ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 260.1 เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์อดีตชาติ (1)
นางมองเขานิ่งอย่างตกตะลึง
บุรุษเบื้องหน้าเป็นคนผู้นั้นที่นางคุ้นเคยที่สุดแท้ๆ คล้ายว่าจะโตขึ้นมาหลายปี แต่แยกจากกันไปแค่สองปีเท่านั้น ยามนี้กลับสวมชุดคลุมมังกรดำทั้งเก้ากรงเล็บทั้งห้าเกี่ยวเมฆาทอง แม้ใบหน้าจะมีความตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ในแววตากลับทั้งสงสารและเห็นใจมากทีเดียว แม้นางจะฟื้นแล้ว ทว่าสีหน้ากลับยิ่งซีดขาวมากกว่าเดิม เหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดล้วนใช้ไปกับการฟ้องร้องครานั้นไปจนหมดแล้ว ในเมื่อเหยากวงเหย้าบอกว่าหมดหนทางช่วยได้แล้ว ต้องไม่มีโอกาสอีกแน่นอน พระองค์รู้ว่ายามนี้นางก็แค่กลับมาดีขึ้นก่อนจะไปเท่านั้น ในใจสั่นไหว นึกไปถึงท่าทางการกระทำของหญิงงามบนเตียงที่วัดเซียงกั๋วแล้ว ก็ยิ่งเสียดายกว่าเดิม สุรเสียงจึงอ่อนนุ่มขึ้นเล็กน้อย “ให้เราเอาน้ำให้ฮูหยินน้อยสักแก้วหรือไม่”
หน้าประตู เสียงฉีไหวเอินเคาะประตูสองครั้ง แล้วพุ่งเข้ามา “ฝ่าบาท สายแล้ว จะเสด็จกลับวังเมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ แม่เฒ่าสิงของจวนกุยเต๋อโหวส่งคนมาเร่งอีกแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีที่เร่งอยู่หน้าประตู ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นยิ่งตกอกตกใจใหญ่ ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ฝืนลุกขึ้นมากึ่งนั่งกึ่งนอน
เป็นฉีไหวเอินคนนั้น แต่เสื้อผ้าอาภรณ์เห็นได้ชัดว่าสูงศักดิ์กว่าขันทีน้อยแห่งหอเหยาไถของตนคนนั้นไม่น้อย แต่งตัวเหมือนขันทีข้างกายฮ่องเต้
นี่มันเกิดอะไรขึ้น ที่นี่คือที่ไหน…
นางปวดหัวหนักมากขึ้นกว่าเดิม มองไปรอบๆ
การตกแต่งภายในห้องสะท้อนเข้ามาในสายตา ห้องนอนเล็กและคับแคบ กลิ่นยาฉุนเข้มแผ่กำจาย ภายในห้องมืดสลัว แสงเทียนที่สว่างขึ้นมาเล็กน้อยต่างหักใจจุดขึ้นมาไม่ได้ บนโต๊ะกลมแปดที่นั่งเรียบง่ายมีไหยาและถ้วยช้อนหลากหลายขนาดวางอยู่ บนตาข่ายหน้าต่างที่ไม่มีคนรับใช้มาทำความสะอาดมีฝุ่นจับติดดอกไม้สองสามดอกแทบจะไม่ได้เพิ่มสีสันให้แก่ห้องนี้สักเท่าใดนัก เป็นชูซย่าที่ตัดมันเพื่อเพิ่มสีสันให้กับห้องอึมครึมแห่งนี้…
นี่เป็นห้องเล็กๆ หลังจากที่นางฟ้องร้องเสร็จ ถูกนายท่านและฮูหยินสกุลสิงไล่มาที่มุมหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือภายในจวนให้ดูแลตัวเองตามยถากรรม
ต้องเป็นฝันแน่
“เร่งอันใด บอกให้นางอย่าได้รีบร้อน” ซย่าโหวซื่อถิงได้ยินฉีไหวเอินเร่ง คิ้วคมก็ขมวดขึ้นด้วยความรำคาญยิ่ง ประโยคเดียวขัดความคิดของอวิ๋นหว่านชิ่นไป
เป็นครั้งแรกที่ฉีไหวเอินได้เห็นการกระทำอันไม่เหมาะต่อธรรมเนียมปฏิบัติของฝ่าบาท
