ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 259.3 ประหารโดยตัดมือเท้าลงโอ่งต้ม ฝันถึงชาติกาลก่อน (3)
พอทหารจำนวนหนึ่งที่ติดตามฉินอ๋องเข้าวังมาปล่อยตัว เฉินจ้าวก็ผลักทุกคนออก เดินไปบนระเบียงหน้าตำหนัก ประสานมือขึ้น “รบกวนฉินอ๋องในยามวิกาล ล่วงเกินแล้ว กระหม่อมมีเรื่องสำคัญจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในตำหนัก ดวงตาลุ่มลึกของซย่าโหวซื่อถิงตกลงบนร่างคนนอกตำหนัก ตอนนั้นเฉินจ้าวเปิดประตูเมืองเพื่อใคร เขารู้อยู่แก่ใจ ต่อมายอมรับโทษมาเป็นองครักษ์วังหลวง เกรงว่าก็เพื่อได้เห็นความเคลื่อนไหวของนาง สะดวกต่อการดูแล ยามนี้ท่าทีที่มีให้เขากลับเรียกได้ว่าเกรงอกเกรงใจ “ใต้เท้าเฉินว่ามาเถิด”
ด้านนอกตำหนัก เสียงร้อนใจของเฉินจ้าวทะลุราตรีสีมืด ลมหอบโชยมา “อวิ๋นเหม่ยเหรินถูกนายหญิงตำหนักใดก็ไม่ทราบพาตัวออกจากหอเหยาไถไปอย่างไร้ร่องรอย ขอฉินอ๋องโปรดส่งคนไปตามหาภายในวังด้วย!”
อวิ๋นหว่านชิ่นฝืนเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้น ใต้จมูกคล้ายมีกลิ่นยาสลบที่เหลืออยู่ แขนขาอ่อนปวกเปียก สภาพแวดล้อมรอบด้านมืดมิด เหนือศีรษะแขวนโคมสลัวไว้ ส่ายไปส่ายมา ใต้ร่างเป็นพื้นกระเบื้องเปียกชื้น
ที่ที่สายตามองไปเป็นห้องขังที่ถูกล้อมรั้วไว้ด้วยไม้เป็นตารางๆ หน้าต่างหลังคาบ้านแคบเล็กจนแสงจันทร์อันน้อยนิดก็หมดหนทางส่องลอดเข้ามาได้ และเครื่องพันธนาการโซ่ตรวนที่แขวนไว้บนผนัง
คุก คือคุกภายในวังหลวง
“ฟื้นแล้วรึ ใครก็ได้ พยุงอวิ๋นเหม่ยเหรินมา” เสียงสตรีเย็นเยียบ
นางหันไปมองตามเสียงอย่างยากลำบาก เป็นสาวใช้ข้างกายของเจี่ยงอวี๋ อดจะขันออกมาไม่ได้ “นายหญิงเจ้าเป็นหมาบ้า เจ้าก็บ้าตามไปด้วยแล้วหรือ แอบอ้างราชโองการเท็จของไทฮองไทเฮาพาตัวข้ามาที่นี่ พวกเจ้าก็หนีความตายไปไม่พ้นเช่นกัน คนของหอเหยาไถน่าจะตามหาข้ากันอยู่ หากนายหญิงเจ้าอยากจะพบข้า ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้วิธีที่ไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดีเช่นนี้เลย”
