ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 260.2 เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์อดีตชาติ (2)
สหายคนสนิทอย่างนั้นรึ ตอนนั้นเขารู้สึกว่าน่าขันนัก นั่นมันไม่ใช่คนรักหรือไร คิดไม่ถึงว่าเสด็จพ่อจะเจ้าชู้เช่นนี้ กระทั่งภรรยาของขุนนางยังจะเอา ต่อหน้าจึงได้ทำตามประสงค์เสด็จพ่อ
ไม่นึกเลยว่าเจอกันครั้งแรกจะเป็นเหตุการณ์ที่นางมาฟ้องร้อง
ในสายตาของนาง เขาเป็นคนที่กุมอำนาจไว้ สามารถช่วยนางล้มสามีและสะใภ้ รวมถึงบ้านเดิมที่ทรยศได้ วันนั้นนางคุกเข่าอยู่ตรงหน้า พูดจาแต่ละถ้อยละคำระมัดระวังมาก
แต่นางไม่รู้ นางเป็นคนที่แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักแต่ได้เอามาใส่ใจแล้ว เรื่องครานี้ เขาต้องช่วยนางให้ได้เพื่อทำตามคำสั่งเสียของเสด็จพ่อ
“เจ้าวางใจ น้องชายเจ้าที่ถูกไล่ออกจากบ้าน เราก็ส่งคนไปตามหาแล้ว พอหาตัวกลับมา จะคิดหาที่ทางอันเหมาะสมให้เขาเอง” เขามองนาง
ที่แท้หลังจากที่นางตายไป จุดจบของน้องชายไม่ได้เลวร้าย ปมในใจสุดท้ายของอวิ๋นหว่านชิ่นคลายออก เผยรอยยิ้มออกมา
บุปผาที่ใกล้จะโรยราจู่ๆ พลันเบ่งบาน แวววาวสดใสเป็นเอกลักษณ์ มองจนเขาใจสั่นไม่น้อย เขาเลือดลมพลุ่งพล่านเล็กน้อย ใช้กำลังภายในระงับเอาไว้ จึงไหลเวียนสะดวกไปทั่วทั้งร่าง
เนื่องจากพิษที่อธิบายไม่ได้ สตรีในวังจึงเหมือนของประดับ กว่ายี่สิบชันษา เขาครองราชย์มานาน ยังไม่เคยขึ้นเตียงกับสตรีเลยสักครั้ง แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่มีความปรารถนาต่อสตรีเลย ทุกครั้งที่ไปวังหลัง เพียงแค่ไปหาลูกพี่ลูกน้องหญิงเท่านั้น คนอื่นๆ ล้วนคิดว่ากุ้ยเฟยเป็นอันดับหนึ่งที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดของวังหลัง ใครจะไปรู้ว่าเขามีแต่ความรู้สึกของพี่ชายที่มีให้น้องสาวต่อนางมาตั้งแต่เด็ก ไม่อาจมีเรื่องข้ามเส้นใดเกิดขึ้นได้สักนิด นางก็แค่ช่วยเขาปิดบังเรื่องที่ไม่อาจให้ใครรู้ได้เท่านั้นเอง
แม่นางอวิ๋นผู้นี้ กลับปลุกเปลวเพลิงภายในกายของเขาคราแล้วคราเล่าตั้งแต่วัดเซียงกั๋วจนถึงยามนี้
เป็นนางงดงามอย่างนั้นรึ ล้มป่วยขนาดนี้ จะงดงามได้เท่าใดเชียว เขาเย้ยหยันตัวเอง
แต่เหตุใดจึงมีความรู้สึกสนิทสนมที่บอกไม่ถูกต่อนางได้เล่า
นางสังเกตุเห็นสายตาของเขาเริ่มมีความแปลกไป ทันใดนั้นจึงเอ่ยขึ้น เพราะอ่อนแรง ถ้อยคำจึงขึ้นๆ ลงๆ กลับยิ่งยั่วเย้ากว่าเดิม นางเหลือบตามองไปตามสัญชาตญาณด้วยประกายระยิบระยับ “เหตุใดฝ่าบาทจึงมองหม่อมฉันเช่นนี้เพคะ”
เขาคิดไม่ถึงว่านางจะอ่านความคิดของตนออก สีหน้าพลันแดงขึ้น ไม่ยอมรับอย่างหนักแน่น “ฮูหยินน้อยคิดมากไปแล้ว”
จุดนี้ทั้งสองชาติกลับไม่ต่างกันเท่าใดนัก ปากแข็งเหมือนเป็ดตาย เก็บกดอย่างมาก บางทีอาจเพราะไม่ได้พบกันนาน ต่อให้บุรุษตรงหน้ายังไม่ทันจะได้รู้จักมักจี่กันกับนาง นางก็ยังระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ มือขยับไหวไปด้านหน้า จับนิ้วหนึ่งของเขาไว้อย่างระมัดระวัง ยิ้มอย่างอบอุ่นยิ่ง “ท่านอ๋องจะบอกว่าหม่อมฉันคิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียวหรือเพคะ”
