ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 255.2นำทัพด้วยพระองค์เอง เที่ยวเทศกาลชีซี (2)
นางกำนัลทั้งสองด้านกำลังจะเข้าไปในตำหนักชั้นในพร้อมกับฮ่องเต้ เหนียนกงกงรีบเข้ามากระซิบทูลว่า “ฝ่าบาท อวิ๋นเหม่ยเหรินยังไม่กลับ รออยู่ด้านนอกอยู่ตลอด ยามนี้ทราบว่าราชกิจในตำหนักเสร็จสิ้นแล้ว จึงขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
พระองค์สีหน้าแข็งค้าง นึกไม่ถึงว่าจะยังไม่กลับ เหตุใดจึงประเมินความดื้อรั้นของนางต่ำไปได้นะ พระองค์เงียบไปครู่หนึ่ง ตรัสว่า “เชิญเข้ามา”
เหนียนกงกงเดินนำทางอยู่ด้านหน้า อวิ๋นหว่านชิ่นเข้ามาในตำหนักคนเดียว
พระที่นั่งอี้เจิ้งที่ใช้ปรึกษาราชกิจการเมืองเดิมทีก็กว้างใหญ่อยู่แล้ว ยามนี้ไร้ผู้คนจึงยิ่งโล่งกว้างมากขึ้นกว่าเดิม บนโต๊ะยาวตรงกลางมีแผนที่เลียนแบบภูมิศาสตร์และแผนที่ต่างๆ รายงานทางการทหาร ภาพสถานการณ์ทหารมากมายหลายประเภทกองพะเนินยังไม่มีเวลาเก็บ
อวิ๋นหว่านชิ่นก้มหน้าคุกเข่าลงอยู่ไกลๆ “ถวายพระพรฝ่าบาท”
บนขั้นบันไดสีแดงหน้าพระที่นั่ง เสียงบุรุษคล้ายไกลคล้ายใกล้ แม้จะเหนื่อยล้าอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงอมยิ้มเหมือนดังก่อน “ไม่พบเรามาหนึ่งปี ในที่สุดก็มาแล้ว ลุกขึ้นมาพูดคุยเถิด” รอยยิ้มกลับห่อเหี่ยวเล็กน้อย ที่นางมาพระที่นั่งอี้เจิ้งครานี้ต้องไม่ได้มาเพื่อพูดความในใจกับพระองค์แน่นอน และพระองค์สามารถพอจะเดาจุดประสงค์ของนางออก
ไม่พบกันนาน ยังคงไม่สูญเสียบุคลิกไปเลย มีความอวบอิ่มของคนเป็นแม่เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย เจ้าสามเอ๋ยเจ้าสาม แม้ว่าเจ้าฝังกระดูกใต้หน้าผา กลับไม่เสียแรงที่มายังโลกใบนี้สักครั้ง พระองค์ทอดถอนพระทัย
เป็นดังที่พระองค์คาดไว้ อวิ๋นหว่านชิ่นมิได้ลุกขึ้น นางยังคงหมอบอยู่บนพื้นหินหยก “ขอฝ่าบาทโปรดทรงส่งกำลังคนไปเพิ่มเพื่อสำรวจหุบเขาบงกชหิมะด้วยเพคะ”
เสียงนั้นไม่ดัง แต่ละถ้อยละคำดังก้องอยู่ในตำหนัก แต่กลับมีเสียงสะท้อนอันสั่นเครืออยู่บางเบา
คนบนบัลลังก์เดาถูกว่านางมาถามถึงสถานการณ์ของเขา ฉินอ๋องหายตัวไปเกือบจะปีแล้ว คนที่กำลังข่มเอาไว้ ก็ข่มไว้ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว
นางสืบข่าวของฉินอ๋องจากเสินจ้าว พระองค์ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยได้ยินมาก่อน เพียงแค่ไม่ได้ว่าอะไรเท่านั้น ในเมื่อเรื่องนี้สามารถประคับประคองนางให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เช่นนั้นก็ให้นางสืบข่าวไปเถิด
คืนนี้ เกรงว่าจะถึงขีดสุดของนางแล้ว ในที่สุดก็มาถามพระองค์ด้วยตัวเอง
เนิ่นนานทีเดียว ซย่าโหวซื่อจุนมองนางนิ่ง ข่มความพลุ่งพล่านในจิตใจเอาไว้ “ปีหนึ่งเข้าไปแล้ว ชิ่นเอ๋อร์ ที่ที่อี๋ซื่ออ๋องควรจะค้นหาก็ล้วนค้นหาจนทั่วแล้ว”