ฟังคำให้การของฮูหยินน้อยผู้อ่อนแอนางหนึ่งที่วัดเซี่ยงกั๋ว รีบตรวจหาหลักฐานเรื่องที่มู่หรงไท่และสกุลอวิ๋นทำผิดกฎหมายก็แล้วไปเถิด ยังกลัวว่าฮูหยินน้อยนางนี้หลังจากจบเรื่องไปจะถูกจวนโหวกลั่นแกล้ง ตั้งใจอ้างถึงจวนโหวเป็นพิเศษ ไม่ควรชักช้ากว่านี้ ให้เหยาย่วนพั่นมารักษาให้ฮูหยินน้อยคนนี้ ยามนี้…นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะยังปลอมตัวในยามวิกาลเสด็จออกมาเยี่ยมฉากสุดท้ายของฮูหยินน้อยอีก
ฝ่าบาททรงรู้สึกพิเศษต่อฮูหยินน้อยของสกุลมู่หรงจริงๆ
แต่ครั้งนั้นที่วัดเซียงกั๋วต่างหากจึงเป็นครั้งแรกที่ได้พบ
หรือจะทรงถูกใจฮูหยินน้อยนางนี้เข้า ไม่สิ ฝ่าบาทไม่ใช่คนเจ้าชู้บ้ากามเช่นนั้นเสียหน่อย อีกอย่าง ต่อให้บ้ากาม ฮูหยินน้อยนางนี้ป่วยหนักยิ่ง ใกล้จะตายแล้วด้วย ต่อให้กินไม่เลือกอย่างไรก็คงกามใส่คนที่ใกล้จะตายไม่ได้หรอก
ฉีไหวเอินคิดพลางพึมพำสองสามคำด้วยความสงสัย
ฝ่าบาทแอบเสด็จมาเยี่ยมสะใภ้ในบ้านขุนนาง ท่านโหวกับแม่นางสิงย่อมไม่กล้าว่าอะไรอยู่แล้ว แต่อยู่นานเข้า สีหน้าแม่นางสิงก็ดูไม่ได้ขึ้นมาแล้ว เร่งมาหลายครั้งทีเดียว
ฉีไหวเอินยามนี้เห็นฝ่าบาทไม่พอพระทัย ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก ทำเพียงปิดประตูไว้ ออกไปรับมือแม่นางสิงต่อ
อวิ๋นหว่านชิ่นหลุดจากภวังค์ พยายามดึงอารมณ์ที่ตกใจกลับมา มองไปยังบุรุษข้างเตียงอีกหน…
ชาติก่อนหลังจากฟ้องร้องที่วัดเซี่ยงกั๋วแล้ว เขาก็ส่งเหยากวงเหย้ามารักษาให้นางที่จวนโหว
หากไม่ได้เขาขวางไว้ เกรงว่าจวนโหวจะขับไล่นางออกจากจวน หรือไม่ก็แอบลงโทษแน่แล้ว
แต่แม้ว่าเหยากวงเหย้าจะไม่มีกำลังพลิกสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ ชีวิตของนางก็ใช้จนหมดไปตั้งนานแล้วอยู่ดี
ก่อนตาย เขาปลอมตัวออกมาเยี่ยมนางที่จวนโหว แต่ตอนนั้นนางป่วยจนสติไม่แจ่มชัด จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองพูดอะไรกับเขา
ยามนี้ นางกลับมายังเหตุการณ์ล้มป่วยอันวิกฤตของตัวเองในชาติก่อน
จากปฏิกิริยาของร่างกาย เกรงว่าจะเป็นแค่เวลาวันสองวันก่อนตายเท่านั้น นางยังคงเป็นสตรีป่วยติดเตียงที่ล้มหมอนอนเสื่อใกล้จะหมดลม ยังสามารถได้เห็นเขาที่มาเยี่ยมเยือนนางในชาติก่อนอย่างเด่นชัด
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นฉีไหวเอินจากไปก็หันหน้ามา เห็นสีหน้านางคล้ายตกตะลึง ก็คิดว่านางยังไม่ได้สติกลับคืนมาจากความตกใจตอนที่เห็นตนในห้องนอน จึงเอ่ยว่า “ฮูหยินน้อยไม่ต้องกลัว”
เงาร่างของบุรุษเดี๋ยวเข้มเดี๋ยวจางอยู่ภายใต้แสงเทียน แพขนตาหลุบลง เงาดำทาบทับอยู่ใต้เปลือกตา
นางไม่ได้พบเขามาเนิ่นนานทีเดียว ดวงใจกระเพื่อมไหว ดวงตารื้นน้ำขึ้น ความคะนึงหาหนึ่งปีกว่านี้พลั่งพรูกันออกมา
เขาเห็นนางร่างกายสั่นเล็กน้อย “ฮูหยินน้อยไม่สบายตรงไหนใช่หรือไม่…” ยังพูดไม่ทันจบ ร่างกายก็แข็งทื่อ ดวงตาลุ่มลึกหดเกร็งเล็กน้อย มือน้อยๆ อันเย็นเยียบของสตรียกขึ้น แนบลงบนแก้มของเขา ค่อยๆ ลูบไปตามจอนผมอันเป็นระเบียบของเขาช้าๆ แววตาที่มองเขา ไม่ใช่ขุนนางมองฮ่องเต้ ไม่ใช่ผู้น้อยมองผู้สูงส่งกว่า
