ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 257.2 สนับสนุนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ (2)
คืนนั้นนายหญิงไร้สติวิ่งตามรถม้าคนแปลกหน้าไป เรื่องนี้ชูซย่าไม่ได้เอ่ยบอกกับใคร แต่พอวันรุ่งขึ้นนางทำแผลให้นายหญิงใหม่ จึงลองหยั่งเชิงถามดู อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่ปิดบังนาง เล่าให้นางฟัง
ชูซย่าฟังพลางทอดถอนใจออกมาอย่างห้ามมิได้ เทศกาลชีซีเดิมทีก็เป็นเทศกาลที่กระตุ้นความรู้สึกคนอยู่แล้ว สมองมึนงงไปชั่วขณะ มองคนแปลกหน้าเป็นองค์ชายสามก็ไม่แปลก แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ต่อให้ท่านอ๋องยังมีชีวิตอยู่ ยามนี้ก็น่าจะอยู่ที่แดนเหนือ จะมาอยู่ที่เมืองหลวงได้อย่างไร ต่อให้มาเมืองหลวงจริง เห็นนายหญิงเข้าเหตุใดจึงไม่ยอมพบหน้าเล่า
สามวันที่ร้อนที่สุดได้ผ่านพ้นไป อากาศเย็นสบายขึ้นมาทุกวัน ฤดูร้อนปีนี้ในช่วงที่ร้อนที่สุดนั้นร้อนอย่างยิ่ง แต่พอลมร้อนโชยพัดมาอุณหภูมิก็ลดลงเป็นวงกว้าง แม้ว่าจะยังมีแดดจ้าแจ่มใส แต่ก็สามารถสัมผัสถึงความเย็นที่ใกล้จะเข้าฤดูใบไม้ร่วงได้แล้ว ในขณะเดียวกันนั้นเอง ที่ฝ่าบาทนำทัพออกรบด้วยพระองค์เองก็ผ่านไปสองเดือนแล้ว
ยามเช้า ดวงอาทิตย์ที่สว่างสดใสเผยออกมาครึ่งดวง ลมโชยมาเบาๆ ทำเอาเย็นสบาย เป็นวันที่อากาศเย็นและมีเมฆมาก แม่นมอุ้มบัวลอยน้อยที่โดนป้อนนมเสร็จแล้วมาหา อวิ๋นหว่านชิ่นหยอกเล่นกับลูกชายให้พูดจาอยู่พักหนึ่ง แล้วหยิบคัมภีร์สามอักษรออกมาอ่านประโยคหนึ่ง ให้บัวลอยน้อยอ่านตามประโยคหนึ่ง
ในขณะนั้นเอง ชูซย่าก็กลับมาจากด้านนอกหอเหยาไถ เห็นว่ามีลมกลัวว่าจะโดนบัวลอยน้อย จึงดึงไม้ค้ำหน้าต่างออกแล้วปิดหน้าต่างสองบานลง หันกลับมามองบัวลอยน้อยที่กำลังอ่านคัมภีร์สามอักษรตามอยู่ ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “จากพัฒนาการนี้ รอฝ่าบาทกลับมาจากนำทัพออกรบแล้ว เกรงว่าบัวลอยน้อยของเราจะท่องได้แม้กระทั่งกวีพันสำนักแล้ว”
มือที่ถือตำราของอวิ๋นหว่านชิ่นชะงักค้าง ส่งบัวลอยน้อยที่กำลังอ่านอย่างติดลมไปยังอ้อมอกแม่นม ให้นางพาองค์ชายออกไป แล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทจะกลับมาแล้วรึ”