หนึ่งปีแล้ว วันคืนเปลี่ยนผัน นางกลับไม่เชื่อว่าฉินอ๋องจะไม่อยู่แล้ว นึกไม่ถึงว่ายังจะคิดใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง เพ้อฝันว่าจะหาตัวคนเป็นๆ ได้
อวิ๋นหว่านชิ่นแกล้งไม่ได้ยิน ไม่รู้ว่าเพราะอารมณ์ไม่คงที่หรือไม่ โดนลมราตรีพัดจนใบหน้าชมพูแดงระเรื่อ น้ำเสียงกลับยังเรียกได้ว่าสงบนิ่ง “หนึ่งปีแล้วอย่างไรเพคะ หุบเขาบงกชหิมะกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ต่อให้ค้นหาหลายปีก็เกรงว่าจะยังหาไม่ทั่ว…”
“พอได้แล้ว!” พระองค์ควบคุมโทสะเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ตบลงบนโต๊ะ ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรกับนางดี พระองค์ให้เกียรตินาง รอคอยนาง ให้เวลานางหนึ่งปีไปลืมเลือน ไปคิดให้ตก สุดท้าย นึกไม่ถึงว่านางจะดื้อดึง ดึกดื่นค่อนคืนวิ่งมาขอร้องให้พระองค์ส่งคนไปค้นหาคนตายที่ตายไปปีหนึ่งคนหนึ่ง!
พระองค์ทนไม่ไหวต่อไปแล้ว แววตาพินิจมองนางอย่างละเอียด อยากจะให้นางได้สติเสียที “ก่อนหน้านี้เราไม่อยากบอกเจ้า แต่วันนี้ดูท่าแล้ว ต้องบอกกับเจ้าให้ชัดเจน”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้ามองพระองค์
“ตั้งแต่วันแรกที่เจ้าถูกแต่งตั้งให้เป็นเหม่ยเหริน ก็รอเขากลับเมืองหลวงที่วังหลังของเรา แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาทำเช่นไรกับเจ้าที่แดนเหนือ ก่อนที่เจ้าจะคลอดบัวลอยน้อยสองเดือน สนมของเขาก็มีลูกสาวให้เขาคนหนึ่ง” สุรเสียงของพระองค์เพิ่มความสะท้อนใจ “อีกทั้ง ตอนที่เจ้ารอคลอด เราก็จิตใจผ่อนคลาย ไม่อยากเห็นเจ้าแบกท้องโตๆ รอเขากลับมาที่เมืองหลวงจริงๆ เคยคิดว่า ให้เขากลับเมืองหลวงมาดีหรือไม่ หาโอกาสให้เขาพาพวกเจ้าสองแม่ลูกไป เราก็จะได้ไม่ต้องมากลุ้มใจแทนเจ้าอีก ทุกอย่างจะได้เรียบร้อย! จดหมายลับของเราส่งไปยังเขตส่านซี บอกเรื่องนี้อ้อมๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาตอบเรามาว่าอย่างไร”
มือบางของนางกำแน่นอยู่สองด้านของกระโปรง สีหน้าไร้การเคลื่อนไหวใด ในใจกลับบีบแน่น
“เขาตอบเราว่า สถานการณ์ด่านชายแดนตึงมือ จากไปมิได้ ไม่สะดวกกลับเมืองหลวง ขอให้เราอภัยด้วย”
ขนตานางขยับไหว ยังคงไม่กล่าวคำใด ยืนกรานอย่างดื้อรั้น นึกไม่ถึงว่าจะมีท่าทางทำเอาคนเห็นสงสารโดยไร้สาเหตุ
“เจ้าจะคิดว่าเราหลอกเจ้าก็ได้ หรือเพื่อให้ได้ความรักจากเจ้าจึงได้จงใจใส่ร้ายเขาก็ได้” แววตาพระองค์ทะมึนขึ้น “แต่ ความจริงก็คือความจริง” เว้นหยุดครู่หนึ่ง ตรัสอีกว่า “เรา ไม่ต้องใส่ร้ายคนตายหรอก”
อวิ๋นหว่านชิ่นลุกขึ้น ทำเพียงถวายคำนับแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ดึกมากแล้ว หม่อมฉันไม่รบกวนฝ่าบาทแล้วเพคะ”
ในชั่วขณะที่หันหลังไป กลับได้ยินเสียงเรียกร้อนรนของบุรุษด้านหลัง “ชิ่นเอ๋อร์!”
