ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 257.1 สนับสนุนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ (1)
เมื่อครู่อวิ๋นหว่านชิ่นเอาแต่ห่วงบัวลอยน้อย ยามนี้จึงได้รู้สึกว่าข้อมือเจ็บแปลบขึ้นมา นางสูดลมเย็นเข้าไป “ไม่เป็นไร กลับไปทายาทก็หายแล้ว”
“เช่นนั้นไม่ได้นะขอรับ ต้องรีบทำแผล บาดแผลค่อนข้างใหญ่ทีเดียว ซ้ำยังมีเลือดออกอีก เป็นหวัดจับไข้มาจะแย่เอา” ชายชราแม้จะอยากรีบไป แต่บาดแผลนี้ ดูท่าแล้วจะสาหัส
ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นลมราตรีโชยพัดมาหรือไม่ จู่ๆ ประตูรถก็ขยับ
ชายชราสังเกตเห็นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ในรถของเรามีกระเป๋ายา ซ้ำยังมีผ้าพันแผลที่ใช้กับแผลภายนอกอยู่พอดี หากฮูหยินไม่คิดว่าพวกเราหยาบคาบก็จะรีบทำแผลห้ามเลือดให้ฮูหยินที่นี่”
จิตใจที่เพิ่งจะสงบลงของอวิ๋นหว่านชิ่นพลันพลุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง “ของที่ท่านผู้เฒ่ากับนายท่านฐานะสูงส่งนำมาด้วยช่างครบครันนัก” คนปกติที่ไหนออกจากบ้านจะพกกระเป๋ายามาบ้าง
ชายชราเห็นนางสงสัย ใจก็กระตุก สมกับเป็นคนที่ละเอียดมีไหวพริบจริงๆ เขาเอ่ยเพียงว่า “นายท่านข้าร่างกายไม่ค่อยดี ไม่ได้กลับเมืองหลวงมานานแล้ว วันนี้เพิ่งจะกลับมา ดังนั้นจึงได้พกยาติดตัวไว้ขอรับ”
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า บ่งบอกว่าทราบแล้ว นางส่งบัวลอยน้อยให้ชายชราอุ้มชั่วคราว กำลังจะเลิกม่านขึ้น กลับได้ยินชายชราเอ่ยว่า “ฮูหยิน นายท่านข้าร่างกายอ่อนแอ ท่านั่งไม่ค่อยจะเรียบร้อยนัก ไม่ได้พบคนนอกมานาน อีกอย่าง แม้ยามนี้จะเป็นสถานการณ์พิเศษ รอบด้านไร้ผู้คน อย่างไรเสียชายหญิงก็แตกต่าง ทางที่ดีควรเว้นระยะห่างเสียหน่อยดีกว่า หากไม่มากเกินไป เชิญด้านนอกเถิด”
เสียงไม่ดัง แต่กังวานเต็มไปด้วยพลังและน่าเกรงขาม ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยแม้แต่น้อย หากอวิ๋นหว่านชิ่นไม่ยอม เกรงว่าชายชราคนนี้คงจะส่งลูกคืนมาให้โดยพลัน แล้วหันหัวรถม้าจากไปทันทีแน่
ลำคอนางขยับไหว ส่งเสียงอืมไปคำหนึ่ง ยื่นมือเข้าไปในม่าน ครู่ต่อมา นางรู้สึกเพียงมือข้างหนึ่งรองปลายนิ้วตนไว้ อีกมือหนึ่งคล้ายบิดฝาน้ำเปิดออก เทน้ำลงบนแผลนางโดยทันที เหมือนว่าจะใช้น้ำสะอาดมาทำความสะอาดแผลให้นาง
“ซี๊ด…” นางทนความเจ็บปวดไม่ไหว ส่งเสียงสูดปากขึ้น ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามือที่รองนิ้วตนอยู่กำแน่นขึ้น จากนั้นจึงปล่อยออก
แม้จะกุมไว้เพียงครู่ แต่ใจนางกลับกระตุก นึกไม่ถึงว่ามือบางจะยื่นออกไปอย่างห้ามใจไม่อยู่ ตกลงในฝ่ามือของคนผู้นั้น แทรกเข้าไปในระหว่างนิ้วของเขา เกี่ยวไว้ไม่ปล่อย ลูบสัมผัสไปมา
เห็นได้ชัดมากว่า ฝ่ามือของชายคนนี้ ข้อต่อแข็งแกร่งมีกำลัง ท้องนิ้วมีตุ่มแข็งเป็นไตหลายตุ่ม ฝ่ามือกลับอุ่นร้อนยิ่ง
ห้านิ้วเปลือยเปล่า บนนิ้วหัวแม่มือกลับมีรอยบุ๋มลงไป คล้ายเกิดจากการบีบรัดของการสวมใส่บางอย่างไว้เป็นเวลานานแรมปี