แววตาเช่นนี้ เป็นแววตาที่รู้จักกันมาเนิ่นนาน ไม่ใช่มิตรสหาย ไม่ใช่สหายที่รู้ใจ แต่เป็นของคนในครอบครัวเท่านั้นที่จะมีได้
และต่อให้อยู่ในแววตาของฮองเฮา กุ้ยเฟย รวมถึงบรรดาสตรีในวังหลังเหล่านั้น เขาก็ไม่เคยเห็นแววตาเช่นนี้มาก่อน
อีกทั้งที่น่าแปลกใจก็คือ นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่ขับไล่นางแม้แต่น้อย ซ้ำยังรู้สึกร่างกายสบายมากอีกด้วย
ทว่า สุดท้ายเขาก็ยังกุมข้อมือผอมแห้งของนางเบาๆ ดึงออกไปอีกด้าน แล้วเอ่ยอย่างมีเหตุผลว่า “ฮูหยินน้อยโปรดสำรวมด้วย”
ใบหน้าเขาเคร่งขรึม เหมือนเว้นระยะห่างไกลคนพันลี้ ทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ ริมฝีปากซีดขาวปรากฏเป็นรอยยิ้ม แต่ร่างกายไม่รักดีร่างนี้ไม่อนุญาตให้นางออกแรง จึงหอบหายใจขึ้นมาทันใด
ลูบหน้าตนอย่างกำเริบเสิบสาน แล้วก็แย้มยิ้มออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนผิดครรลองครองธรรม ตั้งใจลวนลามกษัตริย์
นางเป็นสตรีที่ทุ่มสุดชีวิตมาตกม้าตายให้กับความหลายใจหรือนี่ ซย่าโหวซื่อถิงไม่แปลกใจต่อการกระทำของนางอีก คงเป็นเพราะป่วยจนเลอะเลือนกระมัง แต่ในใจมีความสงสารเพิ่มมากขึ้นไม่น้อย ทว่าได้ยินนางหยุดหอบหายใจ เอนพิงบนหมอนอิง เอ่ยอย่างอ่อนแรงว่า “หม่อมฉันมีคำถามที่อยากถามฝ่าบาทมาตลอด”
“ว่ามาสิ” เขาปรับสีหน้าเหมือนเก่า แม้จะกันมือนางไว้ แต่ก็ย้ายม้านั่งเข้าไปใกล้เตียงนางมากกว่าเดิมโดยยากจะสังเกตุเห็น
“เหตุใดฝ่าบาทจึงเชื่อหม่อมฉันเพคะ ซ้ำยังดูแลหม่อมฉันเช่นนี้ด้วย” นี่เป็นความสงสัยของนางในชาติก่อน หลังจากได้ชีวิตกลับคืนอีกครั้งเพราะได้เปิดโปงความจริงมากมาย ดังนั้นยามนี้จึงสามารถคาดเดาได้อยู่บ้าง รอเพียงคำตอบของเขามายืนยันเท่านั้น
เขามองนาง “เจ้าอยากจะรู้จริงๆ หรือ”
นางพยักหน้า
บุรุษขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดครู่หนึ่ง พยายามอ้อมค้อมที่สุดว่า “มารดาเจ้าเป็นสหายกับฮ่องเต้พระองค์ก่อน”
กล่าวจบ เขาก็รอให้นางตกใจแล้วไล่ถามตนต่อ
แต่ผิดคาด สตรีบนเตียงกลับไม่ได้ตกตะลึงเพียงนั้น
ในที่สุดนางก็เข้าใจ เป็นดังที่คาดไว้ เขาในชาติที่แล้วดูแลตน เป็นเพราะเขารู้เรื่องหนิงซีฮ่องเต้กับท่านแม่ บางทีหนิงซีฮ่องเต้ในชาติก่อนก่อนจะเสด็จสวรรคต คงจะฝากฝังเขาให้ดูแลตนกับน้องชายไว้
มิน่าเล่าตนที่เป็นฮูหยินคนหนึ่ง บุกเข้าไปฟ้องร้องต่อหน้าพระพักตร์ราวกับเสียสติ เขากลับไม่เรียกคนมาลากตนออกไป อดทนต่อตนอย่างมาก ซ้ำยังไม่ไว้หน้าจวนกุยเต๋อโหว จับมู่หรงไท่เข้าคุก แล้วยังส่งคนมารักษาตนในวาระสุดท้ายของตนอีก สุดท้ายยังมาเยี่ยมตนด้วยตัวเอง
นี่เป็นสตรีน้อยที่ทำให้เขาประหลาดใจอย่างมากจริงๆ ซย่าโหวซื่อถิงยิ่งเสียดายกับการป่วยระยะสุดท้ายของนางมากขึ้นไปอีก ตอนนั้นก่อนเสด็จพ่อจะสวรรคต บอกอย่างจริงใจว่าสองพี่น้องสกุลอวิ๋นเป็นบุตรชายหญิงของสหายรู้ใจของพระองค์ หลังจากพระองค์สวรรคตไป หากเกิดเรื่องใดขึ้นกับสองพี่น้องเข้า ให้เขาแอบช่วยเหลือ เอาใจใส่สักหน่อย