ชูซย่าเว้นหยุดก่อนเอ่ยว่า “เมื่อครู่บ่าวได้ยินนางกำนัลข้างนอกบอกว่า เมื่อสองวันก่อนฝ่าบาทนำทัพไปกับทัพของอี๋ซื่ออ๋อง เปิดศึกกับเหมิงหนูที่อยู่ใกล้ๆ นั้น ศึกนี้บุกทะลวงและสังหารไปอย่างใหญ่หลวง พอได้รับชัยชนะแล้ว เหมิงหนูบาดเจ็บสาหัส เกรงว่ายากที่จะยืนหยัดต่อไป ทัพใหญ่อย่างมากก็เดือนแปดคงนำชัยมาสู่เมืองหลวง หลายวันมานี้ นายหญิงแต่ละตำหนักของวังหลังอารมณ์ดีกันยิ่ง ต่างคิดกันว่าหลังจากทัพใหญ่กลับมาแล้วจะสรงน้ำล้างฝุ่นให้ฝ่าบาทอย่างไรดี”
ใกล้จะกลับมาแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นใจกระตุก คนที่นำทัพออกรบจะกลับมาอยู่แล้ว แต่กลับไม่เห็นเขาเลย
ในสายตาคนอื่น เขาเป็นคนตายไปตั้งนานแล้ว บางทีนางก็น่าจะปล่อยวางความคิดที่ไม่เป็นจริงนี้ไปนานแล้ว ชาติก่อนก็คือชาติก่อน ชาตินี้ก็คือชาตินี้ การขยับไหวของปีกผีเสื้อตัวหนึ่งล้วนส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของฟากฝั่งอย่างใหญ่หลวง นับประสาอะไรกับสองภพชาติ มันไม่เหมือนกันมาตั้งนานแล้ว
แต่ไม่รู้เหมือนกัน แม้จะตามร่องรอยใดของเขาไม่พบแล้ว แต่ลึกๆ กลับรู้สึกว่าเขาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เหมือนว่าคืนนั้นในเทศกาลชีซี แม้ว่าจะจำผิด แต่ราวกับเป็นการเตือนอย่างไรอย่างนั้น
บางที ในชั่วขณะต่อมา เขาอาจจะกลับมาก็ได้
ก็เหมือนที่ชูซย่าบอก ตั้งแต่วันนี้ไปบรรยากาศในวังหลังก็ยิ่งคึกคักขึ้น ตั้งแต่ฝ่าบาทไปแนวทัพหน้า ได้รับชัยชนะในทุกศึก และหมู่นี้สงครามใหญ่ในครานี้ยิ่งเป็นทหารสามแสนนายที่ฝ่าบาทนำทัพรวมกับกองทัพใหญ่ตระกูลของอี๋ซื่ออ๋องโจมตีและทำลายล้าง การชนะเหมิงหนูที่เหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดมาตั้งนานแล้วจึงเป็นเรื่องที่ยิ่งไม่ต้องกังวลเข้าไปใหญ่ ในราชสำนักและวังหลังต่างรอฮ่องเต้นำชัยชนะกลับมาด้วยความมั่นอกมั่นใจ รอเพียงแค่ฉลองในชัยเท่านั้น
ณ ตำหนักฉือหนิง เจี่ยไทเฮาได้ฟังข่าวคราวจากแนวทัพหน้าก็ทรงอารมณ์ดียิ่ง ให้จูซุ่นนำคำไปบอกบรรดาขุนนางในราชสำนักที่ช่วยดูแลบ้านเมือง ว่าให้จัดการราชกิจด้านหลังแทนฝ่าบาทให้แล้วเสร็จด้วยความสบายใจที่เมืองหลวง พอฝ่าบานำชัยกลับมา ต้องประทานรางวัลให้อย่างแน่นอน
ราชสำนักและวังหลัง แต่ละคนต่างเบิกบานใจกันเต็มเปี่ยม ตำหนักถงกวง กลับรกร้างเงียบเหงา บรรยากาศในแต่ละวันทั้งพยาบาทอาฆาตและเงียบเหงาอย่างยากจะอธิบาย
เจี่ยงอวี๋ที่โดนกักบริเวณอยู่กว่าครึ่งปี แต่ละวันล้วนผ่านพ้นไปคล้ายแรมปี นางวางแผนหาโอกาสให้ได้พบหน้าฝ่าบาทอีกหนอยู่ตลอด แต่หลังจากวันครบรอบวันสิ้นพระชนม์ของหยวนเฟยวันนั้น ก็ไม่มีโอกาสได้พบฝ่าบาทอีกเลย ต่อมาฝ่าบาทเตรียมรบยุ่งจนไม่มีเวลา จึงยิ่งไม่มีโอกาสได้พบ
