ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 258.1 การกลับมาของฉินอ๋อง (1)
มีขุนนางคนหนึ่งกระซิบว่า “กลัวว่ายืดเยื้อไปนานเข้า อุปสรรคก็ยิ่งมีมากน่ะสิ”
อวี้เหวินผิงเอียงหูไปหา “พวกองค์ชายที่เหลืออยู่ของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ยังมีใครที่จะแบกรับตำแหน่งนี้ไว้ได้อีก พวกเรารอวันสองวันเอาเถิด จะได้ไม่มีใครมาว่าว่าเราขู่บังคับไทฮองไทเฮา หากสุดท้ายไทฮองไทเฮายังไม่ยอม คืนที่สองต้นเดือนแปด พวกเราจะเข้าวังมาด้วยกัน ค่อยให้คนเฒ่าคนแก่อย่างนางตัดสินใจ!”
ขุนนางข้างกายเข้าใจว่าเจตนาคืออะไร ก็ลอบพยักหน้า แล้วออกจากตำหนักกระดิ่งทองไปพร้อมกับอวี้เหวินผิง
ข้าราชการข้างกายขุนนางคนหนึ่งคล้ายว่าจะเป็นขุนนางทหาร ได้ยินประโยคนี้ของบรรดาเบื้องบนสีหน้ากลับไม่แสดงอันใดออกมา เดินตามไปสองสามก้าว ออกจากประตูมา อาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจ กลับหันหลังกลับสาวเท้าไปยังอีกด้านหนึ่งโดยยากที่จะสังเกตเห็นได้
เดินอ้อมระเบียงหลายแห่งมา ผ่านลานตำหนักไม่น้อย มาถึงตำหนักเล็กๆ ห่างไกลไร้ผู้คน ขุนนางทหารคนนั้นก้าวเข้าไปในลานตำหนัก เห็นภายในลานมีคนรออยู่ก่อนแล้ว จึงรีบเข้าไปประสานมือ กระซิบเรียกว่า “ฝ่าบาทเยี่ยนอ๋อง” แล้วรีบเร่งเข้าไปหา เล่าเรื่องที่ต้นเดือนแปดวันที่สองอวี๋เหวินผิงอาจจะบุกวังมาในยามวิกาลบีบบังคับให้ไทฮองไทเฮาสนับสนุนเว่ยอ๋องรับตำแหน่งให้อีกฝ่ายฟัง
เยี่ยนอ๋องฟังไปฟังมาขนงก็ขมวดมุ่น หยิบรางวัลในแขนเสื้อออกมาส่งให้กับมือขุนนางคนนั้นที่เป็นคนสอดแนมอยู่ข้างกายขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก เอ่ยว่า “กลับไปเถิด”
ขุนนางทหารคนนั้นขอบคุณกำลังจะออกไป ขนงของเยี่ยนอ๋องก็คลายลง นึกไม่ถึงว่าจะหัวเราะออกมา ไม่เหมือนกับสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
“ฝ่าบาท” เฉียวเวยเข้ามาหา โพล่งขึ้นว่า “องค์ชายสามคาดเดาได้ไม่ผิด ฮ่องเต้โดนจับเป็นเชลย ราชสำนักใกล้จะวุ่นวายดังคาด แต่ละฝักละฝ่ายเริ่มสนับสนุนองค์ชายที่ตนพึงใจ”
“ออกจากวัง ไปส่งข่าว” เยี่ยนอ๋องหุบยิ้ม ในที่สุดโอกาสดีๆ ก็มาถึงแล้ว
ณ หอเหยาไถ ชูซย่ากลับมาจากตำหนักฉือหนิง เล่าเรื่องในราชสำนักที่ได้ไปสืบถามจากปากจูซุ่นให้ผู้เป็นนายฟัง
นึกไม่ถึงว่าอวี้เหวินผิงจะใช้โอกาสนี้เป็นผู้ชักนำในราชสำนักให้เว่ยอ๋องกลับคืน อวิ๋นหว่านชิ่นเลิกคิ้วขึ้น เว่ยอ๋องเกือบจะใช้สุราน้ำผึ้งทำร้ายเจี่ยไทเฮาจนถึงแก่ชีวิต ปมในใจนี้เจี่ยไทเฮาจะทรงลืมได้อย่างไร ต่อให้เจี่ยไทเฮาเห็นด้วยที่จะเลือกองค์ชายเข้าวังมาจัดการราชกิจ ก็ไม่อาจเลือกเว่ยอ๋องแน่!