สุรเสียงนั้นร้อนรนยิ่ง คล้ายวันนี้จะต้องตรัสออกมาให้ได้ ไม่อาจปล่อยไว้จนถึงครั้งหน้าได้แล้ว
“อีกเดี๋ยวเราก็ต้องนำทัพออกศึกแล้ว”
นางชะงักฝีเท้าลง ได้ยินเพียงพระองค์ตรัสต่อว่า “หากตอนที่เรากลับมา เจ้าคิดตกแล้ว รับปากเราที เริ่มค่อยๆ ลอง…ยอมรับเรา จะได้หรือไม่”
สุรเสียงเบาหวิว ราวกับเด็กน้อย ไร้ซึ่งความกดขี่ข่มเหงของฮ่องเต้ผู้สูงส่งแม้แต่น้อย มีเพียงการอ้อนวอนอย่างจริงใจในฐานะที่เท่าเทียมกัน
นางหันกลับมา จ้องพระพักตร์ของพระองค์ที่หล่อเหลาเยาว์วัย กระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยราศีที่พร้อมจะออกรบเพื่อปวงชน พยายามอย่างสุดกำลังกายกำลังใจเพื่อบรรพบุรุษ คล้ายภาพวาดที่สวรรค์ได้รังสรรค์ขึ้นอย่างสมบูรณ์ นางไม่อยากทำลายภาพวาดภาพนี้เพราะผิดหวัง ทำให้พระองค์หอบความเสียใจไปสู้กับศัตรู
ได้อยู่ร่วมกับพระองค์มา ก็เหมือนพับขากางเกงเปลือยเท้าเปล่า เดินไปในลำธารเย็นฉ่ำอันตื้นเขิน ผ่อนคลายสบายอารมณ์ ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนตลอดกาล…ต่อให้พระองค์จะสูงส่งถึงพระเจ้าแผ่นดิน
ในเวลาที่ใกล้จะไป นางจะสามารถใจดำพูดวาจาไม่น่าฟังออกไปได้อย่างไร นางค้อมกายลง “หม่อมฉันจะขอพรให้ฝ่าบาททรงปลอดภัยทุกคืนวันที่วังหลวงเพคะ”
แม้จะมีเพียงคำพูดคลุมเครือเพียงประโยคเดียว สีหน้าหล่อเหลาของพระองค์ก็ผ่อนคลายลง ดวงเนตรมีรอยยิ้มแผ่ซ่าน เหมือนเด็กโตที่พออกพอใจคนหนึ่ง
ฤดูร้อนในรัชศกหลงชังปีที่หนึ่ง
จากการเตรียมตัวอย่างเต็มที่สี่เดือนเต็ม หลงชังฮ่องเต้เสด็จนำทัพออกศึกด้วยพระองค์เอง นำทหารเมืองหลวงสามแสนนายไปยังแดนเหนือ รวมทัพกับกองทัพหลักที่ต่อต้านศัตรูของอี๋ซื่ออ๋อง ร่วมกันโจมตีกองทัพเหมิงหนู ในราชสำนักของเยี่ยจิง มีจิ่งหยางอ๋องและอวี้เหวินผิงรักษาการณ์แทน และบรรดาขุนนางใหญ่ภายในช่วยดูแล
ฝ่าบาทพาทหารออกจากเมืองหลวงได้หนึ่งเดือนแล้ว บรรดาสตรีในวังหลังจากตึงเครียด ไม่สบายใจ กระวนกระวาย จนค่อยๆ สงบลง กลับไปใช้ชีวิตปกติดังเดิม