สาวใช้นางนั้นหัวเราะ น้ำเสียงอึมครึม “ฝ่าบาทไม่อยู่ในวัง ไทฮองไทเฮายามนี้ก็ยังเอาตัวเองไม่รอด คืนนี้วังหลวงเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น เรื่องสำคัญยังไม่แล้วเสร็จ ใครจะมาสนใจเหม่ยเหรินแค่คนเดียวกัน อาศัยแค่คนต่ำต้อยในหอเหยาไถพวกนั้นของเจ้า รอจนหาเจ้าพบ เกรงว่าจะกลายเป็นศพแห้งกรังไปแล้วน่ะสิ พรุ่งนี้ฮุ่ยผินของข้ามีวิธีการอยู่แล้ว อวิ๋นเหม่ยเหรินไม่ต้องกังวลว่านายหญิงข้าจะจัดการแก้ปัญหาอันจะเกิดขึ้นในภายหลังอย่างไรหรอก” แล้วโน้มกายลง ยกผ้าฝ้ายผืนบางในมือขึ้น วางลงไปแช่ในอ่างสำริดที่ใส่น้ำไว้เต็มใบ ดึงขึ้นมา สองมือขยับบิดให้หมาดๆ
กงกงคนหนึ่งเดินมายังข้างกายอวิ๋นหว่านชิ่น เป็นขันทีน้อยเมื่อครู่คนนั้นที่แบกนางมา เขาพยุงนางขึ้น กดนางให้นอนราบไปบนตั่งหินของคุก
นางสาวถือผ้าฝ้ายที่ชุ่มน้ำเดินไปหา กางผ้าออก โปะไปบนหน้านาง
ผ้าเปียกชุ่มแนบสนิทไปกับผิวหน้า ปิดครอบทั่วทั้งใบหน้าของอวิ๋นหว่านชิ่น นางสามารถหายใจออกได้เท่านั้น ไม่อาจหายใจเข้าได้ ผ้านั้นฉ่ำน้ำ จึงหนัก และเป่าไม่ขยับ
“อวิ๋นเหม่ยเหรินคงเคยเห็นวิธีการตายเช่นนี้มาก่อน” สาวใช้เอ่ยอย่างช้าๆ ราวกับว่าพูดคุยสัพเพเหระ แล้วหยิบผ้าอีกผืนมาจากกองผ้าแห้ง หลังจากทุบน้ำแล้ว ก็โปะไปอีกชั้น “คนในวังเรียกว่า ‘ติดกระดาษทอง’ นำผ้าเปียกมาโปะหน้าไว้ทีละชั้น คนมีแต่ลมหายใจออก ไม่มีลมหายใจเข้า ค่อยๆ ขาดอากาศตายอย่างช้าๆ ร่างกายไม่อาจมีบาดแผลใดได้ ไม่อาจทำให้คนสงสัยด้วย แต่เป็นวิธีการตายที่ทรมานที่สุด…เฮ้อ บ่าวก็รู้สึกว่าวิธีนี้โหดร้ายเกินไป แต่ใครใช้ให้อวิ๋นเหม่ยเหรินทำร้ายฮุ่ยผินเช่นนั้นเล่า ฮุ่ยผินเกลียดอวิ๋นเหม่ยเหรินเข้ากระดูกเชียวล่ะ”
ผ้าเปียกผืนที่สองคลุมลงบนหน้า อากาศเหลือน้อยกว่าเดิม มือเท้าอวิ๋นหว่านชิ่นเริ่มดิ้นรนขัดขืน แต่ถูกกงกงคนนั้นกดเอาไว้แน่นมาก
“จะบอกอีกเรื่องให้กับอวิ๋นเหม่ยเหรินก็แล้วกัน เป็นฮุ่ยผินที่บอกไว้ก่อนที่บ่าวจะแบกท่านมา” สาวใช้หยุดเพิ่มผ้าลงชั่วคราว นั่งยองๆ ลงมา ยิ้มพลางกระซิบข้างหูนางว่า “อวิ๋นเหม่ยเหรินรู้หรือไม่ว่าใครเพิ่งจะเข้าวังมาปราบปรามสมุหนายกอวี้กับกลุ่มขุนนาง ฮุ่ยผินของเราไปสืบมาแล้ว เป็นฉินอ๋อง…ฉินอ๋องยังไม่ตาย กลับมาแล้วแหน่ะ…อวิ๋นเหม่ยเหรินกว่าจะได้พบเจอกับสามีเก่าอีกครั้ง กลับวาสนาน้อยนิด สวรรค์มาพรากจาก คงจะต้องเสียใจมากแน่เลยกระมัง…” นี่ก็เป็นสาเหตุที่เหตุใดนายหญิงของนางจะต้องลงมือในคืนนี้เท่านั้น หนึ่งคือ คืนนี้เป็นโอกาสที่ดียิ่งจริงๆ สองคือฉินอ๋องกลับมาแล้ว หากวันนี้ไม่ลงมือ เกรงว่าภายหน้าคงยากจะมีโอกาสแล้ว