“ไทฮองไทเฮาตอบอวี้เหวินผิงไปว่าอย่างไรรึ” อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้น
“ได้ยินจูซุ่นบอกว่า ไทฮองไทเฮาเรียกตัวบรรดาองค์ชายให้ไปตำหนักฉือหนิงเย็นนี้เจ้าค่ะ” ชูซย่าตอบ “ไม่รู้เหมือนกันว่าทรงคิดจะเลือกองค์ชายให้ได้ก่อนเพื่อปิดปากพวกอวี้เหวินผิงที่สนับสนุนเว่ยอ๋องหรือไม่”
“ไทฮองไทเฮาทรงเรียกองค์ชายพระองค์ใดบ้าง”
ชูซย่ารายงานรายนามไป อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินหนึ่งในนั้นก็เอ่ยถามว่า “เยี่ยนอ๋องก็เข้าวังด้วยหรือ” ชูซย่าพยักหน้า
หลังจากฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ เยี่ยนอ๋องก็สร้างจวนอยู่ด้านนอก ย้ายออกจากวังหลวงไป นอกจากจะเข้าวังมารายงานเรื่องหลี่ฝานย่วนเป็นครั้งคราวแล้ว เวลาส่วนใหญ่ล้วนอยู่นอกวัง ปีกว่ามานี้ อวิ๋นหว่านชิ่นไม่มีโอกาสได้พบเขาอีกเลย ยามนี้เห็นว่าเขาจะเข้าวังมา ซ้ำยังมาวังหลังอีกด้วย ก็พลันตื่นเต้น เรียกฉีไหวเอินให้เข้ามาหา สั่งงานไปสองสามคำ
ราตรีมาเยือน เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย ถึงเวลาอันสมควร อวิ๋นหว่านชิ่นก็พาชูย่าไปตำหนักฉือหนิง แต่ไม่ได้เข้าใกล้ประตูใหญ่ นางหันกายไปยังศาลากลางน้ำที่อยู่ไม่ไกลจากด้านหลังตำหนักฉือหนิงนัก
ศาลากลางน้ำมีคนรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
ไม่ได้พบกันมาปีกว่า เยี่ยนอ๋องเติบโตขึ้นอย่างดี ทั้งยังสูงขึ้นมาไม่น้อย ใบหน้าหล่อเหลาที่เดิมทีมีกลิ่นอายเด็กน้อยก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นไม่น้อยเช่นกัน
เยี่ยนอ๋องได้ยินข่าวจากฉีไหวเอิน หลังจากเข้าเฝ้าไทฮองไทเฮากับเหล่าพี่น้องเสร็จก็มาหา ยามนี้เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นที่ไม่ได้พบกันนานก็ตื่นเต้นไม่น้อย เข้าไปต้อนรับเอ่ยเรียกว่า “พี่สะใภ้สาม”
“เยี่ยนอ๋อง นายหญิงยามนี้เป็นเหม่ยเหรินแห่งวังหลังแล้ว มิใช่พระชายาฉินอ๋องอีก ท่านอย่าได้ใช้คำเรียกเมื่อก่อนนี้อีกเลยเพคะ เกิดใครมาได้ยินเข้าจะต้องโทษหนักได้” ชูซย่ารีบเอ่ยเตือน