เขาไม่อยากจะเชื่อการกระทำและคำพูดของนางเลย ยามนี้ไม่อาจแก้ตัวแทนนางว่าป่วยจนเลอะเลือนได้แล้ว คิ้วเข้มขมวดมุ่น “ใครสอนเจ้าให้เรียกเราเช่นนี้ ขนาดสตรีในวังยังไม่มีใครเคยเรียกเช่นนี้เลย” นิ้วที่ถูกนางจับไว้กลับเหมือนโดนมนตร์อย่างไรอย่างนั้น ปล่อยให้นางกุมไว้ตามใจ แน่นอีกหน่อย แน่นอีกหน่อยเถิด เราไม่ถือ
สตรีในวังอย่างนั้นรึ เขาคงหมายถึงชายาสนมพวกนั้นในวังหลังของเขา
ชาตินี้ อวี้โหรวจวงเป็นฮองเฮา ชุยอินหลัวเป็นกุ้ยเฟย ยังมีพวกชายาสนมเหล่านั้นที่นางไม่รู้อีก แต่อาจจะได้บันทึกอยู่ในตำราประวัติศาสตร์ภายหน้า…
ไม่มีนางอยู่แค่คนเดียว
ความคิดอวิ๋นหว่านชิ่นวาบผ่าน เนื่องจากอารมณ์พลุ่งพล่านจึงได้กุมมือเขาไว้แน่นกว่าเดิม “ฝ่าบาทช่วยหม่อมฉันอีกครั้งได้หรือไม่เพคะ”
เขาเหลือบมองมือน้อยๆ ของนางแวบหนึ่ง สยบเลือดลมเอาไว้ให้ตนดูเหมือนสงบนิ่งอย่างมาก “เรื่องใดรึ”
ในขณะเดียวกันนั้นเอง นางก็วิงเวียนศีรษะขึ้นมา ร่างกายเอ่ยคำพูดออกมาเตือนว่านางใกล้หมดอายุขัยแล้ว นางระงับความรู้สึกไม่สบายนี้ไว้ จ้องมองเขานิ่ง “หม่อมฉันอยากจะเป็นคนในวังหลังของฝ่าบาท ไม่ว่าจะลำดับขั้นใดก็ดีทั้งนั้น หม่อมฉันรู้ว่าตัวเองเหมือนเทียนกลางสายลม ทั้งยังเป็นสตรีของจวนกุยเต๋อโหวอีก สามารถรอให้หม่อมจากไปก่อน ฝ่าบาทค่อยแต่งตั้งหม่อมฉันก็ได้ ขอเพียงให้หม่อมฉันได้อยู่ในแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์ กลายเป็นสตรีในวังหลังก็พอเพคะ…”
เขามองนางนิ่งด้วยความตกใจ นางไม่ได้ล้อเล่น และไม่มีความอายอยู่สักนิด เหมือนว่ากำลังทำภารกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งให้สำเร็จอยู่
เขาไม่รู้ว่านางทำเช่นนี้จะมีความหมายอย่างไร ตายไปแล้ว ต้องการฉายานามอันว่างเปล่า จะมีความหมายอะไร ซ้ำยังต้องแบกชื่อเสียงไม่น่าฟังอย่างการแต่งงานซ้ำสองเอาไว้อีก แต่สีหน้าตึงเครียดมาก นึกไม่ถึงว่าเขาหักใจทำให้นางผิดหวังไม่ได้แม้แต่น้อย
“เจ้า อยากเป็นสตรีของเราหรือ” เขาเครียดยิ่งกว่านางโดยไม่ทราบสาเหตุ สุดท้ายก็ทนไม่ไหว พินิจมองด้วยความฉงน “แอบรักเรารึ”
น่าไม่อาย ซ้ำยังมั่นอกมั่นใจจริงๆ ด้วย นางแย้มยิ้มบางเบา พยักหน้า สนองความทระนงตนของเขา บางทีเขาอาจจะเห็นด้วยแล้ว นางเอ่ยขึ้นอีกว่า “หม่อมฉันทราบดีว่าทำเช่นนี้อาจจะทำให้ชื่อเสียงของฝ่าบาทไม่ค่อยดี แต่เรื่องที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนสามารถทำได้ ท่านก็สามารถสืบสานต่อจากบิดาได้เช่นกัน และยิ่งสามารถทำได้ดีกว่า ส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรืองด้วย” อาจเพราะพูดประโยคยาวๆ หายใจสั้น นางหอบหายใจหลายครั้ง กลิ่นคาวคลุ้งลำคอ รู้สึกถึงเลือดที่กระอักออกมา จึงแอบกลืนลงไปเงียบๆ
เป็นการเหน็บแนมที่ดียิ่ง ฮ่องเต้พระองค์ก่อนกับภรรยาขุนนางมีสัมพันธ์คลุมเครือ ดังนั้นเขาที่สืบต่อตำแหน่งฮ่องเต้จึงไม่ควรล้าหลังอย่างนั้นรึ ซย่าโหวซื่อถิงเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ทว่ากลับโกรธไม่ลง มุมปากกลับยังหยักยกเป็นรอยยิ้มอีกด้วย เขาเงียบงันไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนสั่งการผู้น้อยว่า “เราจะคิดดูก็แล้วกัน”