คนบนตั่งหินได้ยินคำพูดของสาวใช้ ร่างกายก็สั่นเทา หมัดกำเข้าหากันแน่ เข่าสองข้างงอขึ้น ก็ถูกกงกงกดลงไปอีกครั้ง
เป็นเขา เขากลับมาแล้ว นึกไม่ถึงว่าเงาแห่งความตายจะถูกความยินดีปรีดาปกคลุมไว้ ทำให้นางแทบจะลืมว่าตัวเองใกล้จะสิ้นลมอยู่ในคุกแล้ว
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ผ้าผืนที่สามก็คลุมลงมา ผ้าเปียกเหมือนมดมีพิษ พอโปะลงมาก็แนบสนิท กลืนอากาศด้านนอกไป ความปรีดาเมื่อครู่มลายหายไป สตินางค่อยๆ ลางเลือน หายใจยากลำบาก คล้ายปลาที่ถูกโยนขึ้นฝั่ง ถูกตะวันแผดเผาจนใกล้จะแตกระแหง กระทั่งเรี่ยวแรงขัดขืนยังไม่มี
ราวกับว่าได้กลับไปชาติก่อนที่ถูกน้องรองผลักลงไปในสระให้จมน้ำ ความรู้สึกแบบเดียวกันทุกอย่าง หายใจเอาอากาศใดเข้ามาไม่ได้ หูอื้ออึงไปหมด หน้าอกแทบจะฉีกขาด แล้วก็มีภาพในหัวปรากฏขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน เหมือนกับโคมม้าวิ่ง[1]
ก่อนจะตายในชาติที่แล้วนั้น ในสมองของนางก็มีภาพความทรงจำในวัยเด็กเล็ก วัยเด็ก และตอนเป็นสาวขึ้น
คล้ายว่าคนก่อนจะตายจะเป็นเช่นนี้ ในสมองจะฉายความทรงจำสะเปะสะปะซ้ำไปมา
หรือว่าครั้งนี้จะรอดจากเคราะห์ไปไม่ได้แล้ว
ร่วมฝังในคราก่อน หมอหญิงพวกนั้นร้องไห้แทบจะขาดใจ นางกลับมั่นอกมั่นใจเต็มที่ คิดว่าปลอดภัยแน่นอน สวรรค์ให้ตนได้เกิดใหม่อีกครั้ง ไม่อาจให้ตนจบสิ้นไปเช่นนี้แน่
ทว่าครานี้ นึกไม่ถึงว่านางจะใจฝ่อขึ้นมา ได้มีชีวิตอีกครั้ง เดิมทีก็เก็บโชคดีมาหนหนึ่งแล้ว เป็นสวรรค์สงสารนางที่ชาติก่อนมีชีวิตเก็บกดและอดทนอดกลั้น ถูกคนแย่งสิ่งที่ควรจะได้รับไปไม่น้อย กระทั่งสิ่งที่สตรีธรรมดาควรจะได้เสพสุขยังไม่ได้ จึงได้มอบโอกาสให้นางอีกครั้ง ทว่ายามนี้ สิ่งที่นางควรประสบพบเจอล้วนผ่านมาหมดแล้ว เกรงว่าความโชคดีจะใช้หมดไปแล้ว
ท่านอ๋องกลับมาแล้ว