แม้เยี่ยนอ๋องจะมิได้เอ่ยคำใด แต่ภายในดวงตาหงส์กลับแฝงความดูถูกเอาไว้ “เขาสัญญากับพี่สามว่าจะต้องปกป้องชีวิตพี่สะใภ้สามให้ได้ ดูแลพี่สะใภ้สามให้ดี ที่แท้ก็ปกป้องไปถึงวังหลังของตนเลย แต่นี่ก็ช่างมันเถิด วังหลังมีตำแหน่งตั้งมากตั้งมาย แต่งตั้งให้เจ้าเป็นแค่เหม่ยเหรินที่ไม่มีตำแหน่งอะไร เฮอะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่อยากให้เยี่ยนอ๋องเข้าใจผิดในจุดนี้ของฝ่าบาทกับตน จึงเอ่ยว่า “ยิ่งตำแหน่งต่ำมากเท่าใด ก็จะยิ่งไม่เตะตาคน เช่นนี้แล้ว ฝ่าบาทจึงจะสามารถปกป้องข้าไว้ได้อย่างแท้จริง ข้าก็จะสามารถรักษา…ระยะห่างกับฝ่าบาทไว้ได้เช่นกัน”
ยิ่งพูดเช่นนี้ เยี่ยนอ๋องกลับรู้สึกว่าพี่สะใภ้สามยิ่งน้อยอกน้อยใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เขามองชูซย่าแวบหนึ่ง บ่งบอกให้นางออกไป
พอชูซย่าลงบันไดไป เยี่ยนอ๋องจึงได้จ้องอวิ๋นหว่านชิ่นนิ่ง “พี่สะใภ้สามวางใจได้ เหม่ยเหรินตำแหน่งนี้ เจ้าได้อีกเป็นไม่นานหรอก”
หลังจากกลับจากศาลากลางน้ำหลังตำหนักฉือหนิงในวันนั้น ชูซย่าก็รู้สึกว่านายหญิงจิตใจไม่มั่นคง
คืนนั้นฝ่าบาทเยี่ยนอ๋องไล่ตนออกไป นางมองเยี่ยนอ๋องพูดคุยกับนายหญิงไม่กี่คำจากด้านล่างบันได พอนายหญิงได้ฟัง นึกไม่ถึงว่าจะเสียกิริยา ดึงแขนเสื้อเยี่ยนอ๋องถามต้อนขึ้น
ชูซย่ากลัวว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น หลังจากกลับไปก็เอ่ยถามอยู่สองสามคำ อวิ๋นหว่านชิ่นเพียงตอบอย่างขอไปที
ประโยคนี้ของเยี่ยนอ๋องดูเหมือนจะเป็นการปลอบใจอย่างไม่ได้เจตนา อวิ่นหว่านชิ่นดวงใจดั่งมีสายฟ้าฟาด แปลกประหลาดอย่างยากจะอธิบาย
เหม่ยเหรินตำแหน่งนี้ เป็นได้อีกไม่นาน…จู่ๆ มาได้ยิน ดูเหมือนเยี่ยนอ๋องแทบอยากจะให้ฝ่าบาทโดนจับเป็นเชลยแล้วไม่กลับมาอีก หากฝ่าบาทไม่อยู่แล้ว แต่งตั้งฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นมาอีก นางย่อมมิใช่เหม่ยเหรินของวังหลังนี้อีกต่อไปแล้ว แต่ใจนางเชื่อมโยงไม่สงบ มักจะรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้น แต่เรื่องนี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับองค์ชายสามก็ได้ นางอยากจะถามเขาว่ายังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ แล้วตอนนี้อยู่ที่ใด แต่พอถามเยี่ยนอ๋องต่อ เยี่ยนอ๋องกลับไม่พูดอันใดมากอีก ดวงตาทั้งสองข้างลุ่มลึกอย่างหาได้ยาก หมื่นถ้อยพันคำจมลึกอยู่ในความเงียบของเขา