ดีร้ายอย่างไรก่อนที่ฝ่าบาทจะนำทัพออกรบ เห็นนางโดนขังมานาน สุดท้ายก็ยังเห็นแก่นางอยู่ไม่น้อย ผ่อนปรนการกักบริเวณลงมาเล็กน้อย แม้จะไม่ได้อภัยโทษให้ทั้งหมด แต่ก็ทรงอนุญาตให้นางเดินไปมาในระแวกตำหนักถงกวงได้บ้าง ไม่ต้องขังอยู่ในตำหนักเหมือนอยู่ในคุก
หลังจากโดนกักบริเวณ เจี่ยงอวี๋ก็ให้สาวใช้คนสนิทไปสืบข่าวกับนางกำนัลข้างนอกมา ได้รู้ว่าแม่นางสวีได้เป็นคนจัดการดูแลวังหลังแล้ว จัดการทั้งหมดเสร็จ ก็พอจะเดาเส้นสนกลในได้บ้างแล้ว
ไม่นึกเลยว่า สุดท้ายจะโดนสวีคังเฟยเล่นงาน สวีคังเฟยอยู่ดีๆ จะฉลาดหลักแหลมได้อย่างไร ที่แท้เบื้องหลังก็มีกุนซือบงการอยู่ มิใช่ใครอื่น เป็นแม่นางอวิ๋น
เจี่ยงอวี๋โมโหจนแทบจะกระอักเลือด หนึ่งคือเกลียดแม่นางอวิ๋นหอเหยาไถ สองมองสุนัขข้างกายในวันเก่าก่อนมาแทนที่ตนโดยทำอันใดมิได้ กลายเป็นคนที่ดูแลจัดการวังหลังไป นางริษยาสุดแสน นางไม่ดื่มชาไม่กินข้าวอะไรทั้งนั้น อาศัยแต่ยาจึงสามารถนอนหลับลงได้อย่างราบรื่น หมดหนทางจะระบายอารมณ์ เอะอะก็เอาแส้ฟาดคนรับใช้ที่โดนกักบริเวณร่วมกับตนที่ตำหนักถงกวงเป็นประจำ ลงมืออย่างหนักยิ่ง ภายในครึ่งปี นึกไม่ถึงว่าจะเฆี่ยนนางกำนัลตายไปสามสี่คนแล้ว
สาวใช้คนสนิทข้างกายทุกครั้งที่เห็นนายหญิงตีคนรับใช้ตายก็จำต้องทำเหมือนว่าป่วยตาย แล้วค่อยรายงานกองกิจการภายในให้มาเก็บศพ นายหญิงจะได้ไม่โดนเบื้องบนกริ้วเอา
เห็นอารมณ์นายหญิงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นางกำนัลตำหนักถงกวงก็กลัวจนตัวสั่น ยามนี้ ไม่รู้ว่าวันไหนจะเป็นตาของตน จดหมายจากแนวทัพหน้าที่ส่งมาเมืองหลวงในระยะนี้ จึงเป็นความหวังของนางกำนัล
วันนี้ สาวใช้คนสนิทไปรับเงินใช้สอยกลับมาจากกองกิจการภายใน เพิ่งจะก้าวเข้ามาในตำหนักก็ได้ยินเสียงเพล้งดังขึ้น เป็นเสียงถ้วยจอกตกแตก บรรดานางกำนัลทำความสะอาดของตำหนักถงกวงคุกเข่าลงกับพื้นอย่างพร้อมเพียง บนใบหน้าอ่อนนุ่มโดนเจี่ยงอวี๋ข่วนจนได้เลือดขึ้นมา ร้องห่มร้องไห้กันไม่หยุด
เจี่ยงอวี๋เห็นนางกำนัลร้องไห้โทสะในใจก็ยิ่งพลุ่งพล่าน นางยกรองเท้าแหลมเล็กขึ้นถีบคนที่ร้องไห้เสียงดังที่สุด