การกลับมาครานี้ เขาต้องนั่งในราชสำนักอย่างมั่นคงแน่ บางทีอาจจะกลายเป็นเขาคนนั้นในชาติก่อนของนางก็ได้
ในชาติก่อน วังหลังของพระเจ้าจ้าวจงไม่มีนางอยู่ นางก็แค่หลานสะใภ้สายรองของจวนกุยเต๋อโหว ความสัมพันธ์เราสองคนห่างไกลไม่มีวันได้บรรจบ ไม่มีวันได้พบกัน
ในชาตินี้ หากเขาขึ้นครองราชย์กลายเป็นฮ่องเต้ สวรรค์จะพลิกประวัติศาสตร์เพิ่มตนลงไปในวังหลังของเขาได้อย่างไร
เช่นนั้นแล้ว วันนี้จะเป็นวันตายของตนจริงๆ แล้วหรือ…
ดวงหน้างามไร้สีเลือด นิ้วเรียวงามเพราะหงิกงอจึงได้ขดเข้าหาฝ่ามือ เส้นเอ็นบนหลังมือชัดขึ้นเล็กน้อย ภายใต้ผ้าเปียกหลายชั้น ดวงตาสองข้างเต็มไปด้วยเส้นเลือด…
มีเสียงคล้ายพึมพำเบาๆ ดังขึ้นข้างหูไม่หยุด บอกนางว่า นางใช้ชีวิตมากว่าชาติหนึ่งแล้ว ได้รับพอแล้ว โน้มน้าวให้นางยอมแพ้ไปเสีย
นางปฏิเสธเสียงนั้นสุดขีด
นางอยากกอดบัวลอยน้อย ลูกชายยังไม่ทันได้เรียกแม่เลย…
สติสัมปชัญญะเลอะเลือนขึ้นเรื่อยๆ ความคิดค่อยๆ ล่องลอยหย่อนยานราวกับหมอกควัน นิ้วนางที่กำแน่นคลายออกช้าๆ
โครมมม
สาวใช้ที่ลงมือลงโทษเองกับกงกงพากันตกตะลึง
ประตูเหล็กถูกคนถีบออกอย่างแรง คนจำนวนหนึ่งบุกกันเข้ามาทั้งหน้าหลัง ลมอ่อนโชยพัดมา พอสาวใช้เห็นหน้าผู้มาใหม่ชัดเจนสีหน้าก็ซีดขาว อ่อนยวบลงกับพื้น
“สุนัขรับใช้เบื่อชีวิตแล้วกระมัง! รอข้าก่อนเถอะ!” ฉีไหวเอินพอเห็นนายหญิงบนตั่งหินก็เคียดแค้นเดือดดาล วิ่งเข้าไปหา ถีบกลางกระดูกหน้าอกกงกงคนนั้น
ชูซย่ารูปร่างเล็ก แย่งเข้าไปก่อน ดึงผ้าเปียกหลายชั้นบนหน้าของอวิ๋นหว่านชิ่นออก ลองอังจมูกดู ลมหายใจแผ่วเบามาก แทบจะสัมผัสไม่ได้ นางรีบเอ่ยขึ้นว่า “นายหญิงรีบฟื้นเถิด…”
รองเท้าเหล็กเหยียบพื้นกระเบื้องอันเยียบเย็นของคุก เข้าไปใกล้ห้องขังที่เตี้ยและคับแคบ ได้ยินเสียงคล้ายร้องไห้จากด้านใน ก็ยิ่งร้อนใจดังไฟเผาสาวเท้าแทบจะทะลุผ่านแผ่นหินไป
———————————
[1] โคมม้าวิ่ง เป็นโคมที่ตรงกลางภายในโคมมีแกนขนาดเล็กอยู่ บนตัวแกนติดภาพกระดาษซึ่งมักจะตัดเป็นรูปคนขี่ม้า ด้านบนของแกนคือกระดาษที่ตัดเป็นรูปกังหัน เมื่อจุดเทียนไขภายในโคมไฟ ไอร้อนจะไปดันกังหันให้หมุน ชักนำให้แกนที่ติดกระดาษตัดเป็นรูปคนขี่ม้าพลอยหมุนไปด้วย จึงได้เรียกชื่อโคมชนิดนี้ว่าโคมม้าวิ่ง