เห็นสายตาลุ่มลึกของเยี่ยนอ๋อง อวิ่นหว่านชิ่นก็รู้ได้ทันทีว่าตนไม่ได้คิดมากไปเอง นางไม่รู้ว่าเป็นเรื่องใด แต่ในใจมีความรู้สึกร้อยพันเต็มไปหมด ไม่รู้ว่ายินดีหรือกังวล แต่ไม่ได้ไล่ต้อนต่อ หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเขาจริงๆ รออีกหน่อยจะเป็นไรไป
วันเวลาผ่านไป สิ้นเดือนก็มาถึง
เรื่องที่ไทฮองไทเฮาเรียกองค์ชายที่บรรลุนิติภาวะแล้วให้มายังตำหนักฉือหนิงเพื่อเลือกตัวได้แพร่พัดไปถึงราชสำนัก เสียงโวยวายให้เว่ยอ๋องขึ้นเป็นอุปราชของพวกอวี้เหวินผิงยิ่งดังกว่าเดิม ตลอดทั้งวันแทบจะระเบิดราชสำนักออกอยู่แล้ว นอกจากจิ่งหยางอ๋องที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ซย่าโหวมาโดยตลอด ไม่ว่าอย่างไรก็ยืนอยู่ฝั่งไทฮองไทเฮาแล้ว ขุนนางคนอื่นๆ ล้วนเออออไปกับสมุหนายกอวี้
แม้จิ่งหยางอ๋องจะกุมอำนาจทางการทหาร แต่กลุ่มขุนนางด้านอักษรในราชสำนักมีสกุลอวี้เป็นใหญ่ แทบจะสยบอิทธิพลของพวกอวี้เหวินผิงไว้ไม่อยู่แล้ว
เพิ่งจะเข้าวันแรกของเดือนแปด ดอกหอมหมื่นลี้ลอยอวลทั่ววังหลวง เดิมทีเป็นฤดูกาลอันหวานหอมงดงามและผ่อนคลาย แต่ภายในวังกลับเหมือนเต็มไปด้วยดินปืน ไม่สงบสุขอย่างยิ่ง สามารถแตะแล้วระเบิดได้ตลอดเวลา
ยามบ่าย ฉีไหวเอินกลับมาจากตำหนักฉือหนิงพร้อมกับข่าวคราว เมื่อเช้าหารือเรื่องของฝ่าบาทที่ท้องพระโรง พวกขุนนางที่ปรึกษาของอวี้เหวินผิงเกลี้ยกล่อมให้อภัยโทษเว่ยอ๋องกลับราชสำนักมาเป็นอุปราชอีกแล้ว ล้วนเป็นขุนนางที่ปรึกษาที่ไม่กลัวตายกันทั้งนั้น วาจาคงดุเดือดอยู่ไม่น้อย เจี่ยไทเฮาได้ฟังจึงโกรธเกรี้ยวขึ้นมา หลายวันมานี้เดิมทีก็ทุกข์ใจเรื่องฝ่าบาทอยู่แล้ว กินไม่ได้นอนไม่หลับ อย่างไรเสียก็เป็นคนมีอายุแล้ว ดวงเนตรมืดสนิท สองขาโงนเงน ทรงเป็นลมล้มพับไป ณ ที่นั้น
บรรดาขุนนางจึงได้พึมพำเงียบเสียงลง จูซุ่นรีบเรียกรถ ส่งเจี่ยไทเฮาเสด็จกลับ
ยามนี้เจี่ยเฮายังอยู่ที่ตำหนักฉือหนิงให้หมอหลวงจับชีพจรให้ แม้จะไม่ได้เป็นอะไรหนัก แต่พระวรกายก็อ่อนแอ หมู่นี้จึงยากจะไปฟังการหารือได้
“ยามนี้ในราชสำนักเป็นเช่นไรบ้าง” อวิ๋นหว่านชิ่นถามฉีไหวเอิน