แม้ว่าฝ่าบาทนำทัพเองจะอันตราย แต่ฝ่าบาททรงเป็นแม่ทัพหลัก ส่วนใหญ่ล้วนชี้แนะอยู่ในกระโจม ในยามที่เข้าสนามรบจริงๆ นั้นน่าจะไม่มากนัก ต่อให้ลงสนามรบ ทหารดีแม่ทัพยอดมากมายข้างกายเหล่านั้นก็คุ้มกันเอาไว้อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ที่เผชิญกับอันตรายจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ให้ฝ่าบาทพุ่งเข้าไปคนแรกอยู่แล้ว มีอันใดให้น่ากังวลกัน
บรรดาฮ่องเต้บรรพบุรุษของราชวงศ์ต้าเซวียนนำทัพออกศึกมีไม่น้อย นอกจากตอนที่เกาจู่ฮ่องเต้ปราบเหมิงหนูแล้ว มีครั้งหนึ่งไม่ทันระวังโดนชาวเป่ยเหรินยิงธนูโดนแขน พระองค์อื่นๆ ก็ไม่เคยเจอเรื่องใหญ่ใด
อีกหลายวันผ่านไป แนวทัพหน้ามีข่าวดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากฝ่าบาทปราบปรามเจียงเป่ยได้ หารือกลศึกกับอี๋ซื่ออ๋อง แล้วออกจากกระโจมมาประทานรางวัลแก่ทหารและฝึกทหารด้วยพระองค์เอง ในระยะเวลาสั้นๆ ขวัญกำลังใจของทหารก็ล้มหลาม คว้าชัยได้ติดต่อกันทุกครา ตีเหมิงหนูจนพ่ายแพ้ถอยร่นไป หลายศึกหลายสนามเข้า ทั้งหมดล้วนเป็นต้าเซวียนที่คว้าชัยมาแต่เพียงผู้เดียว
ข่าวคราวส่งกลับมา บรรดาคนในวังก็ยิ่งสบายใจ ตื่นเต้นยินดีกันถ้วนทั่ว
ครานี้ฝ่าบาทนำทัพออกรบช่างเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดยิ่ง ดูจากสถานการณ์ยามนี้แล้ว บางทีไม่ถึงปลายปี สงครามที่สู้รบกับเมิงหนูมาปีกว่าศึกนี้อาจจะสามารถจบสิ้นลงได้
อากาศค่อยๆ ร้อนขึ้น ไอร้อนอวลทั่วทุกหนแห่ง
เจี่ยไทเฮากลัวร้อน พอเข้าหน้าร้อนก็คร้านจะขยับไปไหน เห็นสวีคังเฟยดูแลจัดการวังหลังราบรื่นแล้ว หลังจากเรื่องของเจี่ยงอวี๋เรื่องนั้น สวีคังเฟยก็กลับสงบเสงี่ยมในวังหลัง ไม่มีท่าทีพูดยั่วยุก่อเรื่องใด เจี่ยไทเฮาจึงได้วางพระทัยมอบงานส่วนใหญ่ให้คังเฟยจัดการ ส่วนตัวเองชี้นิ้วสั่งอย่างปรีดา เพียงแต่พักผ่อนอยู่ในตำหนักฉือหนิงนานเข้าก็อึดอัด จึงให้แม่นมพาพระนัดดาสามคนมาหา เลี้ยงดูหยอกเย้าเด็กๆ เล่น