นางรู้ดีว่าเขาพูดเช่นนี้ก็เรียกได้ว่าตอบรับแล้ว จึงพรูลมออกมา ทำแบบนี้ จะสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาในภายหน้าที่นางกลับไปเกิดใหม่ได้หรือไม่ หากในบันทึกชายาสนมมีชื่อของนางในชาติก่อน เช่นนั้นแล้ว ในชาตินี้นางอาจจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่ออย่างดีได้ หากเขากลายเป็นฮ่องเต้ นางเข้าวังหลังไป ก็เรียกไม่ได้ว่าเดินสวนทางกับประวัติศาสตร์แล้วกระมัง
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดนั้นเอง ก็มีเสียงดังลอยขึ้นข้างหู “เช่นนั้น ยามนี้ก็ถึงตาฮูหยินน้อยบอกเราแล้ว”
นางฉงน เงยหน้าขึ้น เห็นเขาโน้มกายลงกึ่งหนึ่ง ห่างจากตนไปไม่ถึงสองสามชุ่น[1] มองจากมุมนี้ คิ้วคมพาดเฉียงยาว ดวงตาเป็นประกายแวววาวไม่นิ่งอย่างหาได้ยาก นิ่งขรึมไม่เหมือนยามปกติ “เหตุใดเราจึงรู้สึกว่าเคยรู้จักฮูหยินน้อยมาก่อน”
ประโยคนี้หากเป็นชายอื่นพูด ก็คือชายบ้ากามมักมากที่ล่อลวงผู้หญิงดีๆ นี่เอง นึกไม่ถึงว่าออกมาจากปากเขาแล้วจะดูจริงใจจริงๆ เช่นนี้
นางหัวเราะเบาๆ “หม่อมฉันในชาตินี้ไหนเลยจะมีเวลาได้รู้จักกับฝ่าบาท…” เพิ่งจะพูดจบ ร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรง เปลือกตาหนักอึ้ง แต่ว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้ทำ นางยังคงฝืนทนไว้ สายตากวาดไปบนมือเขา
เขาไม่ได้สังเกตุการเคลื่อนไหวของนาง ได้ยินเพียงประโยคนี้ของนางเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าอารมณ์จะไม่ดีขึ้นมาแล้ว นั่นก็จริง เพิ่งจะได้รู้จักก็ไม่ทันจะได้คบหาอย่างลึกซึ้งเสียแล้ว จู่ๆ ก็เกิดความเคียดแค้นต่อมู่หรงไท่ขึ้นมามากอย่างห้ามไม่ได้ แค่การลงโทษจำคุกตลอดชีวิตคงจะยังไม่พอ แต่นี้ไปต้องไปจัดการที่คุกวันเว้นวันเสียแล้ว
ในขณะที่กำลังคิด สตรีบนเตียงพลันขดตัว ไอออกมาอย่างรุนแรง มุมปากมีคราบเลือดค่อยๆ ไหลออกมาอย่างช้าๆ สีหน้าเขาพลันเปลี่ยน กำลังจะจับนางขึ้นมา นางดันคว้ามือเขาไว้ ดึงแหวนบนนิ้วหัวแม่มือเขาออกมา…
เขาตกใจ แต่เห็นนางยกแหวนหยกวงนั้นขึ้น ใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายโยนลงกับพื้นอย่างแรง!
เสียง ‘เป๊าะ’ ดังขึ้น หยกแตกแยกจากกัน เผยให้เห็นม้วนกระดาษที่ออกสีเหลืองไปทั้งแผ่นออกมาจากในแหวน มุมขอบพับขึ้น คล้ายว่ามีรอยหมึกและตัวอักษร
เขาลุกขึ้นพรวด ตื่นตระหนกเหลือประมาณ หันหน้ากลับไปอีกครั้ง เห็นเพียงนางนอนหงายอยู่บนหมอนอิง ดวงตาสองข้างปิดสนิท คราบเลือดบางๆ บนใบหน้าเมื่อครู่ล้วนหายไปจนสะอาดหมดจด ลมหายใจแผ่วเบาไปแล้ว จากโลกโลกีย์ไป
ดวงใจเขาตระหนก “ใครก็ได้!”
นางสติเลอะเลือน สูญเสียการรับรู้ทั้งหมดไป ราวกับวิ่งอยู่ในราตรีอันมืดมิด ไม่ว่าอย่างไรก็วิ่งไปไม่เจอจุดสิ้นสุด
นางจำได้ว่าสุดท้ายนางโยนแหวนเขาแตก…ใช่…น่าจะแตกแล้ว…
วิธีการถอนพิษพร้อมกับยาดีไว้ถอนพิษของเขา เช่นนั้น บางทีโชคชะตาชีวิตในชาติหน้าของเขาก็จะเหมือนกับชาติก่อน ไม่เสียชีวิตตอนยังหนุ่มแล้วกระมัง
————————–
[1] ชุ่น (หน่วยวัดจีน) นิ้ว