สาวใช้คนสนิทรู้ดีว่านายหญิงระบายความแค้นอีกแล้ว กลัวว่าจะต้องจัดการเก็บกวาดให้นางอีก จึงรีบเข้าไปดึงไว้ “ฮุ่ยผินอย่าร้อนใจไปเพคะ บ่าวได้ยินคนในวังบอกว่าศึกแนวหน้าราบรื่นยิ่ง ฝ่าบาทใกล้จะเสด็จกลับมาแล้ว ถึงเวลานั้นหากนำชัยกลับมา พระองค์ทรงเบิกบานพระทัย ต้องพระราชทานอภัยโทษให้แน่ ถึงตอนนั้นนายหญิงก็สามารถพ้นโทษครานี้ไปได้ เปลี่ยนเป็นฝ่ายชนะได้แล้ว”
“จริงรึ” เจี่ยงอวี๋ได้ยินที่สาวใช้คนสนิทบอกเช่นนี้ก็หยุดการทำร้ายคนรับใช้ลง เห็นสาวใช้พยักหน้าหงึกหงัก อารมณ์ก็สดใสขึ้นมาก
นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ จิบชาไปสองคำ โทสะคลายลงบ้างแล้ว นึกไปถึงความไม่เป็นธรรมในระยะนี้ที่ตนทนทรมาน แล้วยังมาได้ฟังที่สาวใช้เรียกตนว่าฮุ่ยผินอีก ความเดือดดาลก็พลุ่งพล่านขึ้นมา ตนตกต่ำจากพระชายาเหลือเพียงพระสนมเอก ไม่ใช่นางสารเลวนั่นทำร้ายแล้วจะเป็นใคร นางกำหมัดแน่นชกลงหลายครั้ง สะเทือนจนกาน้ำชาสั่นอย่างแรง ดวงตาดุดันขึ้น “แม่นางอวิ๋นนั่นรีบไปอ้อนวอนพระโพธิสัตว์เสียแต่เนิ่นๆ อย่าให้ข้าได้มีโอกาส! มิฉะนั้นล่ะก็ ข้าจะต้องให้มันได้เจอดีแน่…แค้นนี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องชำระ!”
นางกำนัลคนอื่นๆ ทำเพียงเออออตามไป ขอเพียงนายหญิงไม่ตีใคร ไม่ว่าอะไรล้วนดีทั้งนั้น
แต่หากพูดถึงทางด้านตำหนักฉือหนิง เจี่ยไทเฮาอารมณ์ดี ผนวกกับบัวลอยน้อยดูเหมือนจะเริ่มพูดคุยแล้ว จำนวนครั้งที่เรียกสองแม่ลูกให้มาหาก็ยิ่งบ่อยขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้ไปในคราหนึ่ง เจี่ยไทเฮาก็จะอุ้มพระนัดดาหยอกล้ออยู่ค่อนวัน ทั้งยังแอบบอกบางอย่างกับอวิ๋นหว่านชิ่นอย่างกระตุ้นให้นางเกิดความสนใจ
เจตนาของเจี่ยฮองเฮาชัดเจนยิ่ง ยามนี้อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นมารดาขององค์ชายรอง ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเหม่ยเหริน อยากจะรอให้ฝ่าบาทเสด็จกลับมาแล้วให้ฝ่าบาทเลื่อนขั้นให้นาง
อวิ๋นหว่านชิ่นแกล้งทำเป็นใบ้หูหนวก อยากจะปฏิเสธอ้อมๆ แต่เจี่ยไทเฮากลับตรัสว่า “มารดาขององค์ชาย ฐานันดรไม่อาจต่ำเกินไป อันที่จริง เจ้าตอนเพิ่งจะคลอดบัวลอยน้อย ข้าก็ได้เกริ่นกับฝ่าบาทไปแล้ว ฝ่าบาทอ้างว่ายุ่ง ยื้อเวลาออกไป แต่ยามนี้ เห็นบัวลอยน้อยค่อยๆ โตขึ้นแล้ว รอให้สงครามนี้จบลง บ้านเมืองสงบสุขแล้ว ก็จะไม่มีเหตุผลใดมาปัดต่อไปได้อีก พอฝ่าบาทกลับมา ข้าจะให้พระองค์จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้น”