายเป็นอุปราชแล้ว เรื่องพักอยู่ตำหนักฉงเหวินด้านตะวันตกเฉียงเหนือย่อมเป็นฉีไหวเอินที่บอกนางตั้งแต่แรก