ใจนางราวกับมีบางอย่างแผ่ซ่านขึ้นมา กำลังจะลูบคลำต่อ คนด้านในไม่คาดคิดว่านางใจกล้าเพียงนี้ พลันรู้ตัวขึ้น สะบัดมือนางออก
“ฮูหยินเสียกิริยาเกินไปแล้ว พวกเราหวังดีทำแผลให้ท่าน นี่ท่านกำลังทำอันใด” ชายชราตกใจ ตำหนิขึ้น แล้วขวางหน้าม่านรถไว้ ไม่ให้อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใกล้อีกแม้แต่ก้าวเดียว
นางรู้สึกตัวขึ้น นี่ตนกำลังทำอันใดอยู่ มือของผู้ชายก็เหมือนๆ กัน เพราะมือของชายคนหนึ่งเหมือนกับของเขา จึงคิดว่าเป็นเขาอย่างนั้นรึ จะเป็นเขาไปได้อย่างไร หากเป็นเขาจริง เหตุใดจึงไม่พบหน้านางเล่า
“ขอโทษด้วย ข้าเสียมารยาทแล้ว” นางกำลังจะไปอุ้มบัวลอยน้อย คืนนี้ทำตัวเสียสติมากพอแล้ว กลายเป็นสตรีเจ้าชู้หยอกล้อผู้ชายดีๆ ในสายตาคนอื่นไปแล้ว
ผ้าม่านขยับไหว ชายชรากระจ่างแจ้ง ทอดถอนใจขึ้น “ช่างเถิด ล้างแผลให้ฮูหยินไปครึ่งหนึ่งแล้ว ผ้าพันแผลก็ตระเตรียมเรียบร้อย เดี๋ยวพันแผลให้ท่านก็แล้วกัน”
อวิ๋นหว่านชิ่นหยุดนิ่ง แล้วยื่นมือเข้าไป ครานี้สงบลงมากแล้ว รอเพียงคนด้านในใช้ผ้ามาพันแผลให้ตนเท่านั้น จึงเอามือออก อุ้มบัวลอยน้อยในอกของชายชราคืนมา เอ่ยว่า “ขอบคุณท่านผู้เฒ่าและนายท่านของท่านยิ่ง”
ชายชรายังไม่ทันตอบ เสียง ‘พรึ่บ’ ดังขึ้น บัวลอยน้อยที่นั่งอยู่ในอกแม่โบกมือป้อมๆ เล็กๆ ขึ้น เกี่ยวเลิกผ้าม่านหน้าห้องโดยสารรถขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ เลิกขึ้นไปทางด้านข้าง ค้างไว้กลางอากาศพอดี
ชายชราสีหน้าพลันเปลี่ยน กำลังจะปล่อยม่านลง กลับไม่ทันการณ์ เห็นสองแม่ลูกมองไปด้านในเสียแล้ว จึงมองตามไปด้านในด้วย แล้วจึงถอนหายใจออกมา
ภายในรถโคมไฟดวงใหญ่แขวนไว้บนผนัง แสงไฟริบหรี่ แต่ก็ยังสามารถเห็นคนด้านในได้อย่างชัดเจน
บุรุษเดิมทีนั่งอย่างมั่นคง ยามนี้ร่างกายขยับไหวคล้ายเพราะจู่ๆ ม่านก็เลิกขึ้นจึงตกใจ ยังคงคลุมเสื้อคลุมดำตลอดร่างเหมือนในร้านอาหาร ห่มไว้มิดชิดแน่นสนิท คงเพราะร่างกายไม่แข็งแรง ดึกดื่นนั่งรถมากลัวจะโดนลมราตรีเข้า ยามนี้ยังคงสวมหมวกไผ่สานที่ใช้เดินทางยามวิกาล ปกคลุมใบหน้าไว้
อวิ๋นหว่านชิ่นเกรงใจไม่กล้ารบกวนเขาอีก อุ้มบัวลอยน้อยไว้ ก้มหน้าลง “ลูกชายเสียมารยาทแล้ว”
บัวลอยน้อยในอ้อมอกจ้องมองคนในรถอย่างสนใจใคร่รู้ ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าตนได้กระทำผิดไป ดวงตายังไม่กะพริบด้วยซ้ำ
“เชิญฮูหยินกลับไปเถิด” ชายชราอาภรณ์ครามขมวดคิ้ว น้ำเสียงไม่รับแขก อยากจะปิดม่านลงแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะหันหลัง กลับเห็นลูกชายเอียงตัวลง อาศัยจังหวะที่ยังไม่ห่างจากรถ ยกแขนจ้ำม่ำขึ้น ตะโกนใส่คนในรถเสียงเหี้ยม “ตี! ตีเขาห้ายตัย!”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นจู่ๆ ลูกชายก็เอ่ยปากพูด จึงตกอกใจยกใหญ่ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะให้ตีเขาตรงที่ไหน นางรีบถอยหลังมาสองก้าว เอ่ยเสียงเข้มว่า “บัวลอยน้อย!”
บัวลอยน้อยซุกอยู่ในอกมารดา โมโหโกรธาขึ้นมา เป็นคนจะตีคนอื่นแท้ๆ แต่เหมือนตัวเองที่เป็นคนโดนรังแกไปเสียได้
ชายชราอาภรณ์ครามปิดม่านลงแล้ว คุ้มกันคนในรถไว้อย่างดี เขาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จึงเอ่ยหยอกล้อว่า “ฮูหยิน คุณชายน้อยของท่านร้ายกาจเสียจริง ช่วยทำแผลให้ท่านยังจะมาตีนายท่านข้าให้ตายอีก”
อวิ๋นหว่านชิ่นก็กระดากอายเช่นกัน เด็กคนนี้นี่ คำแรกไม่เรียกหรอกแม่ นึกไม่ถึงว่าจะตีคนอื่นให้ตาย
แต่เด็กคนนี้กระทั่งใบหน้าของไทฮองไทเฮายังกล้าตี ก็ไม่น่าแปลก โดนตามใจจนเคยตัวแล้วจริงๆ อวิ๋นหว่านชิ่นเกรงอกเกรงใจ ไม่รั้งอยู่นานอีก จึงรีบจากไป
รอจนเงาร่างของสองแม่ลูกหายไปท่ามกลางราตรีจนไม่เห็นร่องรอยแล้ว รถม้าจึงได้หันหัวกลับจากไป
“บัวลอยน้อย” ภายในรถ บุรุษคนนั้นเอ่ยชื่อเล่นของเด็กน้อยออกมาทีละคำ ราวกับเคี้ยวอาหารอันโอชะ เห็นได้ชัดว่าเสียงทุ้มแหบแห้งเล็กน้อย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน
เขาเลิกแขนเสื้อขึ้น ก้มหน้าลง เหลือบมองรอยเลือดบนข้อมือที่โดนเด็กน้อยพลั้งมือข่วนเอาเมื่อครู่ คิ้วคมขยับไหว “ร้ายกาจเสียจริง” แล้วชูมือซ้ายขึ้น กำเล็กน้อย วางชิดระหว่างจมูกและริมฝีปาก สูดเดาเบาๆ ราวกับบนนั้นยังมีกลิ่นหอมที่ถูกนางลูบคลำหลงเหลืออยู่
เบื้องหน้า ชายชราอาภรณ์ครามขับรถไปพลาง ทอดถอนใจไปพลาง “วันนี้นายท่านก็น่าจะพอใจแล้ว เพื่อความปลอดภัย ก่อนเดือนแปด ไม่อาจปรากฏกายต่อหน้าผู้คนได้แล้วนะขอรับ”
หลังจากเทศกาลชีซีอันคึกคัก เมืองหลวงก็กลับมาเงียบสงบดังเดิม
วันนั้นแอบไปเดินเที่ยวบนถนนหลวง เกือบจะทำนายหญิงหาย ชูซย่าตกใจอยู่ไม่น้อย พออวิ๋นหว่านชิ่นอุ้มคุณชายน้อยกลับมา เห็นนางล้มกระแทกจนมือถลอกก็ยิ่งตกใจจนหน้าถอดสี ฉีไหวเอินกับเฉินจ้าวตามมาทีหลัง ก็ไม่ทันได้ถามอะไร รีบส่งสองแม่ลูกกลับวัง
พอกลับหอเหยาไถมา วันคืนก็เหมือนดังเก่า เรื่องน่ายินดีเรื่องเดียวก็คือหลังจากขึ้นกำแพงเมืองไปชมเทศกาล พระนัดดาสุดรักเอ่ยปากพูดขึ้นมาจริงๆ ตามที่ไทฮองไทเฮาทรงประสงค์
พอได้พูด บัวลอยน้อยก็กู่ไม่กลับอีกแล้ว กลายเป็นเจ้าเด็กพูดเก่ง ปากน้อยๆ เหมือนประตูน้ำที่เปิดออก ขอเพียงได้ตื่นเต้นขึ้นมาก็จะเจี๊ยวๆ จ๊าวๆ พูดไม่หยุด จากพยางค์เดียวไปจนถึงคำศัพท์ทีละคำ สุดท้ายกระทั่งประโยคสั้นๆ ก็สามารถพูดได้หลายประโยคเลยทีเดียว แม้ว่าจะยังพูดไม่ชัด แต่ก็ทำเอาไทฮองไทเฮาเปรมปรีดิ์อย่างยิ่ง นับได้ว่าได้ปลดเปลื้องความหนักอึ้งในจิตใจลงได้แล้ว